บทที่ 10 : สมองของนังเด็กน่าตายคงใช้การไม่ได้แล้ว
บทที่ 10 : สมองของนังเด็กน่าตายคงใช้การไม่ได้แล้ว
กว่าที่แม่เซียวกับภรรยาผู้ใหญ่บ้านจะรู้ตัว พวกนางก็เดินมาไกลแล้ว
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านมึนงงมาก “พวกเขาพูดกันว่า คนบ้านสือนั้นรับมือยากไม่ใช่หรือ? ทำไมอยู่ๆพวกเขาถึงได้คุยง่ายเช่นนี้เล่า?”
หมู่บ้านช่างซีกับหมู่บ้านเซี่ยซีนั้นอยู่ติดกัน
เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมีเรื่องกันบ้าง
ผู้ใหญ่บ้านของสองหมู่บ้านไม่เคยเป็นมิตรต่อกัน และพวกเขาต่างก็ไม่ชอบหน้ากัน
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านจึงพอรู้สถานการณ์ภายในหมู่บ้านช่างซีอยู่บ้าง
มีบางครอบครัวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านช่างซีที่รับมือได้ยาก และบ้านสือก็คือหนึ่งในนั้น
ในอดีต เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น สตรีร้ายกาจบ้านสือคงไล่พวกนางออกจากบ้านนานแล้ว
แต่เรื่องในวันนี้กลับมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง!
มันเป็นความจริงที่แม่เซียวเป็นคนอ่อนแอ แต่นางก็ไม่ใช่คนโง่
นางนึกย้อนกลับไปเมื่อวาน สือชิงลั่วเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเองว่านางไม่ต้องการสินสอดและยังพูดด้วยว่า บ้านสือจะจัดการเรื่องนี้เอง แสดงว่านางต้องเป็นคนตัดสินใจเรื่องทั้งหมดในวันนี้อย่างแน่นอน
นางจึงได้รู้ว่า สือชิงลั่วเก่งกาจกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก
แทนที่จะรู้สึกหวาดกลัวและไม่พอใจ นางกลับยินดีมากกว่าเดิม
ครอบครัวของนางขาดลูกสะใภ้ที่เก่งกาจอยู่พอดี
แม่เซียวยิ้ม “บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องตระกูลหวูก่อนหน้านี้ พวกเขาจึงรู้สึกติดค้างชิงลั่วก็เป็นได้”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านกลับไม่คิดเช่นนั้น
ในตอนที่นางคุยกับคนบ้านสือเมื่อครู่ นางรู้สึกอยู่ตลอดว่า คนเหล่านั้นดูคล้ายหวาดกลัวสือชิงลั่วเล็กน้อย
หากพวกเขารู้สึกติดค้างนางจริงๆ พวกเขาคงไม่มีทางส่งตัวนางให้แต่งเข้าตระกูลหวูเพื่อฝังร่างไปกับเจ้าบ่าว
“ก็อาจจะเป็นไปได้ ข้าไม่คิดว่าคนบ้านสือจะมีความสุขกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ยังยอมให้สือชิงลั่วแต่งเข้าบ้านเจ้า”
ใช่ ในตอนที่พวกนางพูดคุยเรื่องแต่งงานเมื่อครู่ คนบ้านสือได้ตอบตกลงและพูดว่าสือชิงลั่วนั้นพึงพอใจในตัวเซียวหานเจิง
พวกเขายังยินดีที่จะเป็นฝ่ายไปร่วมงานแต่งที่บ้านเซียว
นี่คือสิ่งที่สือชิงลั่ววางแผนให้คนบ้านสือพูด
หากไม่ใช่เพราะความเก่งกาจของนาง คนบ้านสือคงไม่ยอมให้นางแต่งเข้าบ้านเซียวเร็วขนาดนี้แน่
ที่สำคัญไปกว่านั้น พวกเขายังไม่ต้องการสินสอด
และสือชิงลั่วยังยินดีแต่งเข้าบ้านเซียวที่อยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดอีกด้วย
