ตอนที่แล้วบทที่ 6 รางวัล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 8 เคล็ดโคจรพลังระดับผู้เชี่ยวชาญ

บทที่ 7 เยี่ยมเยียนขอคำแนะนำ


อาคารสำนักงาน ที่ทำการครูใหญ่

หญิงงามในชุดคลุมสีขาวนวลกำลังง่วนทำงานอยู่บนโต๊ะทำงานของตนเองผมยาวสลวยสีดำขลับของนางถูกมัดรวบไว้ที่ด้านหลัง แม้ว่านางไม่ได้ประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางใดๆ ทว่านางก็ยังสง่าและงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้

ภายในห้องมีเสียงหายใจแผ่วเบาลมฤดูร้อนพัดโชยผ่าน มีเสียงกระดาษพลิกไปมาทั่วทั้งห้องนอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมจางอบอวลอยู่ในบรรยากาศและกลิ่นอายความรู้แทรกซึมในอากาศอย่างเงียบงัน

โจวหลินผลักเปิดบานประตูสาวเท้าเข้ามาอย่างแผ่วเบา

“คนเฝ้าประตูของตระกูลเฉียนบอกว่าผู้อาวุโสเฉียนออกไปเยี่ยมมิตรสหายก็เลยไม่ได้รับจดหมายเชิญของท่านเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการพบกับท่านหญิงใหญ่”

โจวหลินกัดริมฝีปากน้ำเสียงของนางไม่พอใจ นางเป็นผู้ช่วยของอันซินฮุ่ยรับหน้าที่ในการจัดการงานธุรการและงานเบ็ดเตล็ดในแต่ละวัน

“อย่ากล่าวไร้สาระ  บางทีผู้อาวุโสเฉียนอาจไม่อยู่บ้านจริงๆ”

น้ำเสียงของอันซินฮุ่ยสงบราบเรียบไม่มีความหวั่นไหวในน้ำเสียงแม้แต่น้อย

“ข้าคิดว่าโดยพื้นฐานแล้วเขาไม่ต้องการมาพบปะกับนักเรียน”

โจวหลินพูดอย่างเย็นชา“ข้าได้ยินมาว่าเขาได้ตอบรับคำเชื้อเชิญของอาจารย์ใหญ่ของสถาบันว่านเต้าและเตรียมตัวเป็นมหาคุรุภายใต้สังกัดพวกเขา”

มีสถาบันการศึกษามากกว่าสิบแห่งในเมืองจินหลิงสถาบันที่มีชื่อเสียงที่สุดย่อมเป็นสถาบันจงโจวอย่างมิต้องสงสัย  แต่เนื่องจากความเสื่อยถอยไม่หยุดยั้งตอนนี้จึงถูกสถาบันว่านเต้าแซงหน้าไปแล้ว

อันซินฮุ่ยเงียบนางรู้ว่าพลังการแข่งขันของสถาบันจงโจวตกต่ำจนแทบถึงจุดเยือกแข็งนางพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด

“ท่านหญิงใหญ่!เราต้องคิดหาทางแก้ไขโดยเร็ว มหาคุรุในสังกัดของเราเจ็ดคนถูกคู่แข่งชิงตัวอย่างเอาเป็นเอาตาย”

โจวหลินรู้สึกกังวลใจรากฐานของสถาบันที่มีชื่อเสียงอยู่ที่จำนวนมหาคุรุ  ถ้าไม่มีมหาคุรุแม้แต่คนเดียวพวกเขามีคุณสมบัติใดที่จะได้ชื่อว่าเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียง?

อืมมม

อันซินฮุ่ยเลิกความคิดจะถอนหายใจต่อหน้าคนนอกนางไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอและความหดหู่ของนาง “จริงสิ, เขาเป็นยังไงบ้าง?”

“วิเศษมาก!”

โจวหลินรู้ว่าครูใหญ่อันกำลังพูดถึงคู่หมั้นของนางทันทีที่มีการพูดถึงหนุ่มคนนี้โจวหลินจะรู้สึกหงุดหงิดอันซินฮุ่ยจบจากสถาบันเทียนจี เป็นหญิงงามอันดับ 7 ในการจัดอันดับหญิงงาม นางมีใบหน้าที่งามพร้อมมีสติปัญญาสูงส่งดังนั้นซุนม่อมีคุณสมบัติใดที่จะมาแต่งงานกับนาง

“เขาจะโทษว่าข้าหรือไม่?”

อันซินฮุ่ยขมวดคิ้ว

“เขากล้าหรือ?”

น้ำเสียงของโจวหลินสูงปรี๊ดขึ้นอีกสิบองศา  “ตั้งแต่ท่านเข้ามาสะสางงานที่ยุ่งเหยิงนี้ท่านก็มีแต่เรื่องยุ่งจนไม่มีเวลาจัดการกับเรื่องอื่น ยิ่งไปกว่านั้นท่านไม่สามารถตัดสินใจเรื่องสถาบันแต่เพียงลำพังตนเองได้”

“แต่ข้าควรจะยืนกรานในตอนนั้นซุนม่อถูกจับยัดเข้าแผนกขนส่งพัสดุไม่อาจเป็นครูผู้ช่วยได้ สำหรับผู้จบในสาขางานสอนผลกระทบครั้งนี้มันหนักหนาเกินไป”

อันซินฮุ่ยรู้สึกเสียใจย้อนกลับไปในตอนนั้น นางควรจะอดทนต่อแรงกดดันที่สหายมีต่อนางนางเข้าใจดีว่าคนเหล่านั้นกดขี่ซุนม่อ เพราะพวกเขาต้องการแสดงความเข้มแข็งต่อนาง

“ถ้าเขาจัดการกับปัญหาเช่นนี้ไม่ได้ก็ควรไปฆ่าตัวตายโดยเร็วที่สุด”

โจวหลินเย้ยหยัน“อย่าหวังว่าเขาจะช่วยท่านได้ทั้งหมด ซุนม่อคนนั้นน่ะเหรอ? เป็นไปไม่ได้สำหรับเขา”

....

ในช่วงบ่ายชีเซิ่งเจี่ยก็สามารถขยับเคลื่อนไหวได้ อย่างไรก็ตามแขนขวาและขาซ้ายของเขายังคงชาและแข็งทื่อเขาสัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อแข็งๆ ขณะที่เขาสัมผัสดู มันให้ความรู้สึกเหมือนก้อนหิน

“เจ้าควรไปหาหมอ”หวังฮ่าวกล่าว

เขาซื้ออาหารกลางวันกลับมาแล้ววางลงบนโต๊ะ“กินน้อยไปหน่อยนะ”

“เจ้าคงเข้าในโถงประลองไม่ได้แล้วสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำตอนนี้ก็คือพยายามให้ดีที่สุดไม่ให้ร่างกายพิการ”เหยียนลี่ที่กำลังกินข้าวต้มพูดแทรกขึ้น

ปกติเขาจะไม่อยู่หอพักในเวลานี้อย่างไรก็ตาม วันนี้แตกต่างออกไปเมื่อเขาเห็นความสิ้นหวังบนใบหน้าของชีเซิ่งเจี่ยที่น่าชังเขามีความสุขมากจนอยากฮัมเพลงเบาๆ

“ถ้าเจ้าพูดให้น้อยลงจะไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ” โจวชี่กล่าว

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?ข้าไม่ห่วงชีเซิ่งเจี่ยอย่างนั้นเหรอ?” เหยียนลี่เถียงกลับด้วยความไม่พอใจ

ชีเซิ่งเจี่ยนั่งบนเตียงจ้องมองพื้นด้วยความงุนงงเขาไม่พูดอยู่ครึ่งค่อนวัน ถ้าเขาพิการจริงๆเขาอาจฆ่าตัวตายเพื่อช่วยครอบครัวของเขาก็ได้

“เจ้าทำร่างกายเสียหายเพราะฝึกฝนหนักมากเกินไปเจ้าจะไม่มองหามหาคุรุสักคนแล้วขอคำแนะนำบ้างเหรอ?”  โจวชี่ถาม โดยไม่ใส่ใจโต้เถียงกับเหยียนลี่

“เจ้านึกหรือว่ามหาคุรุเป็นเหมือนหินข้างทางที่ถามหาได้ทุกเมื่อ?”

เหยียนลี่เหลือกตาโจวชี่ดื่มด่ำเพ้อฝันกับจินตนาการอย่างแท้จริง

ชีเซิ่งเจี่ยที่กำลังอยู่ในอาการงุนงงจู่ๆก็ตื่นขึ้น เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับว่าเขาสามารถคว้าความหวังสุดท้ายของเขาเอาไว้ได้  เขาพยายามดิ้นรนและลุกจากเตียง,ทันใดนั้นเขานึกถึงซุนม่อที่เพิ่งพบเจอมาเมื่อคืนนี้ซุนม่อบอกเขาว่าวิธีการฝึกของเขานั้นไม่ถูกต้องและได้เตือนเขาเป็นพิเศษให้ใส่ใจที่แขนขวาและขาซ้ายของเขา

“หรือว่าเขาเห็นปัญหาในร่างกายของข้า?”

เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ชีเซิ่งเจี่ยรู้สึกสำนึกเสียใจเล็กน้อย ที่เมื่อวานนี้เขาเมินเฉยอีกฝ่าย

“เจ้าจะทำอะไร?”

หวังฮ่าวช่วยพยุงชีเซิ่งเจี่ยเมื่อเห็นว่าเขาต้องการเคลื่อนไหว

“ข้าอยากไป...ผ่อนคลายสักเล็กน้อย”

ชีเซิ่งเจี่ยอยากจะอธิบาย,แต่เมื่อเห็นว่าเหยียนลี่ยังอยู่ตรงนั้น เขากล้ำกลืนคำพูดไว้ในปาก

.....

เป็นเรื่องง่ายมากที่จะหาที่พักครูฝึกสอนชีเซิ่งเจี่ยสอบถามที่อยู่ซุนม่อได้ในไม่ช้า เมื่อเขาเดินไปที่ประตูทางเข้าเขาก็ลังเลอีกครั้ง

“เมื่อวานนี้ข้าแสดงทัศนคติไว้ไม่ดี จะเป็นยังไง ถ้าเขาไม่อยากจะแนะนำข้า?”

นอกจากเรื่องนี้แล้วชีเซิ่งเจี่ยยังรู้สึกว่าเขาไม่สบายเล็กน้อยควรไปพบหมอผู้สำเร็จการศึกษาที่ไม่สามารถเป็นครูผู้ช่วยจะให้คำแนะนำกับเขาได้หรือ?

หลู่ตี๋กลับมาพร้อมกับถือหม้อดินเผามาด้วยเมื่อเขาเห็นชีเซิ่งเจี่ยกำลังยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า เขาลดเสียงถามเบาๆ  “เจ้ามองหาใครเหรอ?”

หลังจากซักถามแล้วหลู่ตี๋รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเสียงของเขาดังเกินไป แสดงออกถึงบารมีครู แต่เขากลับละเลยความอบอุ่นเป็นกันเองส่วนบุคคลและมิตรภาพเขายังคงรักษาคุณภาพเสียงต่อไป

ชีเซิ่งเจี่ยทำคอย่นเขาหลบสายตาหลู่ตี๋ก้าวถอยออกจากประตูสองสามก้าว

หลู่ตี๋ยักไหล่ เขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นและกลับเข้าไปในประตู

ในตอนพลบค่ำดวงอาทิตย์อัสดงค์นกกาเหนื่อยล้ากลับรังนอน

หยวนฟงกลับมาพร้อมกับหอบหนังสือมาด้วยและเมื่อเขาเข้าไปในประตู เขาถาม “เกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนคนนั้น?”

“ไม่รู้เหมือนกันบ่ายนี้เขามาสองสามครั้งแล้ว”

มีจานขาหมูวางอยู่ข้างหน้าหลู่ตี๋เขาถอนขนอย่างระมัดระวัง นี่คือสิ่งที่เขาต้องการมอบให้ครูอาวุโส ดังนั้นเป็นธรรมดาอยู่นั่นเองที่เขาจำเป็นต้องทำให้สมบูรณ์แบบ

“นักเรียนมาเพราะเขาต้องการคำแนะนำใช่ไหม?”

หยวนฟงสงสัยขณะที่เขาพูด จางเซิงก็กลับมาเช่นกัน

แม้ค่ำแล้วชีเซิ่งเจี่ยก็ยังไม่มีความตั้งใจจะจากไป

“พวกเจ้าคิดว่าเขามาที่นี่เพื่อขอคำแนะนำแต่ไม่กล้าถามใช่ไหม?

หลู่ตี๋จัดเสื้อผ้าโดยไม่รู้ตัว

“ถ้าเขาต้องการหาใครสักคนก็ควรจะเป็นจางเซิงมากที่สุด  ข้าว่านะ!”

หยวนฟงประจบจากมุมมองของเขา มีโอกาส 80-90% ที่จางเซิงจะได้อยู่โรงเรียนต่อไปหลังจากฝึกสอน เขาไม่พลาดที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาในตอนนี้

จางเซิงไม่พูดอะไรแต่สีหน้าที่หยิ่งยโสของเขากล่าวอย่างชัดเจนว่าเขาให้ความสนใจเด็กนักเรียนคนนั้นด้วย

“เราควรไปถามเขาดีไหม?”

หลู่ตี๋แนะนำ  เขามีความหวังว่าบางทีนักเรียนกำลังมองหาเขา?

“ถ้าเราต้องการถาม  จางเซิงควรเป็นคนไป

หยวนฟงกระตุ้น “นักเรียนคนหนึ่งอยู่ที่นี่จนถึงกลางคืนเพื่อขอคำแนะนำหากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป คงจะดีต่อชื่อเสียงของเรา!”

จางเซิงตัดสินใจนานแล้วเนื่องจากนักเรียนคนนั้นไม่ต้องการเคาะประตู เขาจึงไม่เป็นฝ่ายเริ่มถามท้ายที่สุดแม้จะเป็นครูฝึกสอนก็ต้องมีศักดิ์ศรี เขาต้องไม่ลดตัวลง แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลู่ตี๋เขาก็พบว่ามันสมเหตุสมผล

“รีบไปดูกันว่าเด็กคนนั้นต้องการคำแนะนำอย่างไร?”

หลู่ตี๋กระตุ้น

หืมม

จางเซิงยืนขึ้นเขาจัดรอยยับบนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเดินออกไป

“เจ้ายืนอยู่นอกประตูมานานมากแล้ว  เจ้าต้องการอะไรหรือเปล่า?”

จางเซิงถาม

“ข้า...”

ชีเซิ่งเจี่ยกลืนน้ำลายเอื๊อก“ข้ากำลังตามหาซุนม่อ.... อาจารย์ซุน”

เมื่อเขาได้ยินคำว่าซุนม่อใบหน้าจางเซิงเขียวคล้ำทันที เขาแทบจะหันหลังกลับ อย่างไรก็ตามเขามีแรงกระตุ้น นักเรียนมาขอคำแนะนำจากซุนม่อ ทำไมเขาถึงต้องมา? หากเรื่องนี้แพร่ออกไปเขาคงเสียหน้าจริงๆ ดังนั้นเขาต้องถามให้ชัดเจน

“ทำไมเจ้าต้องตามหาเขา?”

จางเซิงถามรอยยิ้มเยาะตัวเองปรากฏบนใบหน้าของเขา เขารู้สึกว่าเขาคิดมากเกินไป สำหรับสวะอย่างซุนม่อ ต่อให้นักเรียนปัญญาอ่อน เขาก็จะไม่มีวันตามหาซุนม่อเพื่อขอคำแนะนำ!

“เพื่อขอคำแนะนำ”

เสียงของชีเซิ่งเจี่ยเบาลง

“ว่าไงนะ?”

จางเซิงเสียงแหบพร่าแม้แต่หลู่ตี๋และหยวนฟงที่กำลังแอบฟังจากบ้านก็ยังมีสีหน้าสับสน

ชีเซิ่งเจี่ยก้มหน้าเท้าของเขาขยับต้องการจะจากไป

“หยุดอยู่ตรงนั้น!”

เสียงของจางเซิงเต็มไปด้วยความโกรธ“ซุนม่อไม่อยู่ เจ้าต้องการคำแนะนำเรื่องอะไร? ข้าตอบแทนเขาได้!”

จางเซิงไม่อยากรบกวนนักเรียนที่โง่เขลาคนนี้จริงๆแต่ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้นักเรียนคนนี้เดินจากไปแบบนั้นได้  ถ้าไม่อย่างนั้นแสดงว่าเขาด้อยกว่าซุนม่อไม่ใช่หรือ? ดังนั้นสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำตอนนี้ก็คือจัดการปัญหาของนักเรียนคนนี้และพิสูจน์ว่าความสามารถในการสอนของเขานั้นยอดเยี่ยม

“มะมือกับขาของข้าใช้การไม่ได้ ข้าอยากถามว่าเป็นเพราะเหตุใด?”

ชีเซิ่งเจี่ยรวบรวมความกล้าและถาม

จางเซิงรู้สึกประหลาดใจหลังจากนั้นใบหน้าของเขาซีดเผือด  เขาตะโกนลั่น“บัดซบ! เจ้าพิการมือกับขายังไม่พอ นี่ยังสมองพิการอีกด้วย เจ้าบ้าหรือเปล่า? ถ้าเจ้าได้รับบาดเจ็บทำไมไม่ไปหาหมอ?”

หลังจากดุด่าแล้วจางเซิงก็หันหลังกลับและจากมาจากมุมมองของเขา นี่คงเป็นแผนร้ายระหว่างคู่แข่ง พวกเขาต้องการทำลายชื่อเสียงของเขาและลดโอกาสบรรจุงานในโรงเรียนของเขา

“ซุนม่อต้องเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่!”

หยวนฟงกล่าวหาซุนม่อ  “มันอิจฉาพรสวรรค์ของเจ้า และต้องการลากเจ้าลงน้ำไปด้วย”

หลู่ตี๋แสร้งทำตัวเป็นเต่าขลาดเขลานั่งถอนขนที่ขาหมูเงียบๆ ต่อไป

ปัง!

จางเซิงปาถ้วยน้ำชาลงพื้นด้วยความโกรธคิดในใจว่าทำไมข้าถึงนึกแผนการนี้ไม่ออก ไม่พรุ่งนี้ข้าจะต้องหานักเรียนสองสามคนและบอกให้พวกเขามาหาข้าเป็นกลุ่มๆ บ้าง

ก็แค่อยากได้ชื่อเสียงไม่ใช่หรือ? ใครบ้างไม่รู้จักวิธีการนี้บ้างเล่า?

“เจ้าซุนม่อนั่นไม่มีความสามารถใดแต่มีความคิดที่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์”

หยวนฟงตบกระเป๋าของเขาและคำนวณว่าเขามีเงินเท่าไหร่ เขาสามารถจ้างนักเรียนสองสามคนเพื่อจุดประสงค์นี้เช่นกัน แต่เขาก็กังวลว่าทางโรงเรียนอาจตรวจพบและไล่เขาออกโดยตรงได้!

เมื่อทั้งสามคนลุกขึ้นในตอนเช้าและออกไป พวกเขายังเห็นชีเซิ่งเจี่ยรออยู่ในจุดที่ไม่ไกลจากประตู

“ครั้งนี้ซุนม่อคงจะจ่ายไปมากสงสัยว่าเขาใช้เงินไปเท่าไหร่กันแน่!”

หยวนฟงเย้ยหยัน

“ฮึ่ม!”

จางเซิงไม่มองชีเซิ่งเจี่ยนักเรียนยากไร้แบบนี้จะไม่มีโอกาสโดดเด่นได้ตลอดชีวิตของเขา  เขารู้สึกรังเกียจหากจะพูดกับนักเรียนคนนี้มากกว่าครึ่งคำ

......

ในโรงอาหารขณะที่ซุนม่อกินซาลาเปาเจ  เขามองดูคัมภีร์สีทองที่ลอยคว้างอยู่ข้างหน้าด้วยความงุนงง

เมื่อวานนี้หีบสมบัตินำโชคใช้งานได้อีกครั้ง ซุนม่อคิดว่าเขาจะได้ดินอีกก้อนหนึ่งแต่แล้วกลับเป็นคัมภีร์เล่มนี้ปรากฏขึ้น

ตามตรรกะเขาควรจะรู้สึกมีความสุขหลังจากได้รับรางวัล  แต่เมื่อเขาเห็นชื่อคัมภีร์นี้ซุนม่อรู้สึกงุนงงและขัดใจเล็กน้อย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด