ตอนที่แล้วบทที่ 4 รัศมีมหาคุรุ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 6 รางวัล

บทที่ 5 ฝึกแบบนั้นไม่ถูกต้อง


ในที่สุดการต่อสู้ก็ไม่เกิดขึ้น

ซุนม่อเก็บเงินและออกไปหาอาหารแม้ว่าความขัดแย้งจะเพิ่งเกิดขึ้น แต่ภายในจิตใจของเขาสงบ  ทั้งนี้เป็นเพราะเขามั่นใจว่าตราบใดที่หยวนฟงยังมีสมองอยู่บ้างเขาคงอดทนได้  ต่อให้เขาทนไม่ได้แต่เพื่อนร่วมห้องอีกสองคนก็คงจะห้ามเขา

นอกจากข้อเท็จจริงที่ว่าไม่ว่าใครก็ไม่อาจฝ่าฝืนกฎของโรงเรียนในระหว่างฝึกสอนได้มิฉะนั้นพวกเขาจะถูกไล่ออก  ตอนนี้เขาตกเป็นเป้าของผู้ไม่หวังดีไปแล้ว  พวกมันแค่รอให้เขาทำผิดก่อนที่จะไล่เขาออก

ถ้าหยวนฟงโจมตี เขาคงโชคร้ายไปด้วยกัน

ปกติแล้วถ้าเกิดการทะเลาะต่อสู้ขึ้นซุนม่อก็ไม่กลัวเช่นกัน

“ข้าต้องรีบค้นคว้าพลังปราณจิตและฝึกวิชาเซียนมหาจักรวาลไร้ลักษณ์ให้จงได้  ถ้าเกิดความขัดแย้งขึ้นอีกใครจะยังทะเลาะด้วยอีก? ข้าจะระเบิดศีรษะสุนัขมันเสีย!”

สำหรับความขัดแย้งระดับนี้ซุนม่ออาจดูเหมือนกระวนกระวายใจมากและต้องการต่อสู้ทันทีที่พวกเขาทะเลาะกัน  อย่างไรก็ตามจิตใจของเขาสงบนิ่งมาก เขาไตร่ตรองสถานการณ์และวิธีรับมือทั้งหมดมานานแล้ว

หยวนฟงถลึงตามองด้วยความไม่พอใจและทุบกำปั้นกับผนัง

“วันที่มันถูกไล่ออกข้าจะซื้อประทัด 100 ตับมาจุดฉลองส่งมันด้วยความยินดี”

หยวนฟงกัดฟันกรอด

“เจ้านี่ไม่รอดแน่นอน  ทำไมเจ้าต้องลดตัวไปทะเลาะกับเขาด้วย”

หลู่ตี๋ปลอบโยน จากมุมมองนี้ไม่มีทางที่ซุนม่อจะเข้าร่วมงานได้ ขณะที่หยวนฟงยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นเพื่อนร่วมงานในอนาคตของขา  ดังนั้นเขาจึงพูดคุยกับหยวนฟงอย่างเป็นกันเอง

วิทยาเขตภายใต้แสงดาวให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปลมยามราตรีพัดกระโชกขณะที่ซุนม่อกำลังเดินไตร่ตรองถึงเรื่องของเขาและคู่หมั้น

แม้ว่าอันซินฮุ่ยจะอายุมากกว่าซุนม่อสามปีแต่พวกเขาก็เป็นคู่รักมาตั้งแต่วัยเด็ก

ซุนม่อเติบโตที่สถาบันจงโจวตั้งแต่วัยเด็กเขาไม่ได้อยู่กับมารดาจนอายุได้ 8 ขวบ เพราะบิดาของเขาเป็นครูใหญ่ของสถาบันเป็นลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของปู่ของอันซินฮุ่ยอดีตครูใหญ่ ครั้งหนึ่งเขาเอ่ยปากในวันเกิดว่าทั้งสองครอบครัวจะเกี่ยวดองแต่งงานกัน

เมื่ออันซินฮุ่ยเติบโตขึ้น พรสวรรค์ที่ตระหนกของนางก็ฉายแววออกมาในที่สุดนางเลือกเข้าเรียนในสถาบันเทียนจีในแคว้นหวินโจว จากนั้นนางก็มีชื่อเสียงเลื่องลือในขณะที่ยังเป็นน้องใหม่ด้วยซ้ำ

ในทางตรงกันข้ามความสามารถของซุนม่อนั้นด้อยกว่าบิดาของเขามาก ก็แค่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเพียงเล็กน้อย เขาได้แต่พึ่งพาความพากเพียรอย่างหนักแทบไม่สามารถเข้าเรียนในสถาบันซงหยางด้วยซ้ำ

