บทที่ 8 : ข้าจะแต่งงาน
บทที่ 8 : ข้าจะแต่งงาน
คำพูดของสือชิงลั่วทำให้พวกเขาตกตะลึง
พวกเขาไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้มาก่อน
แม่เซียวคิดหนัก ส่วนเซียวป๋ายหลี่กับเซียวเอ้อร์หลางก็มีท่าทีกังวล
พวกเขาชอบสือชิงลั่วมาก โดยเฉพาะนิสัยของนาง มันคงจะดีหากนางกลายมาเป็นพี่สะใภ้ของพวกเขา
สือชิงลั่วไม่ต้องการเร่งรัดแม่เซียวให้รีบตัดสินใจ เมื่อเห็นว่าผ้าของนางที่ตากอยู่ที่ลานบ้านแห้งดีแล้ว นางก็เอ่ยว่านางจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
แม่เซียวจึงเดินไปที่ห้องของเซียวหานเจิง
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของบุตรชายไม่แดงเหมือนก่อนหน้าแล้ว นางก็รีบเตะดูที่หน้าผากของเขาและก็ได้รู้ว่า มันไม่ร้อนอีกต่อไปแล้ว
นางประกบมือเข้าหากัน
ยาของสือกูเหนียงได้ผลจริงๆ ขอบคุณสวรรค์!
แม่เซียวจ้องมองบุตรชายสักพักก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เจิงเอ่อร์ เจ้าก็ใกล้จะสิบเจ็ดแล้ว คงได้เวลาที่เจ้าต้องแต่งงานเสียที”
“เจ้าดูสภาพของบ้านเราตอนนี้สิ หญิงสาวที่แต่งเข้ามาคงไม่ได้อะไรเลย ความจริง เจ้าสาวของเจ้าคงต้องมีวันเวลาที่ยากลำบากหลังจากที่แต่งเข้ามาแล้ว”
“หากมีหญิงสาวที่ยินดีแต่งเข้ามา ก็แสดงว่านางต้องเป็นคนดี”
“ดังนั้น แม่จะช่วยจัดการเรื่องการแต่งงานให้เจ้าเอง”
“น้องๆของเจ้าและแม่ต่างชื่นชอบนาง ข้าเชื่อว่า เจ้าก็ต้องชอบนางเช่นเดียวกัน”
“นางช่วยน้องชายกับน้องสาวของเจ้า ยาที่เจ้าเพิ่งกินไปก็ได้ผลดี นางคือผู้มีพระคุณของครอบครัวเรา”
“ว่ากันว่า เราควรใช้ใจตอบแทนผู้ที่มีบุญคุณกับเราไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นก็เปลี่ยนมันให้กลายเป็นงานแต่งเถิด”
หลังจากนั้น นางก็ลุกขึ้นและเดินออกไปด้วยท่าทีที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
เมื่อนางเห็นสือชิงลั่วกำลังนั่งพูดคุยอยู่กับบุตรชายและบุตรสาวของนางที่ลานบ้าน แม่เซียวก็เผยรอยยิ้มออกมา
ในอดีตนางเคยคิดว่า นางควรหาลูกสะใภ้แบบใดให้กับบุตรชาย
ความจริงแล้ว นางหวังมาเสมอว่า นางจะสามารถหาลูกสะใภ้ที่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้นางไม่ต้องหวาดกลัวคนจากบ้านอดีตสามี และสามารถปกป้องบุตรของนางได้
สือชิงลั่วคือลูกสะใภ้ในอุดมคติของนาง ทุกอย่างล้วนดีงามไปหมด
นางเดินเข้าไปนั่งลงข้างสือชิงลั่วและถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สือกูเหนียง เจ้ายินดีแต่งเข้าบ้านพวกเราจริงหรือ?”
สือชิงลั่วพยักหน้า “จริงเจ้าค่ะ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด”
แม่เซียวยิ้มและพูด “ข้าเห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าพูดมา และข้าก็ขอให้เจ้ามั่นใจว่า หลังจากที่แต่งงานเข้ามาแล้ว พวกเราจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน”
“ข้าจะดูแลเจ้าเหมือนบุตรสาวคนหนึ่ง”
“ข้ารู้ว่า ตนเองเป็นคนใจอ่อนและไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำของครอบครัว หากเจ้าแต่งเข้ามาแล้ว ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้นำของบ้าน”
นางพูดต่ออย่างกังวล “แต่ข้ามีเรื่องอยากข้อร้องเรื่องหนึ่ง ขอแค่ให้เจ้าดีต่อเจิงเอ่อร์, อี้เอ่อร์, หลี่เอ่อร์ให้มาก”
สือชิงลั่วยิ้มบางและพูดว่า “แน่นอน ข้าจะใช้สัญชาตญาณของข้าเป็นตัวตัดสิน ตราบใดที่ท่านดีต่อข้า ข้าก็จะดีกลับอย่างเท่าเทียมกันแน่นอน”
นางยังสัญญาด้วยว่า “ไม่ต้องห่วง หากข้าแต่งเข้ามาแล้ว ข้าจะไม่รังแกลูกของท่าน และไม่ปล่อยให้คนอื่นมารังแกลูกของท่านด้วย”
นางรู้สึกว่า การพูดเปิดอกและให้คำสัญญาต่อกันถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี
เพราะนางไม่ได้แต่งกับเซียวหานเจิงเพราะความสัมพันธ์ของคนสองคน แต่เป็นเพราะนางชื่นชอบคนบ้านเซียวต่างหาก
ตอนนี้ พวกเขาพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ในอนาคต พวกเขาคงแทบไม่มีปัญหาในเรื่องของความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น
เซียวป๋ายหลี่และเซียวเอ้อร์หลางดวงตาเป็นประกาย “พวกเราจะมีพี่สะใภ้แล้ว”
แม่เซียวคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “เช่นนั้น เจ้าคิดจะแต่งเข้ามาเมื่อไหร่? หรือต้องรอให้เจิงเอ่อร์ฟื้นขึ้นมาก่อน?”
สือชิงลั่วคิดถึงการกระทำของหวังซื่อและตอบกลับไปว่า “เป็นวันมะรืนดีหรือไม่? มันยังช่วยเรื่องแก้ชงด้วย ผู้คนจะได้ไม่คิดว่าพวกเรารีบร้อนจนเกินไป”
“หากบ้านใหญ่เซียวกล้ามาหาเรื่องท่านอีก ข้าจะช่วยท่านจัดการเอง”
นางมักปกป้องคนของนางเสมอ และไม่ยอมปล่อยให้คนอื่นมารังแกคนของนางได้
“ข้าก็ไม่ต้องการให้ครอบครัวต้องพบเจอปัญหาเหล่านั้นทุกวันเช่นกัน”
ผู้หญิงในบ้านสือล้วนแล้วแต่ทำอาหารไม่ได้เรื่อง
สือชิงลั่วไม่ต้องการฝากท้องของตนเองกับพวกนางอีกต่อไป
แล้วแม่เซียวก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง จำเป็นต้องเร่งรีบขนาดนี้เลยหรือ?
แต่เมื่อคิดดูแล้ว นางก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลดี
นางเคยได้ยินมาว่า ชีวิตของสือชิงลั่วในบ้านสือไม่สบายนัก ไม่เช่นนั้นแล้ว นางคงไม่ถูกส่งไปอยู่ในวัดเต๋าตั้งแต่ยังเด็ก
“แล้วคนบ้านสือจะเห็นด้วยหรือไม่?”
นางพูดด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “แล้วตอนนี้ บ้านของเราก็ไม่สามารถหาสินสอดดีดีให้เจ้าได้ด้วย”
สือชิงลั่วยิ้มและโบกไม้โบกมือ “ข้าไม่ต้องการสินสอด สิ่งของที่ข้านำมาล้วนแล้วแต่เป็นของใช้ส่วนตัวและไม่ถือว่าเป็นสินเจ้าสาวเช่นกัน แล้วข้าจะไปพูดกับที่บ้านให้เข้าใจเอง”
ตัวปัญหาพวกนั้นอาจกระตือรือร้นให้นางแต่งงานออกไปจนแทบทนไม่ไหว
นางพูดต่อ “ในเมื่อเป็นการแต่งงานแก้ชง ก็ไม่จำเป็นต้องจัดงานเลี้ยง”
เงินในมือของแม่เซียวได้มาจากผู้ใหญ่บ้าน เพื่อใช้ช่วยรักษาอาการป่วยของเซียวหานเจิง
ในเมื่อเขายังไม่ได้สติ พวกนางก็ไม่ควรสิ้นเปลืองเงินทองไปกับการจัดงานเลี้ยง
เรื่องสินสอดก็เช่นเดียวกัน นางไม่ต้องการเอาเปรียบคนบ้านเซียว
ในอนาคต หากนางกับเซียวหานเจิงเข้ากันไม่ได้ หรือเขาชอบพอคนอื่น นางก็ยินดีที่จะหย่าให้เขา
สองวันที่ผ่านมา นางได้เปิดดูตำราที่เจ้าของร่างเดิมนำกลับมาและพบว่าต้าเหลียงมีกฎอยู่ข้อหนึ่ง
หลังจากที่อ่านดูแล้ว นางก็พบว่า เมื่อสตรีที่แต่งงานแล้วไม่สามารถคลอดบุตรภายในสามปี หลังจากที่หย่าแล้ว นอกจากกลับไปอยู่บ้านเดิม พวกนางยังสามารถเป็นเจ้าบ้านเองได้ด้วยเช่นกัน
นางต้องการแต่งเข้าบ้านเซียวเพราะมีกฎหมายข้อนี้เป็นแผ่นการสำรองอยู่
แต่หากนางกับเซียวหานเจิงสามารถกลายเป็นสามีภรรยากันจริงๆ นางก็จะจัดงานแต่งงานขึ้นมาอีกครั้งในอนาคต
นางไม่รู้สึกผิดและไม่จำเป็นต้องฝืนใจตนเอง
นางถามแม่เซียว “เป็นอันตกลงว่า ข้าจะแต่งเข้ามาวันมะรืนนะเจ้าคะ”
แม่เซียวรู้สึกอับอายอยู่บ้าง “เจ้าแต่งเข้ามาก่อน เมื่อไหร่ที่ครอบครัวของเราดีขึ้นในอนาคต ข้าจะให้เจิงเอ่อร์จัดงานแต่งงานให้กับเจ้า”
“รวมไปถึงเรื่องสินสอดด้วย”
“ได้เจ้าค่ะ!” สือชิงลั่วไม่ได้สนใจของเหล่านี้ แต่ท่าทีของแม่เซียวแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจกับการแต่งงานในครั้งนี้
ดังนั้น ทั้งสองจึงปรึกษาเรื่องการแต่งงานและเรื่องอื่นๆต่อ
สุดท้ายแล้ว แม่เซียวก็ถามว่า “เช่นนั้น พรุ่งนี้ข้าจะไปเชิญคนบ้านเจ้าให้มาพูดคุยเรื่องการแต่งงานดีหรือไม่?”