นี่ทำให้ชื่อเสียงของนางดีขึ้นอย่างมาก
ในอนาคต หากนางต้องการหย่ากับเซียวหานเจิง มันจะกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับนางในการขึ้นเป็นเจ้าบ้าน
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านยังคงไม่เข้าใจ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“ในเมื่อคนบ้านสือเห็นด้วยแล้ว เจ้าก็ต้องรีบกลับไปเตรียมการที่บ้านให้ดี”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านให้การดูแลพวกนางเป็นอย่างดี นั่นเป็นเพราะเซียวหานเจิงที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่นั่นเอง
แม่เซียวเข้าใจเรื่องนี้ดี นางจึงพูดด้วยความรู้สึกขอบคุณ “ได้ วันนี้ต้องขอบคุณมากนะเจ้าคะ”
หลังจากกลับมาแล้ว แม่เซียวก็เข้าไปดูเซียวหานเจิงก่อนเป็นอันดับแรก
เมื่อนางเห็นว่าไข้ที่ลดลงเมื่อคืนไม่กลับคืนมาอีก นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สือชิงลั่วคือดาวนำโชคของบ้านเซียว
หากบุตรชายของนางฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ นางจะต้องให้เขาดูแลภรรยาเป็นอย่างดี
จากนั้น แม่เซียวก็พาป๋ายหลี่กับเอ้อร์หลางไปทำความสะอาดบ้าน
นางยังเข้าเมืองเพื่อซื้อเนื้อและผักด้วย
แม้ว่าพวกนางจะไม่จัดงานเลี้ยง แต่พวกนางก็ไม่ควรทำให้พี่สะใภ้ที่กำลังจะแต่งเข้ามารู้สึกว่าไม่ได้รับการต้อนรับในวันแรกของการแต่งงาน
ดังนั้น พวกนางจึงวางแผนเชิญครอบครัวที่เคยช่วยเหลือพวกนางมาทานอาหารร่วมกันหนึ่งมื้อ
หนึ่งเพื่อฉลอง สองเพื่อขอบคุณพวกเขา
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านได้พาคนมาช่วยกันหลายคน เพราะนางรู้ว่า แม่เซียวคิดจะจัดเลี้ยงฉลองงานแต่งของหานเจิงในวันพรุ่งนี้
คนบ้านสือยังปล่อยข่าวนี้ออกไปด้วย ทำให้คนในหมู่บ้านช่างซีรู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน
ทุกคนต่างตกตะลึง
ด้วยสุขภาพร่างกายของเซียวหานเจิงในเวลานี้ บ้านเซียวก็ไม่ต่างไปจากกองไฟดีดีกองหนึ่ง แต่ก็ยังมีคนยินดีที่จะกระโดดลงไปในนั้น
ที่แย่ไปกว่านั้น ภรรยาใหม่ของเขายังเป็นคนจากบ้านสือ
บ้านสือมีชื่อเสียงในเรื่องของการสูบเลือดสูบเนื้อผู้คน
ก่อนหน้านั้น พวกเขาเกือบขายบุตรสาวของตนเองให้กับตระกูลหวูเพื่อฝังร่างกับบุตรชายที่ใกล้ตายของพวกเขา
แล้วทำไมอยู่ๆพวกเขาถึงได้ยอมให้นางแต่งเข้าบ้านเซียวเล่า?
ทุกคนต่างพากันคาดเดาไปต่างๆนาๆ ว่าแม่เซียวได้มอบเงินค่าสินสอดให้กับบ้านสือไปเท่าไหร่
เมื่อผู้ใหญ่บ้านเปิดเผยเรื่องทุกอย่างออกไป ทุกคนต่างก็รู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไป
นอกจากเรื่องสินสอดแล้ว คนบ้านสือยังได้มอบธัญพืชสองสามถุงเป็นสินเจ้าสาวให้ด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้น สือชิงลั่วยังแต่งเข้าบ้านเซียวเพื่อเป็นการแก้ชงด้วย
หรือคนบ้านสือจะเสียสติไปแล้ว?
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านจึงได้อธิบายว่า สือชิงลั่วนั้นชอบพอเซียวหานเจิง นางจึงยินดีแต่งเข้าบ้านเซียวเพื่อแก้ชง
นี่คือเรื่องจริง และทุกคนก็ได้แต่ต้องเชื่อตามนั้น
แต่คนจากสองหมู่บ้านก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี
หากไม่เกิดเรื่องเลวร้ายมากมายขึ้นกับคนบ้านเซียว และเซียวหานเจิงยังแข็งแรงดี ทุกคนก็คงไม่แปลกใจกับเรื่องนี้
พวกเขายังจะเป็นฝ่ายยัดเยียดบุตรสาวของพวกเขาให้แต่งเข้าบ้านเซียวด้วยซ้ำ
เพราะเซียวหานเจิงมีอนาคตที่สดใสรออยู่
ซิ่วไฉที่อายุยังน้อยอาจกลายเป็นขุนนางใหญ่ในอนาคตก็เป็นได้
แต่บ้านเซียวในตอนนี้มีแต่หนี้ และเซียวหานเจิงก็อาจตายได้ทุกเมื่อ
หลังจากแต่งเข้าบ้านเซียวแล้ว นางอาจกลายเป็นหม้ายในทันทีก็เป็นได้
บุตรสาวบ้านสือกลับไม่สนใจใยดีในเรื่องนี้
ทำให้คนไม่รู้จะวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไร
ในขณะเดียวกัน หลายคนก็ยังยกย่องสือชิงลั่ว ความกล้าหาญของนางช่างน่าชื่นชม!
และพวกเขาก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มาก
ไม่ว่าคนบ้านสือจะเป็นยังไง แต่นี่คือความคิดของสือชิงลั่ว
ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปตามที่สือชิงลั่วคาดการณ์เอาไว้
แม้หลายคนจะแอบเรียกนางว่าโง่เขลา แต่ภายนอกพวกเขาต่างก็ยกย่องว่านางเป็นคนดีและจริงใจ
ทางด้านคนบ้านสือ
ลูกชายสามบ้านสือกับคนอื่นๆต่างถูกสือชิงลั่วทุบตีด้วยไม้เท้า และถูกบังคับให้ช่วยกันขนธัญพืช, ถั่วเหลือง, และถั่วเขียวให้นาง
พวกเขานำมันมาวางรวมไว้กับของที่นางนำกลับมาจากวัดเต๋า
ลูกชายสามบ้านสือลูบแขนที่เจ็บแสบพร้อมทั้งจ้องมองไปทางสือชิงลั่ว
“เราทำตามความต้องการของเจ้าแล้ว ในอนาคต หากเจ้าไม่พอใจชีวิตการแต่งงานในบ้านเซียว เราจะไม่ช่วยเหลืออะไรทั้งนั้น เจ้าต้องช่วยเหลือตนเอง”
มันจะดียิ่งกว่า หากนางแต่งเข้าบ้านเซียวแล้วต้องกลายเป็นหม้าย
ทำไมสือชิงลั่วจะมองความคิดของพวกเขาไม่ออก “ขนาดตอนนี้ข้ายังพึ่งพาพวกเจ้าไม่ได้ แล้วในอนาคตข้ายังจะคิดพึ่งพาพวกเจ้าไปเพื่ออะไร? ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย”
“แต่คำพูดของเจ้าก็ทำให้ข้าคิดได้อย่างหนึ่ง”
สือชิงลั่วชี้นิ้วไปทางลูกชายสี่บ้านสือ “ไปเอาพู่กันกับกระดาษมา แล้วเขียนลงไป”
ลูกชายสี่บ้านสือเคยถูกสือชิงลั่วฟาดด้วยแส้หวายมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้เขาจึงหวาดกลัวและเกลียดชังนางเข้ากระดูก
“เขียนอะไร?”
สือชิงลั่วพูดออกไป “เขียนลงไปตามที่เขาเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ ในอนาคต ไม่ว่าชีวิตข้าจะเป็นตายร้ายดียังไง ข้าก็จะไม่เกี่ยวข้องกับคนบ้านสืออีก”
“เขียนต่อ หากข้าแต่งเข้าบ้านเซียวแล้ว คนบ้านสือจะไม่ต้อนรับข้ากลับเข้ามา ไม่ว่าข้าจะต้องกลายเป็นหม้ายหรือถูกหย่าก็ตามแต่”
“แน่นอนว่า หากข้าร่ำรวยขึ้นมาในอนาคต พวกเจ้าก็ไม่มีสิทธิมาหาประโยชน์จากตัวข้า เขียนลงไปให้หมด”
เมื่อมีสิ่งนี้แล้ว นางก็จะไม่มีปัญหาเมื่อต้องการกลายเป็นเจ้าบ้านเองในอนาคต
คนบ้านสือต่างตกตะลึง
สมองของนังเด็กน่าตายต้องใช้การไม่ได้และพังไปแล้วแน่ๆ
ไม่น่าแปลกใจที่นางจะตั้งเงื่อนไขแบบนี้ขึ้นมา
แต่พวกเขาก็รอให้ถึงวันนั้นแทบไม่ไหวแล้ว
หากอยู่ๆนังตัวซวยเกิดกลายเป็นหม้ายหรือถูกหย่าขึ้นมาในอนาคต และพวกเขาไม่ยอมรับนางกลับมาอยู่บ้าน นางก็จะกลายเป็นปีศาจที่คอยตามหลอกหลอนพวกเขาไม่จบไม่สิ้น
แต่เมื่อมีสัญญาที่ประทับลายนิ้วมือของนางเอาไว้แบบนี้แล้ว เมื่อนางต้องการกลับมาอยู่บ้านพ่อแม่ในอนาคต พวกเขาก็สามารถฟ้องร้องเรื่องที่นางกล้าทำร้ายพวกเขาเมื่อพวกเขาปฏิเสธไม่รับนางได้
ตาเฒ่าสือเด็ดขาดยิ่งกว่า “เขียนให้นางอีกแผ่นหนึ่งด้วย”
มันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องขับไสไล่ส่งตัวซวยออกไปจากบ้านให้เร็วที่สุด เพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องกลับมาที่นี่ในอนาคต
ส่วนเรื่องที่ว่านางจะกลายเป็นเศรษฐีนีในอนาคตนั้น พวกเขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
ดังนั้น ลูกชายสี่บ้านสือจึงเขียนสัญญาขึ้นมาสามฉบับ ผู้อาวุโสบ้านสือและสือชิงลั่วต่างลงชื่อหรือประทับลายนิ้วมือลงไป
พวกเขายังขอให้ผู้ใหญ่บ้านช่างซีมาเป็นพยานและเก็บสัญญาเอาไว้หนึ่งฉบับด้วย
เช้าวันต่อมา สือชิงลั่วเปลี่ยนไปใส่ชุดที่ดีที่สุดของเจ้าของร่างเดิม แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยรอยปะชุนอยู่ดี
หนิวซื่อได้เอาชุดที่ดีกว่านี้ของเจ้าของร่างเดิมไปตั้งแต่ที่เจ้าของร่างเดิมกลับมาจากวัดเต๋า เพื่อนำไปให้น้องสาวของนางสวมใส่
สือชิงลั่วไม่คิดสนใจที่จะนำมันกลับมา อีกทั้งยังรังเกียจพวกมันด้วยซ้ำ
ไม่นาน เซียวเอ้อร์หลางกับผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆก็มาถึงบ้านสือเพื่อรับตัวเจ้าสาว