บทที่ 9 ตกใจสุดขีด
ชีเซิ่งเจี่ยตกใจกลัวอย่างหนักมีสีหน้าระมัดระวัง เขาไม่กล้ากลืนข้าวต้มเข้าปากแม้สักครึ่งคำ
“เจ้ากล้าจะเสี่ยงอีกสักหน่อยไหม?”
ซุนม่อไม่พอใจนักค่าศักยภาพของชีเซิ่งเจี่ยต่ำมาก และมีเวลาเพียงห้าวันก่อนการทดสอบจะเริ่มขึ้น
ซุนม่อถือว่าเป็นผู้มาใหม่และสถาบันจงโจวถือได้ว่าเป็นบ้านเกิดของเขา ดังนั้นหลังจากใช้เวลาสองวันในห้องสมุดเขาอ่านข้อมูลของสถาบันจนแทบจะหมดแล้ว
โถงประลองเป็นชมรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสถาบันจงโจว ทั้งยังมีชื่อเสียงอย่างมากในเมืองจินหลิง
เพื่อทรงไว้ซึ่งฐานะอันสูงส่งของโถงประลองทำให้สมาชิกแต่ละคนในชมรมหวงแหนสถานะของพวกเขา จึงมีการจำกัดจำนวนสมาชิกไว้ที่ 500 คนเสมอ
ทุกๆ สามเดือนโถงประลองจะจัดการทดสอบเพื่อคัดเตัวสมาชิก นักเรียนที่ต้องการเข้าร่วมเป็นสมาชิกหอโถงนี้สามารถจับสลากเข้าทดสอบและเลือกคู่ต่อสู้ในชมรมได้
หากพวกเขาชนะพวกเขาก็จะได้เข้าสู่โถงประลอง ถ้าแพ้ก็ต้องรอคอยครั้งต่อไป
ถ้าสมาชิกแพ้พวกเขาจะสูญเสียสถานะสมาชิกโถงประลองทันที นี่เป็นกฎการแข่งขันที่โหดร้ายที่ทำให้สมาชิกทุกคนของโถงประลองต้องฝึกปรือกันเต็มที่
มีมหาคุรุหนึ่งคนในโถงประลองทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาและเขาจะจัดให้มีการบรรยายแนะนำทั่วไปฟรีทุกสัปดาห์ ตราบใดที่สมองไม่เสื่อมไม่มีใครยอมพลาด
นอกเหนือจากนี้ถ้าใครเข้าร่วมโถงประลองได้ ชื่อเสียงของพวกเขาจะเพิ่มมากขึ้นแน่นอนแวดวงสังคมของพวกเขาจะขยายขึ้นเช่นกันและนี่จะพิสูจน์ได้ว่าเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับอนาคตของพวกเขา
ภายใต้เงื่อนไขที่ดีเช่นนี้ การแข่งขันในการทดสอบแต่ละครั้งจะเข้มข้นมาก ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิด ซุนม่อบอกได้เลยว่าชีเซิ่งเจี่ยไม่มีโอกาสเลย
“ผู้ที่เรียกว่ามหาคุรุคือผู้ที่สามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เปลี่ยนอีกาเป็นพญาหงส์เปลี่ยนไม้ผุเป็นเสาหลักเมือง ถ้าไม่อย่างนั้นโลกจะมีมหาคุรุไว้ทำไม?”
ฟังจากระบบบอกเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วมันก็ถูกเสียด้วย
“เจ้ามีร่างเดิมหรือไม่? ออกมาหาข้าเลย รับรองว่าข้าจะไม่ตีเจ้าจนตาย”
ซุนม่อหักนิ้ว
“อาจารย์ซุน?”
ชีเซิ่งเจี่ยรวบรวมความกล้าแล้วถาม
“กินข้าวต้มของเจ้าซะก่อน” ซุนม่อสั่ง
โอ๊วว
ชีเซิ่งเจี่ยหดคอเขาร้องครางขณะกินข้าวต้ม แม้ว่าจะร้อนไปหน่อยแต่เขาก็ไม่คายออกมา
“หลังจากเสร็จมื้อเช้าแล้วมานอนบนแผ่นกระดานต่อ”
ดูเหมือนว่าเขาไม่มีทางยกเลิกภารกิจที่ได้รับซุนม่อได้แต่ทำให้ดีที่สุด
“อาจารย์ซุนแสนดีจริงๆ!”
ดวงตาของชีเซิ่งเจี่ยเปียกชุ่มอีกครั้ง ในฐานะนักเรียนธรรมดาเขาไม่เคยได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากครูคนใดมาก่อน
ติง!คะแนนความประทับใจจากชีเซิ่งเจี่ย+2
สถานะสัมพันธ์กับชีเซิ่งเจี่ย : เป็นกลาง (20/100)
เมื่อได้ยินเสียงแจ้งเตือนซุนม่ออารมณ์ดีขึ้นมาก อย่างน้อยที่สุดเจ้าหมอนี่ยังมีมโนธรรมและรู้วิธีขอบคุณเขา
ชีเซิ่งเจี่ยไม่กล้าปล่อยให้ซุนม่อรอนานเกินไปเขารีบจัดการอาหารเช้าจนเสร็จสิ้นแล้วนอนลงบนแผ่นกระดาน
“อาจารย์ซุน! ท่านคิดว่าท่านี้ใช้ได้หรือยัง?”
แววตาของชีเซิ่งเจี่ยเต็มไปด้วยความกังวลใจ
“ผ่อนคลายร่างกายไว้ทำไมเจ้าถึงประหม่าเล่า ข้าไม่ใช่คนขายเนื้อ เข้าใจไหม” ซุนม่อพูดไม่ออก “ทำไมเจ้าถึงนอนแข็งทื่อแบบนั้น?เจ้าเป็นปลาเค็มตากแห้งหรือ?”
“โอว”
ชีเซิ่งเจี่ยยิ่งประหม่ากว่าเดิม
ซุนม่อไม่อยากถูกจ้องมองเขาหยิบเสื้อผ้ามาคลุมหัวชีเซิ่งเจี่ย จากนั้นคว้าแขนและเริ่มนวดกรุยเส้นชีพจร
เวลาค่อยๆ ผ่านไป
“รู้สึกยังไงบ้าง”
ขณะที่ซุนม่อนวดเขาจะถามชีเซิ่งเจี่ยเขาสามารถเข้าใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเคล็ดนวดแผนโบราณบางส่วนได้จากคำตอบของชีเซิ่งเจี่ย
“มันเจ็บปวดในตอนแรกหลังจากนั้นความเจ็บปวดกลายเป็นคัน!”
ชีเซิ่งเจี่ยขยับเล็กน้อย “รู้สึกเหมือนมีมดกำลังไต่อยู่บนตัวข้า”
“จากนั้นเล่า?”
ซุนม่อตบแขนชีเซิ่งเจี่ย “พลิกตัวนอนคว่ำ”
ใครๆ คงอดพูดไม่ได้ว่าเจ้าผู้นี้ฝึกกล้ามเนื้อได้ดีจริงๆ ร่างกายของชีเซิ่งเจี่ยแข็งแรงมาก ซุนม่อบอกได้เลยว่าชีเซิ่งเจี่ยเดินตามแนวคนเหล็ก
“ร้อน”
ชีเซิ่งเจี่ยพลิกตัว “รู้สึกสบาย”
มือของซุนม่อนวดที่กระดูกคอของชีเซิ่งเจี่ยเบาๆ หลังจากนั้นเขาเลื่อนมือลงมาที่กระดูกสันหลังส่วนเอว ซุนม่อใช้กำลังกดลง
“อ๊ากก”
ชีเซิ่งเจี่ยแหกปากร้องด้วยความเจ็บปวดทันทีกระดูกสันหลังของเขาโค้งเหมือนคันธนูและตอนนี้เขาดูเหมือนกุ้งสุกก่อนที่ความเจ็บปวดจะจางหายไปพลังปราณจิตโดยรอบก็พุ่งเข้ามาท่วมร่างทันที
“หืมม?”
ซุนม่อรู้สึกงงงวยเนื่องจากเขาเข้าใจวิถีของการฝึกปรือในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่านี่เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนที่ผู้ฝึกปรือจะทะลวงด่านขึ้นสู่ระดับต่อไป
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นซุนม่อจึงสังเกตอย่างจริงจัง มือของเขาไม่ได้ห่างจากร่างชีเซิ่งเจี่ยเขาเคลื่อนมือไปที่ส่วนต่างๆ ในขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงปราณจิตที่โคจรไปตามเส้นชีพจร
เผียะ เผียะ เผียะ
ร่างของชีเซิ่งเจี่ยมีเสียงแตกเบาๆกล้ามเนื้อของเขาเหมือนจะขยายตัวขึ้นใช้เวลาประมาณสามนาทีกล้ามเนื้อก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
พลังปราณจิตที่พลุกพล่านในโกดังเริ่มสงบลง
ตอนนี้ซุนม่อก้าวถอยออกมาและทบทวนในใจถึงกระบวนการนวดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น นี่เป็นนิสัยของเขาทำซ้ำๆทบทวนกระบวนการทีละขั้นตอน เขาต้องการเสริมสร้างความทรงจำของเขาและหาจุดที่ดีจุดบกพร่องทั้งหมดที่ควรแก่การจดบันทึก วิธีนี้จะทำให้เขาทำงานได้ดีขึ้นในอนาคต
“ข้า...ข้าบรรลุระดับใหม่หรือนี่?”
ร่างของชีเซิ่งเจี่ยสั่นเทาเขาตกตะลึงขณะจ้องดูมือตนเอง ความรู้สึกของการมีปราณจิตมากมายอยู่ในกาย..ไม่ผิดพลาดแน่นอน
เขาเคยประสบกับสภาวะมหัศจรรย์แบบนี้มาก่อนเมื่อครึ่งปีที่แล้วเขาก้าวเข้าสู่ระดับ 3 ของขอบเขตการเสริมสภาพกาย
เขามึนงงอยู่ห้านาทีแล้วเขาก็นึกถึงซุนม่อได้ เขารีบลุกขึ้น
ชีเซิ่งเจี่ยทำแผ่นกระดานพลิกฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว เขาเดินสองก้าวก็พุ่งไปอยู่ข้างหน้าซุนม่อและคุกเข่าเสียงดังลั่น
ตึง!
ชีเซิ่งเจี่ยกราบคารวะเขาใช้แรงมากเกินไปจนดูเหมือนกับทุบพื้น เขาอยากจะกล่าวขอบคุณสักสองสามคำ แต่เพราะความตื่นเต้นเกินไปปากของเขาสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ในที่สุดเขาก็พูดอะไรไม่ออก
“ทำไมเจ้าถึงคุกเข่าอีก?”
“หรือว่าเจ้ากลายเป็นแมลงเต่าทองไปแล้ว?”
“ไม่..ข้า..ไม่”
หัวของชีเซิ่งเจี่ยเต็มไปด้วยเหงื่อ เขากลัวว่าซุนม่อจะเกลียดเขาและด้วยเหตุนี้เขาเริ่มวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจพูดได้อย่างราบรื่น
ในขณะนี้สถานะของซุนม่อในใจของเขาเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบหลังจากนวดไปหนึ่งรอบ ซุนม่อก็ช่วยให้เขาก้าวสู่ระดับสี่ของขอบเขตเสริมพลังร่างกายมันยอดเยี่ยมมากมายเหลือเกิน
“ไม่ใช่ก็ได้....ลุกขึ้นเร็วๆ”
ซุนม่อสั่ง “เก็บของบนพื้นด้วย”
“อืม”
ชีเซิ่งเจี่ยว่านอนสอนง่ายเหมือนลูกแกะที่เชื่องเชื่อถูกหมาป่าจ้องมอง ตอนนี้เขาตื่นเต้นเหลือจะกล่าวอยากจะตะโกนให้สุดเสียงเมื่อบรรลุถึงระดับที่สี่ โอกาสผ่านทดสอบโถงประลองจะมีมากขึ้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ชีเซิ่งเจี่ยอดสรรเสริญซุนม่อไม่ได้
“อาจารย์ซุน! ท่านยอดเยี่ยมมากเหลือเกิน!”
ติง! คะแนนความชื่นชอบจากชีเซิ่งเจี่ย +30
การเชื่อมสายสัมพันธ์ เป็นกลาง (50/100)
ซุนม่อกระดกลิ้น+30 คะแนนโดยตรงหรือนี่? เขาไม่ได้ดูถูกว่าน้อยไป แต่เขาอยากรู้ว่าเขาจะได้รับคะแนนประทับใจมากมายทุกครั้งได้อย่างไร?