นางมองออกว่า สือชิงลั่วไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ นางจึงต้องให้ความสำคัญ “นี่เป็นสิ่งจำเป็น ไม่อย่างนั้น ข้ากลัวว่าผู้อื่นจะเอาไปพูดไม่ดีเกี่ยวกับเจ้าได้”
ถึงแม้ว่าจะเป็นการแต่งงานที่เร่งรีบ พวกเขาก็จำต้องให้คนไปพูดคุยเรื่องนี้
และคนบ้านสือก็ต้องตอบตกลง
จากนั้น สือชิงลั่วก็นับได้ว่าแต่งเข้าบ้านเซียวอย่างเป็นทางการแล้ว
แต่หากพวกเขาไม่ตกลง คนอื่นก็จะพากันวิพากษ์วิจารณ์ว่าสือชิงลั่วแต่งเข้ามาโดยไม่ผ่านแม่สื่อ
และเรื่องนี้มักเกิดขึ้นกับคนที่แต่งเข้าไปเป็นอนุภรรยาเท่านั้น
สือชิงลั่วรู้ว่าแม่เซียวคิดเผื่อนาง นางจึงยิ้มกว้างขึ้น “ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นท่านก็ให้คนไปพูดคุยเรื่องการแต่งงานที่บ้านสือพรุ่งนี้”
แม่เซียวพยักหน้า “ดี!”
หลังจากพูดคุยกันแล้ว สือชิงลั่วก็มอบปลาให้กับพวกเขาและกลับบ้านไป
แม่เซียวไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเพื่อบอกเรื่องนี้กับเขา นางต้องการให้ภรรยาของเขาช่วยนางเรื่องการหมั้นหมายในวันพรุ่งนี้
เซียวหานเจิงที่นอนอยู่บนเตียงดูเหมือนกำลังฝันร้ายอยู่
คิ้วของเขาขมวดแน่น หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
เขาพยายามดิ้นรน แต่กลับไม่สามารถลืมตาตื่นขึ้นมาได้
ในเวลานี้ เขายังคงไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะมีภรรยาแล้ว
ในบ้านสือ
สือชิงลั่วกลับไปที่บ้าน
เมื่อนางเดินเข้าไปในลานบ้าน คนบ้านสือต่างจับจ้องไปที่ปลาสามตัวที่นางถือมาด้วย
สือชิงลั่วโยนปลาลงไปบนโต๊ะและออกคำสั่ง “เอาไปต้ม”
นางพูดต่อ “เอาไปทอดกับน้ำมันก่อนที่จะเอาไปต้มด้วย”
ใบหน้าของยายเฒ่าสือดำคล้ำขึ้นมาทันที “ในบ้านไม่ได้มีน้ำมันเหลือมากหรอกนะ”
สือชิงลั่วเลิกคิ้วไปทางนาง “ท่านย่า อยากโดนหวายหรือไม่?”
ไม่ นางไม่อยาก
เมื่อนึกย้อนไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่ลูกสะใภ้ของนางถูกปีศาจร้ายตนนี้ทุบตี นางก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง
ด้วยสัญชาตญาณของการเอาตัวรอด นางจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ทอด ทอดให้นางเร็วเข้า”
นางอยากทอดปีศาจร้ายตนนี้เช่นเดียวกัน
นางอยากส่งปีศาจร้ายตนนี้ออกไปจากบ้านจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
คนอื่นในบ้านต่างก็มีความคิดเช่นเดียวกัน
ในตอนที่พวกเขากำลังคิดอยู่นั้น สือชิงลั่วก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าจะแต่งงาน!”
ทุกคนในบ้านสือต่างจับจ้องไปที่นางด้วยดวงตาเบิกกว้าง