ซุนม่อรู้ดีว่าเขาไม่คู่ควรกับอันซินฮุ่ย  เขาไม่คิดเอาคำพูดตลกๆ ของครูใหญ่คนเก่ามาใส่ใจแต่ใครจะรู้ว่าไม่กี่วันก่อนที่เขาจะจบการศึกษา อันซินฮุ่ยส่งจดหมายนัดและสัญญาการแต่งงานมาให้เขา  นอกจากจ้างให้เขาเป็นครูฝึกสอนในสถาบันจงโจวแล้วนางหวังว่าจะแต่งงานกันได้โดยเร็วที่สุด

อันซินฮุ่ยเป็นหญิงงามผุดผ่องและนางก็คือรักแรกของซุนม่อ ดังนั้นเมื่อเขาเรียนจบ เขารีบเก็บของและเข้ามาอย่างรวดเร็ว ในท้ายที่สุดเขาตกเป็นเป้าหมายในทุกที่และถูกไล่ต้อนเข้าไปอยู่ในแผนกรับส่งพัสดุ

“ตัวตนข้าคนเก่าโง่มากแน่นอนว่ามีแรงจูงใจซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้”

ซุนม่อพูดไม่ออก  เขายังเข้าใจเช่นกันถึงเหตุผลที่ซุนม่อคนเก่าต้องออกไปผ่อนคลายที่ชานเมือง  ความรู้สึกนี้เหมือนกับตอนที่ใครๆกำลังรอกินกุ้งมังกรเมนูเลิศรส แต่กลับพบว่าได้กินแกลบแทน

“แล้วข้าควรจะทำยังไงดี?”

ซุนม่อคงไม่อาจหวนกลับคืนได้  นอกจากนี้ยังมีภารกิจสองอย่างที่ระบบมหาคุรุมอบหมายให้เขาทำดูเหมือนว่าเขาคงได้แต่เป็นครูเท่านั้น

โชคดีที่เขามีประสบการณ์ในการเป็นครูผู้ดูแลมาหกปี (ในโลกเก่า)  และตอนนี้เขายังมีเวทเนตรทิพย์อีกด้วย  ด้วยสิ่งเหล่านี้ คงไม่มีปัญหาสำหรับเขาในการปักหลักอยู่ในสถาบันจงโจว

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าซุนม่อจะลืมไปว่าสิ่งที่สอนในดินแดนที่นี้ไม่ใช่วิชาภาษาต่างประเทศฟิสิกส์ หรือเคมี มันคือวิทยายุทธ์ อักขระวิญญาณ วิชาสมุนไพร โหราศาสตร์ ฯลฯ

“ข้าสงสัยว่าเงินเดือนเป็นอย่างไรค่าจ้างจะเท่ากับที่เก่าไหม แม้ว่าจะทำงานมาห้าปีติดต่อกัน?”

เมื่อคิดถึงอัตราค่าเช่าที่น่าสะพรึงกลัวอัตราค่าเช่าของเมืองจินหลิงคงไม่สูงจนคนต้องกระโดดตึกตายหรอกใช่ไหม?

ทะเลสาบม่อเปยของสถาบันจงโจวเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่มีชื่อเสียงในเมืองจินหลิง  ภายใต้แสงจันทร์เงินยวงดูงามตายิ่งนัก

ซุนม่อเดินไปได้ครึ่งรอบ จู่ๆเขาได้ยินเสียงเบาดังมาจากป่าด้านขวามือ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไป

ในป่าโปร่งมีเด็กหนุ่มถอดเสื้อกำลังฝึกวิชาหมัดมวย  กางเกงผ้าฝ้ายของเขาเปียกโชกและถูกถลกขึ้นเขาสวมรองเท้าผ้า

เหงื่อไหลย้อยลงมาที่หลังของเขา  ขณะที่เขาใช้วิชาหมัดทหาร เหงื่อของเขากระเซ็นไปในอากาศจากแรงอัดกระแทก

ซุนม่อรู้สึกอยากผิวปากแสดงความชื่นชม  หุ่นของหนุ่มน้อยคนนี้ดูดีมาก  แม้ว่าเขาจะตัวไม่สูง  แต่ก็ไม่มีร่องรอยของเนื้อส่วนเกินบนร่างกาย  รูปลักษณ์กล้ามเนื้อของเขาชัดเจน ร่างของเขาแข็งแรงการเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ทำให้ซุนม่อนึกถึงร่างทรงพลังที่เพรียวบางกว่าของบรู๊ซ ลี

ปัง ปัง ปัง!