“เมื่อคำแนะนำของเจ้าสร้างความประทับใจเช่นความสนิทสนม ความประทับใจ ความรู้สึกเทิดทูน ฯลฯ เจ้าจะได้รับคะแนนความประทับใจได้
“ยิ่งเป้าหมายมีอารมณ์พลุกพล่านมากเท่าใด คะแนนความประทับใจก็ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น”
“ยกตัวอย่างชีเซิ่งเจี่ยตอนนี้ด้วยความก้าวหน้าของเขาทำให้เขารู้สึกถึงความหวังว่าจะผ่านทดสอบในโถงประลอง ถ้าเขาผ่านได้จริงๆ ชีวิตของเขาจะดีขึ้นทันตานี่คือเหตุผลที่เขาสร้างคะแนนประทับใจได้มากมาย”
หากเสียงของระบบมีอารมณ์ร่วมมากกว่านี้สักหน่อยมันจะเหมือนพี่เลี้ยงที่มีความเอื้ออาทร
“ดังนั้นกรณีนี้ยิ่งพวกเขารู้สึกว่าคำแนะนำของข้ามีความสำคัญต่อพวกเขามากเท่าใด ก็ยิ่งดีสำหรับข้ามากเท่านั้นดังนั้นข้าต้องพยายามแนะนำผู้อื่นให้มากขึ้นเพื่อให้ได้คะแนนประทับใจที่ดีใช่ไหม?”
“ถูกต้อง!”
ระบบหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเสริมอีกบรรทัดหนึ่งว่า “ด้วยมุมมองสติปัญญาของเจ้าข้าเห็นว่าเป็นไปได้มากที่ระบบมหาคุรุจะตัดสินใจเลือกเจ้าอย่างถูกต้องในที่สุด”
“นี่พูดพล่ามมากเกินไปหรือเปล่า?”
ซุนม่ออยากจะเหลือกตา
“ข้าขอกลับคำ เจ้าปากเสียเกินไป”
หลังจากระบบพูดจบมันก็เงียบเสียง
“รู้สึกยังไงบ้าง?”
ซุนม่อชำเลืองมองชีเซิ่งเจี่ย เขาไม่ได้รู้สึกภูมิใจตัวเองทั้งนี้เป็นเพราะชีเซิ่งเจี่ยได้ฝึกฝนจนอยู่ในจุดสุดยอดของระดับ 3 ก่อนหน้านี้แล้ว เขาแค่ขาดแรงกระตุ้นเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะเข้าสู่ขอบเขตระดับ 4 ได้ ก็แค่ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บและเขาเหนื่อยล้าเกินไปจนทำให้ร่างกายอ่อนแอลงนี่คือเหตุผลที่ทำให้ชีเซิ่งเจี่ยไม่สามารถบรรลุระดับใหม่ได้ แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม
เคล็ดนวดแผนโบราณของซุนม่อกรุยเส้นชีพจรโคจรพลังปราณของเขาทำให้ปราณจิตของเขาไหลเวียนโคจรได้ราบรื่นนี่ถือว่าเป็นแรงกระตุ้นในความก้าวหน้าของชีเซิ่งเจี่ย
“ข้ารู้สึก...ยอดเยี่ยมมาก!”
ชีเซิ่งเจี่ยชนหมัดเข้าหากันเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าหาคนมาเป็นคู่มือฝึกซ้อมในตอนนี้
“กลับไปแล้วพักผ่อนซะ อย่ามัวแต่คิดเรื่องฝึกปรือ”
ซุนม่อออกคำสั่ง
“หา?”
ชีเซิ่งเจี่ยประหลาดใจตอนแรกเขาอยากปฏิเสธ แต่เมื่อคิดถึงความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่ซุนม่อช่วยเขาเขาหุบปากทันทีและพยักหน้าหนักแน่น “ข้าจะกลับไปนอนเดี๋ยวนี้”
“ในช่วงสองสามวันนี้เจ้าสามารถกลับมาที่นี่ได้ตอนหลังเลิกเรียน
เพื่อทำภารกิจให้สำเร็จและรับรางวัลซุนม่อได้แต่ทุ่มเท
“อาจารย์ซุน!ท่านยินดีจะชี้แนะข้าหรือเปล่า?”
สายตาของชีเซิ่งเจี่ยเป็นประกาย เขาตื่นเต้นจนส่งเสียงหอบ
ซุนม่อโบกมือและชีเซิ่งเจี่ยก็จากมาอย่างรู้กันก่อนเขาจากไปเขาปิดประตูโกดังอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าถ้าเขาเคลื่อนไหวเอะอะเกินไปจะทำให้อาจารย์ซุนตกใจได้
เมื่อเขากลับไปถึงหอพักแม้จะเป็นช่วงกลางวันก็ตาม ชีเซิ่งเจี่ยก็รีบเข้านอนเพื่อจะได้ข่มตาหลับได้ตอนนี้เขาปฏิบัติตามคำพูดของซุนม่ออย่างเคร่งครัดราวกับรับปฏิบัติตามราชโองการ
....
“เฮ้อ,น่าสงสารชีเซิ่งเจี่ย ข้าเกรงว่าเขาจะลาออกจากสถาบัน”
หวังฮ่าวถอนหายใจ
“มันอาจเป็นคำพูดขัดหูแต่ด้วยฝีมือของชีเซิ่งเจี่ย เขาคงไม่สามารถเข้าโถงประลองได้อยู่ดี ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาของสถาบันเขาใช้เงินไปค่อนข้างมากแต่ไม่ได้มีความก้าวหน้ามากนัก ไม่เพียงแต่พ่อของเขา ข้าเองก็ยังรู้สึกว่าเป็นการดีกว่าที่เขาควรลาออกจากสถาบันแล้วหางานทำเพื่อแบ่งเบาภาระการเงินของครอบครัว”
โจวชี่ไม่ได้มีเจตนาเลวร้ายแต่เขารู้สึกว่าชีเซิ่งเจี่ยเสียเวลาอย่างแท้จริง หากปราศจากคำแนะนำของมหาคุรุแม้ว่าชีเซิ่งเจี่ยจะฝึกปรือโดยไม่กินไม่นอน เขาก็จะไม่ได้รับผลดีอันใด
บอกตามตรงสถานที่อย่างสถาบันจงโจวไม่ได้ขาดแคลนนักเรียนผู้พากเพียรฝึกปรืออย่างหนักสิ่งที่พวกเขาขาดคือการชี้แนะของมหาคุรุ
เมื่อทั้งสองกลับไปที่หอพักและเห็นชีเซิ่งเจี่ยนอนอยู่บนเตียงนี้พวกเขาส่ายหน้า ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของชีเซิ่งเจี่ยจะไม่ดีขึ้น ทั้งสองคนไม่รู้จะปลอบโยนเขาอย่างไร แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเขาหัวเราะ
“เสร็จสิ้นแล้ว”
หวังฮ่าวโบกมือ“เขาบ้าไปแล้ว”
“เซิ่งเจี่ย!มีโอกาสมากมายในชีวิต อย่ายึดติดกับปัจจุบันมากจนเกินไป..”
โจวชี่ปลอบโยนแต่ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค เขาก็ถูกขัดจังหวะ
“ข้าทะลวงสู่ระดับใหม่ได้แล้ว”
ชีเซิ่งเจี่ยแบ่งปันความสุขกับสหายสองคนของเขา
หา?
ทั้งสองคนตกตะลึงโจวชี่เดินเข้ามาด้านหน้าวางมือที่หน้าผากของชีเซิ่งเจี่ย “เจ้าเป็นไข้หรือเปล่า?”
“ไม่”
ชีเซิ่งเจี่ยดึงมือโจวชี่ออก“ข้ากำลังบอกเจ้าว่าอาจารย์ซุนยอดเยี่ยมจริงๆ เขาไม่เพียงแต่รักษาข้าให้หายเท่านั้นแต่ยังช่วยให้ข้าบรรลุระดับใหม่ด้วยเช่นกัน”
“อาจารย์ซุนไหน?” โจวชี่ถาม
“ข้าพูดถึงซุนม่ออาจารย์ซุน”
น้ำเสียงของชีเซิ่งเจี่ยเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ซุนม่อ! ครูฝึกสอนใช่ไหม?”
โจวชี่รู้สึกประทับใจกับชื่อนี้ ที่สำคัญเรื่องของซุนม่อถือเป็นประเด็นร้อนในหมู่นักเรียน
“แน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้เอ่ยชื่อผิด ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นคนหุง ‘ข้าวนุ่ม’ที่ไม่สามารถเป็นครูผู้ช่วยได้ด้วยซ้ำและถูกเตะโด่งไปอยู่แผนกรับส่งพัสดุแทน”
หวังฮ่าวรู้สึกงง