บทที่ 4 : ครอบครัวนี้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการแต่งงาน
บทที่ 4 : ครอบครัวนี้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการแต่งงาน
สองวันต่อมา สือชิงลั่วอยากกินซุปปลา นางจึงเดินมาที่แม่น้ำที่เชื่อมสองหมู่บ้านเอาไว้เพื่อจับปลา
ระหว่างทางนางได้ยินคนกำลังซุบซิบนินทากันอยู่
“ซิ่วไฉเซียวของหมู่บ้านเซี่ยซีช่างน่าสงสารจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะสอบซิ่วไฉได้ แต่กลับต้องมาตกเขาจนหมดสติ ข้าได้ยินมาว่า ครอบครัวของเขาไม่มีเงินซื้อยาแล้ว ไม่รู้ว่าจะช่วยชีวิตเขาได้หรือไม่”
“แล้วคนบ้านใหญ่เซียวไม่คิดสนใจเลยเหรอ?”
“เจ้าไม่รู้เรื่องของพวกเขาเหรอ?”
“ข้าเพิ่งกลับมาจากในเมือง แล้วเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเซียวเหรอ?”
“พ่อของซิ่วไฉเซียวไปเข้าร่วมกับกองทัพและได้กลายเป็นแม่ทัพน่ะสิ ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาได้พาสตรีผู้หนึ่งมากับเขาด้วย”
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่แม่ของซิ่วไฉเซียวผลักสตรีผู้นั้นจนล้มและแท้งลูก”
“เขาโกรธมากจนต้องการเปลี่ยนนางให้กลายเป็นอนุแทน และสุดท้ายพวกเขาก็หย่าขาดกัน”
ซิ่วไฉเซียวกับพี่น้องจึงตามไปอยู่กับมารดาของพวกเขา และทำการแยกบ้านกับคนบ้านใหญ่เซียว”
“ซิ่วไฉเซียวเป็นคนมีคุณธรรม ข้าได้ยินมาว่า แม่ทัพเซียวต้องการพาเขากลับไปเลี้ยงดูที่เมืองหลวง แต่เขาปฏิเสธและเลือกที่จะอยู่กับมารดาและพี่น้องของเขาที่นี่”
“เรื่องนี้ทำให้แม่ทัพเซียวโมโหมาก จนเขียนหนังสือตัดขาดกับซิ่วไฉเซียวและพี่น้องของเขา แม่ทัพเซียวเพิ่งจะกลับเมืองหลวงไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ส่วนคนบ้านใหญ่เซียวก็ไม่คิดสนใจพวกเขา”
“เมื่อก่อน ตอนที่แม่ทัพเซียวต้องไปเข้าร่วมกับกองทัพ เมียของเขาที่อยู่ในบ้านเซียวก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีนัก นางมักจะถูกแม่สามีก่นด่าและโดนพี่สะใภ้รังแก ถ้าหากไม่มีซิ่วไฉเซียวอยู่ด้วย นางก็คงถูกทรมานจนตายไปนานแล้ว”
“เวรกรรม พวกเขาโหดร้ายเกินไปแล้ว”
“คนบ้านใหญ่เซียวล้วนแต่ร้ายกาจ ตั้งแต่ตายายของซิ่วไฉเซียวจากไป พวกเขาก็ยิ่งปฏิบัติกับมารดาและพวกเขาแย่ลงทุกวัน”
“หากซิ่วไฉเซียวไม่ได้ทำคะแนนในครั้งนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมละก็ เขาคงไม่สามารถตัดสินใจเพื่อช่วยมารดาของเขาได้”
“เขาสอบผ่านซิ่วไฉและมีพ่อเป็นถึงแม่ทัพแล้วอย่างไร? อีกไม่นานเขาก็ต้องตายอยู่ดี”
“เมื่อก่อน เขามีชื่อเสียงอยู่ภายในเมืองเพราะสามารถอ่านเขียนได้ น่าเสียดายจริงๆ เฮ้อ!”
หลังจากที่ได้ยินเรื่องซุบซิบแล้ว สือชิงลั่วก็เดินต่อไปที่แม่น้ำ
แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้แม่น้ำ นางก็เห็นเด็กที่กำลังจมน้ำ
นางรีบวิ่งเข้าไปและกระโดดลงไปในน้ำเพื่อช่วยเขาโดยไม่ลังเล
หลังจากที่ช่วยเหลือขึ้นมาได้แล้ว เด็กชายก็ลืมตาขึ้นมาและสำลักน้ำออกมาไม่น้อย
“ข้ายังไม่ตายเหรอ?” เขาถามด้วยสีหน้าสับสน
เขาอยากลงไปจับปลาในแม่น้ำ แต่ขาของเขาเกิดเป็นตะคริวและเขาก็จมน้ำ
เขาคิดว่าต้องตายเสียแล้ว
สือชิงลั่วมองสีหน้าที่สับสนของเขาและลูบศีรษะของด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว มีคนช่วยเจ้าขึ้นมา เจ้าจึงยังไม่ตาย”
เซียวเอ้อร์หลางเงยหน้าขึ้นและเห็นเด็กสาวที่แก่กว่าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ นางกำลังมองเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยน
เขาไม่ได้โง่และเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว นางคือคนที่ช่วยเขาเอาไว้
“ขอบคุณพี่สาว ข้าจะต้องตอบแทนบุญคุณที่พี่สาวช่วยชีวิตของเขาเอาไว้อย่างแน่นอน”
ตอนนี้ เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ครอบครัวสามารถพึ่งพาได้
พี่ชายของเขายังไม่ได้สติ หากเขาตายไป มารดาและพี่สาวของเขาคงเสียใจมาก
สือชิงลั่วมองดูเด็กชายวัย 8-9 ขวบที่รู้ความ เขาทำให้นางประทับมาก
“เอาเถอะ แล้วข้าจะรอเจ้ามาตอบแทนบุญคุณ”
สำหรับเด็กคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องดีที่เขามีเป้าหมาย
“บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน? ข้าจะพาเจ้ากลับไปส่ง”
เซียวเอ้อร์หลางอยากปฏิเสธ เขาอับอายเกินกว่าที่จะรบกวนนางอีกครั้ง
แต่เขาเจ็บเท้าเกินกว่าที่จะลุกขึ้นยืนได้ เขาพูดอย่างขัดเขินว่า “ข้าคงต้องรบกวนพี่สาวแล้ว บ้านของข้าอยู่หมู่บ้านข้างๆขอรับ”
สือชิงลั่วแบกเด็กชายเอาไว้และเดินไปตามทางที่เด็กชายชี้บอก
สือชิงลั่วพูดคุยกับเขาในระหว่างที่กำลังเดินอยู่
นางจึงได้รู้ว่า เขาก็คือน้องชายของซิ่วไฉเซียวที่ผู้หญิงหลายคนพูดถึงคนนั้น
พี่ชายคนโตของเขาได้รับบาดเจ็บที่ขาหลังจากตกลงมาจากเขา แถมไข้ของเขาก็ยังไม่ยอมลดลงเลย
หลังจากที่กินยาไปแล้ว อาการของเขาก็ยังไม่ดีขึ้น ผ่านมาได้หลายวันแล้ว แต่เขากลับยังไม่ฟื้นเสียที
ป้าใหญ่กับป้าสามจึงฉวยโอกาสที่พี่ชายของเขาไม่ได้สติเข้ามาขโมยอาหารของที่บ้านไปจนหมด
พวกเขาไม่ได้รับเงินมาในตอนที่แยกบ้าน ตอนนี้ พวกเขาจึงไม่มีเงินซื้อยา
ในทุกๆวันแม่ของเขาต้องขึ้นเขาเพื่อเก็บสมุนไพรและนำมาต้มให้พี่ชายของเขาดื่ม ส่วนพี่สาวของเขาก็ออกไปขุดผักป่าเพื่อเอามาเติมเต็มกระเพาะของคนที่บ้าน
เขามองเห็นพี่ชายของเขาผ่ายผอมลงทุกวัน
เขาได้ยินมาว่า หากได้กินเนื้อพี่ชายของเขาก็จะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ในเมื่อครอบครัวไม่มีเงินซื้อเนื้อ เขาจึงอยากไปจับปลาเพื่อนำมาทำซุปปลา
แต่เขากลับเกือบต้องจมน้ำตาย
หลังจากที่สือชิงลั่วได้ยินเรื่องนี้ นางก็รู้สึกสงสารเด็กชาย
ครอบครัวของเขากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ย่ำแย่
ครอบครัวของเซียวเอ้อร์หลางอาศัยอยู่ในบ้านเก่าของตระกูลเซียว ซึ่งตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านติดกับภูเขา
สือชิงลั่วเดินแบกเซียวเอ้อร์หลางมานานเกือบครึ่งชั่วยาม
แล้วบ้านที่ดูชำรุดทรุดโทรมหลังหนึ่งก็ปรากฏขึ้น รอบด้านมีบ้านหลังอื่นอยู่ด้วย แต่ยังถือว่าอยู่ห่างกัน
เมื่อพวกเขาเปิดประตูและเดินเข้าไป พวกเขาก็ได้ยินเสียงคนสองคนที่กำลังร้องไห้อยู่
หญิงวัยกลางคนที่มีดวงตาแดงก่ำและบวมแดงรีบวิ่งออกมาเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ด้านหลังของนางมีเด็กสาววัย12-13 ปีที่มีดวงตาแดงก่ำตามออกมาด้วย
แม่เซียวถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นหน้าลูกชายที่หายตัวไปของนาง นางถามออกไปว่า “เอ้อร์หลาง เจ้าไปที่ไหนมา? เจ้าทำให้แม่กลัวแทบตาย”
เซียวเอ้อร์หลางมองมารดาของเขาด้วยความรู้สึกผิด “ท่านแม่ ข้าอยากไปจับปลา แล้วข้าเกือบจมน้ำ แต่ก็ได้พี่สาวช่วยเอาไว้”
เมื่อแม่เซียวได้ยินก็หายตกใจและผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ต้องขอบคุณที่ลูกชายของนางถูกช่วยเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นนางจะชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร? เรื่องนี้คงต้องทำให้นางเจ็บปวดใจอย่างมาก
นางมองไปทางสือชิงลั่วและเอ่ยปากขอบคุณ “ขอบคุณ ขอบคุณมาก”
นางเช็ดน้ำตาและพยายามฝืนทำตัวเข้มแข็ง นางพูดต่อว่า “เราต้องตอบแทนบุญคุณของเจ้าอย่างแน่นอน”
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาทำให้จิตใจของนางแทบแหลกสลาย
หากไม่ใช่เพราะนางมีลูกๆอยู่ นางก็คงเลือกจบชีวิตของตนเองไปแล้ว
สือชิงลั่วมองดูแม่เซียวที่อ่อนแอและรู้ได้ทันทีว่านางเป็นคนใจอ่อน
ในเวลานี้ นางเพียงแกล้งทำตัวใจเย็นและเข้มแข็งเท่านั้น
นางมองออกว่าอีกฝ่ายรักลูกมากแค่ไหน เมื่อได้ยินว่าลูกชายเกือบจมน้ำ สีหน้ากระวนกระวายและไร้สิ้นหนทางที่แสดงออกมาล้วนออกมาจากใจจริง
นางยิ้ม “ข้าเพียงผ่านทางมาและได้ช่วยเหลือเขาก็เท่านั้น ไม่ได้มากมายอะไรเลย”
แม่เซียวกลับให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก
เมื่อเห็นว่าสือชิงลั่วตัวเปียก นางก็พูดว่า “หากเจ้าไม่รังเกียจ ก็เอาเสื้อผ้าของข้าไปใส่ก่อนเถอะ ข้าจะนำเสื้อผ้าของเจ้าไปตากให้แห้งเอง”
“ด้านนอกร้อนมากไม่นานผ้าก็คงแห้ง ตอนนี้ก็ยังเป็นหน้าร้อนอยู่ หากใส่เสื้อผ้าเปียกอยู่เช่นนี้ เจ้าจะเป็นหวัดได้”
สือชิ่งลั่วรู้สึกไม่สบายตัวเมื่อสวมใส่เสื้อผ้าเปียกชุ่มเช่นนี้ นางมองดูเสื้อผ้าที่แม่เซียวสวมใส่ที่ร่องรอยของการปะชุน แต่เสื้อผ้ากลับสะอาดสะอ้านและเรียบร้อย
ดังนั้น นางจึงพยักหน้ารับ “ได้ รบกวนท่านแล้ว”
แม่เซียวโบกมือข้างหนึ่งเพื่อปฏิเสธ “ไม่เลย ไม่รบกวนเลย!”
จากนั้น นางจึงนำเสื้อผ้ามาให้สือชิงลั่วเปลี่ยน นางเลือกชุดที่ดีที่สุดของตัวเองมาให้สือชิงลั่วและรับเสื้อผ้าเปียกของสือชิงลั่วไปซักล้างและตากแดดด้านนอก
หลังจากที่สือชิงลั่วเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว นางก็ออกมานั่งรอที่ลานบ้าน ในเวลาเดียวกัน นางก็ได้พูดคุยกับแม่เซียวและลูกชายของนาง
จากการที่ได้พูดคุยกัน ทำให้นางได้รู้เรื่องราวหลายอย่างเกี่ยวกับพวกเขา ทั้งสามล้วนแล้วแต่เป็นคนซื่อ
หากคนที่หมดสติยังไม่ฟื้นขึ้นมา ก็คงไม่มีใครคอยปกป้องพวกเขา และนางไม่รู้เลยว่า คนทั้งสามจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างไร
อยู่ๆสือชิงลั่วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
หลังจากที่ซิ่วไฉเซียวแยกบ้านกับบ้านใหญ่แล้ว พวกเขาก็ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย
พวกเขาไม่ต้องเบียดอยู่ในครอบครัวใหญ่หลายคน
ไม่มีผู้อาวุโสในบ้านคอยกดขี่ และไม่มีญาติพี่น้องคอยสร้างปัญหา
ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งแทบไม่มี ดังนั้น จึงเป็นเรื่องง่ายในการใช้ชีวิตร่วมกัน
ครอบครัวเช่นนี้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการแต่งงาน