ลมกระโชกจากหมัดของเขาทำให้อากาศแตกกระจายเป็นริ้วเกิดเสียงระเบิดเบาๆเด็กหนุ่มมีความมุ่งมั่นอย่างมาก เขาพยายามออกหมัดให้สมบูรณ์แบบที่สุดโดยไม่สนใจจะเหลือบมองซุนม่อคนแปลกหน้าที่โผล่ออกมากะทันหัน

ซุนม่อยืนกอดอกพิงต้นเมเปิลจ้องมองเขาจากด้านข้าง

พลังตาทิพย์ของเขาถูกเปิดใช้งาน

เหนือศีรษะเด็กหนุ่มมีสามคำปรากฏขึ้นทันที

“ชีเซิ่งเจี่ย? เป็นชื่อที่ดี”

ซุนม่อแอบชื่นชม

หลังจากนั้นก็มีข้อมูลไหลออกมาจากส่วนอื่นๆของร่างกายของเขา

ความแข็งแกร่ง : 8 ถือว่าโดดเด่นในหมู่สหาย ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาที่จะฆ่าวัวด้วยหมัดของเขา

สติปัญญา : 4 โง่อยู่บ้างและพูดช้า  ดีแต่ขยันฝึกเท่านั้น

ความคล่องแคล่ว : 6  ได้มาตรฐานทั่วไป

ปณิธาน : 3  สามารถไปถึงระดับ 7 เป็นอย่างมาก  ไม่ใช่เรื่องปกติที่เด็กหนุ่มจะมีปณิธานแบบนี้

......

ปณิธาน?

เทียบกับหลี่จื่อชีข้อมูลของชีเซิ่งเจี่ยมีสถานะปณิธานเพิ่มเติม มีตัวบรรยายสีแดงด้วย

“เมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งพบกับความพ่ายแพ้ ปณิธานของเขาจึงค่อยๆลดลง”

“ระบบมหาคุรุให้ความเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริงมันยังรู้วิธีเน้นข้อความสีแดงเสียด้วย”

ซุนม่อขมวดคิ้วถามระบบในใจ “มาตรฐานปกติในปัญญาของคนธรรมดาเป็นยังไงบ้าง?”

“ห้า!”

ระบบตอบอย่างกระชับ ตรงประเด็นเหมือนกับว่าถ้าพูดอีกคำเดียวมันอาจเหนื่อยตายได้

“นั่นก็หมายความว่าชีเซิ่งเจี่ยค่อนข้างโง่ไม่ใช่เหรอ?”

ซุนม่อพูดไม่ออกคำตอบของระบบนั้นง่ายเกินไป อย่างไรก็ตาม ด้วยสติปัญญาของซุนม่อเขาเข้าใจว่าจุดเริ่มต้นของคนธรรมดาคือ 5

ระบบไม่จำเป็นต้องสนทนากับเจ้า

“ความอดทน 7, การระเบิดพลัง 6 ไม่เลว”

ซุนม่อคิดถึงหลี่จื่อชีความฉลาดของสาวงามนั้นคือ 10 ดังนั้นคุณค่าที่เป็นไปได้ของนางจึงสูงมากแม้ว่านางค่อนข้างซุ่มซ่าม แต่ระบบก็ยังแนะนำให้เขารับนางเป็นศิษย์

สำหรับเด็กหนุ่มผู้นี้หลังจากซุนม่อพบข้อมูลคุณค่าที่เป็นไปได้ของเขาซึ่งเปิดเผยอยู่ด้านข้างเขาเขาก็อดส่ายหน้าไม่ได้

คุณค่าศักยภาพ : ต่ำ

แม้ว่าซุนม่อจะไม่รู้คุณค่าเฉลี่ยที่เป็นไปได้ของคนธรรมดา  แต่เมื่อเห็นคำว่า ‘ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาก’  เขารู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีอนาคต

อายุ : 15

ขอบเขตพลัง : ระดับ 3 ของการเสริมสร้างร่างกาย

เมื่อซุนม่อเห็นข้อมูลนี้แล้วเขาขมวดคิ้ว หลังจากอ่านหนังสือในห้องสมุดเป็นเวลาหนึ่งวัน เขาก็เข้าใจวิถีแห่งการฝึกปรือแล้ว

ขอบเขตพลังเริ่มต้นแห่งวิถีของการฝึกปรือ  คือขอบเขตการเสริมสร้างร่างกายหมายถึงการฝึกปรือวิทยายุทธ์ น้ำยา อาหาร และโอสถสำหรับอาบเพื่อเสริมสร้างร่างกาย

กายเป็นต้นกำเนิดแห่งมนุษย์ ตราบเท่าที่ร่างกายแข็งแกร่งเพียงพอพวกเขาก็ไม่ต้องกลัวความเจ็บป่วยและสามารถอยู่รอดได้แม้ได้รับบาดแผลมากมาย ขอเพียงมีชีวิตพวกเขาก็สามารถก้าวสู่ขอบเขตที่สูงกว่าได้

พูดง่ายๆ ก็คือถ้าความตายของคนเราเทียบเท่ากับแสงที่ดับลงขอบเขตการเสริมสร้างร่างกายก็ช่วยให้เปลวไฟนี้มีความสว่างขึ้นเป็นเวลานานยิ่งขึ้นจะไม่ดับลงเพียงเพราะลมกระโชกแรง

ขอบเขตการเสริมกายมีทั้งหมดเจ็ดระดับสัญญาณที่โดดเด่นที่สุดก็คือความก้าวหน้าในแง่ขอบเขตการฝึกปรือความแข็งแกร่ง

ขอบเขตของชีเซิ่งเจี่ยเข้ากันกับสิ่งที่เขาประเมินคุณค่าที่เป็นไปได้ คือระดับต่ำเตี้ย

โดยปกติเมื่อยังเด็กพวกเขาจะยังไม่ฝึกฝนขัดเกลาร่างกาย เพราะพวกเขายังไม่เติบโตเต็มที่ทั้งนี้เพื่อป้องกันการหลงเหลือบาดแผลไว้เบื้องหลัง ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดพวกเขาจะแบ่งเบาภาระทางร่างกายของพวกเขาด้วยการเรียนรู้อักขระวิญญาณคัมภีร์สี่เล่ม พื้นฐานห้าอย่าง และศิลปะทั้งหก

ในเก้าแว่นแคว้นของแผ่นดินใหญ่ผู้ฝึกปรืออายุ 12 ปีถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้วในขณะนั้นเราสามารถเริ่มฝึกเสริมสร้างร่างกายไปทีละเล็กน้อย

อายุ 15 ตามปกติผู้ฝึกจะต้องไปถึงระดับ 4 หรือ 5 แล้ว

ซุนม่อไม่รู้สึกแปลกใจนักเรียนของสถาบันจงโจวมีเครื่องแบบของพวกเขา แต่ชีเซิ่งเจี่ยไม่สวมใส่ขณะฝึกปรือตอนกลางคืน  เพราะถ้าเขาทำเสียหายเขาจะต้องใช้เงินเพื่อซื้อชุดใหม่

ชุดฝ้ายบุนวมชุดนี้สีเดิมหายไปแล้วและยังมีรอยปะบนเสื้อผ้า สำหรับคนที่มาจากครอบครัวยากจนไม่จำเป็นต้องพูดถึงยาเพิ่มพลังหรือการอาบน้ำโอสถ คนจนทำได้เพียงพึ่งพาความสามารถและขยันหมั่นเพียรเท่านั้น

การเคลื่อนไหวของชีเซิ่งเจี่ยผิดเพี้ยนเล็กน้อยและไม่มีอะไรที่เขาทำได้  เมื่อถูกซุนม่อจ้องมอง  เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยดังนั้นเขาเลือกหยุดพักและเดินไปที่เสื้อผ้าที่วางอยู่บนพื้นหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม 2-3 อึก

“เลิกฝึกซะเถอะ”  ซุนม่อกล่าว

หืม?

ชีเซิ่งเจี่ยหันหน้าไปมองซุนม่ออย่างงุนงงเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้กำลังพูดกับเขา

“เลิกฝึก กลับไปนอนได้แล้ว”

ในฐานะครูซุนม่อยังคงชื่นชมนักเรียนที่ขยันฝึกฝนเช่นเขา

อึกๆ

ชีเซิ่งเจี่ยดื่มน้ำของเขาและถูที่กล้ามเนื้อแขนและต้นขาของเขาจากนั้นเดินไปที่ว่างข้างหน้าและเริ่มต้นฝึกหมัดหมาป่าฟ้าต่อ

การทดสอบในโถงประลองในอีกสัปดาห์ข้างหน้าคือโอกาสสุดท้ายของเขาถ้าเขายังผ่านไม่ได้ เขาจะต้องกลับบ้าน ไปเป็นชาวนา ถ้าเขาไม่ฝึกให้หนักในตอนนี้เขาจะไม่มีโอกาสฝึกหนักในอนาคต

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ชีเซิ่งเจี่ยก็ปล่อยหมัดด้วยความพยายามมากขึ้น

“เจ้าฝึกแบบนี้มันไม่ถูก”

ซุนม่อไม่ใช่คนยุ่มย่ามอย่างไรก็ตามจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่าระดับความเหนื่อยล้าของเด็กหนุ่มนี้สูงมากแล้วนอกจากนี้กล้ามเนื้อหลายส่วนของเขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยบ้างแล้ว

“ท่านคือ...”

ชีเซิ่งเจี่ยหยุดเคลื่อนไหว

“......”

ซุนม่อไม่รู้จะพูดยังไง  เขามีเกียรติศักดิ์ศรีเป็นของตนเองหากไม่ได้รับการยอมรับจากสถาบันก่อน เขาจะไม่อ้างว่าเป็นครูฝึกสอน

“ท่านเป็นครูฝึกสอนใช่ไหม?”

ชีเซิ่งเจี่ยถามต่อซุนม่อสวมชุดยาวสีน้ำเงิน และนี่เป็นสิ่งที่ครูฝึกสอนเท่านั้นใช้สวมใส่ เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้เขารู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อยตราบใดที่ครูฝึกสอนสามารถแนะนำเขาได้บ้าง ความแข็งแกร่งของเขาก็สามารถเพิ่มขึ้นได้

“ข้าชื่อซุนม่อ”

“อา...คู่หมั้นของครูใหญ่อันเหรอ?”

เมื่อเขาได้ยินชื่อนี้ชีเซิ่งเจี่ยร้องทักออกมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาเบิ่งตากว้างสำรวจมองซุนม่อ  ความจริงซุนม่อเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์หล่อเหลาไม่น้อยใบหน้าของเขาราวกับหยก ต้นทุนที่เขามีอยู่นั้นทำให้เขาสามารถกิน ‘ข้าวนุ่ม’ได้นั้น แข็งแกร่งนัก

เทียบตัวเองกับอีกฝ่ายเขาเป็นเหมือนก้อนกรวดริมทาง

“ข้าบอกว่ามันไม่ถูกต้องที่เจ้าจะฝึกฝนด้วยวิธีแบบนี้  เจ้าควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”

ซุนม่อเกลียดการเสียเวลาอย่างที่สุดข้อเท็จจริงที่ว่าเขาต้องพูดซ้ำๆ กันถึงสามสี่ครั้งทำให้น้ำเสียงของเขาแข็งขึ้น

“โอว!”

ชีเซิ่งเจี่ยพึมพำแต่เขาไม่ฟังซุนม่อ

ซุนม่อขมวดคิ้วจากนั้นเขาหัวเราะเยาะตัวเองแล้วหันหลังเดินจากไป อีกฝ่ายไม่เชื่อคำแนะนำของเขา นอกจากนี้เขาไม่ตั้งใจจะให้คำแนะนำใดๆ เพียงแต่พูดออกมาเพราะถูกกระตุ้นโดยชีเซิ่งเจี่ยที่ฝึกฝนหนักขนาดไหน?

ชีเซิ่งเจี่ยสงสัยซุนม่อจริงๆ  เนื่องจากเขาเป็นประเด็นร้อนในสถาบัน  จากมุมมองของชีเซิ่งเจี่ยครูฝึกสอนผู้นี้ไม่สามารถเป็นครูผู้ช่วยและต้องทำงานจิปาถะ ในแผนกรับส่งพัสดุไม่มีมาตรฐานการสอนที่ดี

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา ชีเซิ่งเจี่ยจะฟังคำแนะนำเดาสุ่มไม่น่าเชื่อถือได้อย่างไร?

“ใส่ใจแขนขวาและขาซ้ายของเจ้าเอาไว้อย่าใช้กำลังในส่วนนั้นมากเกินไป”

ที่ด้านนอกป่า คำเตือนเลื่อนลอย  ใครที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะพูดว่าเสียงของซุนม่อน่าฟัง

ชีเซิ่งเจี่ยอดหัวเราะไม่ได้ด้วยการฝึกฝนที่หนักหน่วงนี้ ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บแทบทุกที่แต่เขาจะทำยังไงได้ นอกจากอดทน

ไม่ว่ายังไงก็ตามการฝึกฝนอย่างหนักไม่มีทางผิดพลาด

จากมุมมองที่เรียบง่ายของชีเซิ่งเจี่ย  เขารู้สึกว่ายิ่งพยายามมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น

0 0 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด