บทที่ 7 เยี่ยมเยียนขอคำแนะนำ
อาคารสำนักงาน ที่ทำการครูใหญ่
หญิงงามในชุดคลุมสีขาวนวลกำลังง่วนทำงานอยู่บนโต๊ะทำงานของตนเองผมยาวสลวยสีดำขลับของนางถูกมัดรวบไว้ที่ด้านหลัง แม้ว่านางไม่ได้ประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางใดๆ ทว่านางก็ยังสง่าและงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้
ภายในห้องมีเสียงหายใจแผ่วเบาลมฤดูร้อนพัดโชยผ่าน มีเสียงกระดาษพลิกไปมาทั่วทั้งห้องนอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมจางอบอวลอยู่ในบรรยากาศและกลิ่นอายความรู้แทรกซึมในอากาศอย่างเงียบงัน
โจวหลินผลักเปิดบานประตูสาวเท้าเข้ามาอย่างแผ่วเบา
“คนเฝ้าประตูของตระกูลเฉียนบอกว่าผู้อาวุโสเฉียนออกไปเยี่ยมมิตรสหายก็เลยไม่ได้รับจดหมายเชิญของท่านเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการพบกับท่านหญิงใหญ่”
โจวหลินกัดริมฝีปากน้ำเสียงของนางไม่พอใจ นางเป็นผู้ช่วยของอันซินฮุ่ยรับหน้าที่ในการจัดการงานธุรการและงานเบ็ดเตล็ดในแต่ละวัน
“อย่ากล่าวไร้สาระ บางทีผู้อาวุโสเฉียนอาจไม่อยู่บ้านจริงๆ”
น้ำเสียงของอันซินฮุ่ยสงบราบเรียบไม่มีความหวั่นไหวในน้ำเสียงแม้แต่น้อย
“ข้าคิดว่าโดยพื้นฐานแล้วเขาไม่ต้องการมาพบปะกับนักเรียน”
โจวหลินพูดอย่างเย็นชา“ข้าได้ยินมาว่าเขาได้ตอบรับคำเชื้อเชิญของอาจารย์ใหญ่ของสถาบันว่านเต้าและเตรียมตัวเป็นมหาคุรุภายใต้สังกัดพวกเขา”
มีสถาบันการศึกษามากกว่าสิบแห่งในเมืองจินหลิงสถาบันที่มีชื่อเสียงที่สุดย่อมเป็นสถาบันจงโจวอย่างมิต้องสงสัย แต่เนื่องจากความเสื่อยถอยไม่หยุดยั้งตอนนี้จึงถูกสถาบันว่านเต้าแซงหน้าไปแล้ว
อันซินฮุ่ยเงียบนางรู้ว่าพลังการแข่งขันของสถาบันจงโจวตกต่ำจนแทบถึงจุดเยือกแข็งนางพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์ แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด
“ท่านหญิงใหญ่!เราต้องคิดหาทางแก้ไขโดยเร็ว มหาคุรุในสังกัดของเราเจ็ดคนถูกคู่แข่งชิงตัวอย่างเอาเป็นเอาตาย”
โจวหลินรู้สึกกังวลใจรากฐานของสถาบันที่มีชื่อเสียงอยู่ที่จำนวนมหาคุรุ ถ้าไม่มีมหาคุรุแม้แต่คนเดียวพวกเขามีคุณสมบัติใดที่จะได้ชื่อว่าเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียง?
อืมมม
อันซินฮุ่ยเลิกความคิดจะถอนหายใจต่อหน้าคนนอกนางไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอและความหดหู่ของนาง “จริงสิ, เขาเป็นยังไงบ้าง?”
“วิเศษมาก!”
โจวหลินรู้ว่าครูใหญ่อันกำลังพูดถึงคู่หมั้นของนางทันทีที่มีการพูดถึงหนุ่มคนนี้โจวหลินจะรู้สึกหงุดหงิดอันซินฮุ่ยจบจากสถาบันเทียนจี เป็นหญิงงามอันดับ 7 ในการจัดอันดับหญิงงาม นางมีใบหน้าที่งามพร้อมมีสติปัญญาสูงส่งดังนั้นซุนม่อมีคุณสมบัติใดที่จะมาแต่งงานกับนาง
“เขาจะโทษว่าข้าหรือไม่?”
อันซินฮุ่ยขมวดคิ้ว
“เขากล้าหรือ?”
น้ำเสียงของโจวหลินสูงปรี๊ดขึ้นอีกสิบองศา “ตั้งแต่ท่านเข้ามาสะสางงานที่ยุ่งเหยิงนี้ท่านก็มีแต่เรื่องยุ่งจนไม่มีเวลาจัดการกับเรื่องอื่น ยิ่งไปกว่านั้นท่านไม่สามารถตัดสินใจเรื่องสถาบันแต่เพียงลำพังตนเองได้”
“แต่ข้าควรจะยืนกรานในตอนนั้นซุนม่อถูกจับยัดเข้าแผนกขนส่งพัสดุไม่อาจเป็นครูผู้ช่วยได้ สำหรับผู้จบในสาขางานสอนผลกระทบครั้งนี้มันหนักหนาเกินไป”
อันซินฮุ่ยรู้สึกเสียใจย้อนกลับไปในตอนนั้น นางควรจะอดทนต่อแรงกดดันที่สหายมีต่อนางนางเข้าใจดีว่าคนเหล่านั้นกดขี่ซุนม่อ เพราะพวกเขาต้องการแสดงความเข้มแข็งต่อนาง
“ถ้าเขาจัดการกับปัญหาเช่นนี้ไม่ได้ก็ควรไปฆ่าตัวตายโดยเร็วที่สุด”
โจวหลินเย้ยหยัน“อย่าหวังว่าเขาจะช่วยท่านได้ทั้งหมด ซุนม่อคนนั้นน่ะเหรอ? เป็นไปไม่ได้สำหรับเขา”
....
ในช่วงบ่ายชีเซิ่งเจี่ยก็สามารถขยับเคลื่อนไหวได้ อย่างไรก็ตามแขนขวาและขาซ้ายของเขายังคงชาและแข็งทื่อเขาสัมผัสได้ถึงก้อนเนื้อแข็งๆ ขณะที่เขาสัมผัสดู มันให้ความรู้สึกเหมือนก้อนหิน
“เจ้าควรไปหาหมอ”หวังฮ่าวกล่าว
เขาซื้ออาหารกลางวันกลับมาแล้ววางลงบนโต๊ะ“กินน้อยไปหน่อยนะ”
“เจ้าคงเข้าในโถงประลองไม่ได้แล้วสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำตอนนี้ก็คือพยายามให้ดีที่สุดไม่ให้ร่างกายพิการ”เหยียนลี่ที่กำลังกินข้าวต้มพูดแทรกขึ้น
ปกติเขาจะไม่อยู่หอพักในเวลานี้อย่างไรก็ตาม วันนี้แตกต่างออกไปเมื่อเขาเห็นความสิ้นหวังบนใบหน้าของชีเซิ่งเจี่ยที่น่าชังเขามีความสุขมากจนอยากฮัมเพลงเบาๆ
“ถ้าเจ้าพูดให้น้อยลงจะไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ” โจวชี่กล่าว
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?ข้าไม่ห่วงชีเซิ่งเจี่ยอย่างนั้นเหรอ?” เหยียนลี่เถียงกลับด้วยความไม่พอใจ
ชีเซิ่งเจี่ยนั่งบนเตียงจ้องมองพื้นด้วยความงุนงงเขาไม่พูดอยู่ครึ่งค่อนวัน ถ้าเขาพิการจริงๆเขาอาจฆ่าตัวตายเพื่อช่วยครอบครัวของเขาก็ได้
“เจ้าทำร่างกายเสียหายเพราะฝึกฝนหนักมากเกินไปเจ้าจะไม่มองหามหาคุรุสักคนแล้วขอคำแนะนำบ้างเหรอ?” โจวชี่ถาม โดยไม่ใส่ใจโต้เถียงกับเหยียนลี่
“เจ้านึกหรือว่ามหาคุรุเป็นเหมือนหินข้างทางที่ถามหาได้ทุกเมื่อ?”
เหยียนลี่เหลือกตาโจวชี่ดื่มด่ำเพ้อฝันกับจินตนาการอย่างแท้จริง
ชีเซิ่งเจี่ยที่กำลังอยู่ในอาการงุนงงจู่ๆก็ตื่นขึ้น เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับว่าเขาสามารถคว้าความหวังสุดท้ายของเขาเอาไว้ได้ เขาพยายามดิ้นรนและลุกจากเตียง,ทันใดนั้นเขานึกถึงซุนม่อที่เพิ่งพบเจอมาเมื่อคืนนี้ซุนม่อบอกเขาว่าวิธีการฝึกของเขานั้นไม่ถูกต้องและได้เตือนเขาเป็นพิเศษให้ใส่ใจที่แขนขวาและขาซ้ายของเขา
“หรือว่าเขาเห็นปัญหาในร่างกายของข้า?”
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ชีเซิ่งเจี่ยรู้สึกสำนึกเสียใจเล็กน้อย ที่เมื่อวานนี้เขาเมินเฉยอีกฝ่าย
“เจ้าจะทำอะไร?”
หวังฮ่าวช่วยพยุงชีเซิ่งเจี่ยเมื่อเห็นว่าเขาต้องการเคลื่อนไหว
“ข้าอยากไป...ผ่อนคลายสักเล็กน้อย”
ชีเซิ่งเจี่ยอยากจะอธิบาย,แต่เมื่อเห็นว่าเหยียนลี่ยังอยู่ตรงนั้น เขากล้ำกลืนคำพูดไว้ในปาก
.....
เป็นเรื่องง่ายมากที่จะหาที่พักครูฝึกสอนชีเซิ่งเจี่ยสอบถามที่อยู่ซุนม่อได้ในไม่ช้า เมื่อเขาเดินไปที่ประตูทางเข้าเขาก็ลังเลอีกครั้ง
“เมื่อวานนี้ข้าแสดงทัศนคติไว้ไม่ดี จะเป็นยังไง ถ้าเขาไม่อยากจะแนะนำข้า?”
นอกจากเรื่องนี้แล้วชีเซิ่งเจี่ยยังรู้สึกว่าเขาไม่สบายเล็กน้อยควรไปพบหมอผู้สำเร็จการศึกษาที่ไม่สามารถเป็นครูผู้ช่วยจะให้คำแนะนำกับเขาได้หรือ?
หลู่ตี๋กลับมาพร้อมกับถือหม้อดินเผามาด้วยเมื่อเขาเห็นชีเซิ่งเจี่ยกำลังยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า เขาลดเสียงถามเบาๆ “เจ้ามองหาใครเหรอ?”
หลังจากซักถามแล้วหลู่ตี๋รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเสียงของเขาดังเกินไป แสดงออกถึงบารมีครู แต่เขากลับละเลยความอบอุ่นเป็นกันเองส่วนบุคคลและมิตรภาพเขายังคงรักษาคุณภาพเสียงต่อไป
ชีเซิ่งเจี่ยทำคอย่นเขาหลบสายตาหลู่ตี๋ก้าวถอยออกจากประตูสองสามก้าว
หลู่ตี๋ยักไหล่ เขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นและกลับเข้าไปในประตู
ในตอนพลบค่ำดวงอาทิตย์อัสดงค์นกกาเหนื่อยล้ากลับรังนอน
หยวนฟงกลับมาพร้อมกับหอบหนังสือมาด้วยและเมื่อเขาเข้าไปในประตู เขาถาม “เกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนคนนั้น?”
“ไม่รู้เหมือนกันบ่ายนี้เขามาสองสามครั้งแล้ว”
มีจานขาหมูวางอยู่ข้างหน้าหลู่ตี๋เขาถอนขนอย่างระมัดระวัง นี่คือสิ่งที่เขาต้องการมอบให้ครูอาวุโส ดังนั้นเป็นธรรมดาอยู่นั่นเองที่เขาจำเป็นต้องทำให้สมบูรณ์แบบ
“นักเรียนมาเพราะเขาต้องการคำแนะนำใช่ไหม?”
หยวนฟงสงสัยขณะที่เขาพูด จางเซิงก็กลับมาเช่นกัน
แม้ค่ำแล้วชีเซิ่งเจี่ยก็ยังไม่มีความตั้งใจจะจากไป
“พวกเจ้าคิดว่าเขามาที่นี่เพื่อขอคำแนะนำแต่ไม่กล้าถามใช่ไหม?
หลู่ตี๋จัดเสื้อผ้าโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าเขาต้องการหาใครสักคนก็ควรจะเป็นจางเซิงมากที่สุด ข้าว่านะ!”
หยวนฟงประจบจากมุมมองของเขา มีโอกาส 80-90% ที่จางเซิงจะได้อยู่โรงเรียนต่อไปหลังจากฝึกสอน เขาไม่พลาดที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาในตอนนี้
จางเซิงไม่พูดอะไรแต่สีหน้าที่หยิ่งยโสของเขากล่าวอย่างชัดเจนว่าเขาให้ความสนใจเด็กนักเรียนคนนั้นด้วย
“เราควรไปถามเขาดีไหม?”
หลู่ตี๋แนะนำ เขามีความหวังว่าบางทีนักเรียนกำลังมองหาเขา?
“ถ้าเราต้องการถาม จางเซิงควรเป็นคนไป
หยวนฟงกระตุ้น “นักเรียนคนหนึ่งอยู่ที่นี่จนถึงกลางคืนเพื่อขอคำแนะนำหากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป คงจะดีต่อชื่อเสียงของเรา!”
จางเซิงตัดสินใจนานแล้วเนื่องจากนักเรียนคนนั้นไม่ต้องการเคาะประตู เขาจึงไม่เป็นฝ่ายเริ่มถามท้ายที่สุดแม้จะเป็นครูฝึกสอนก็ต้องมีศักดิ์ศรี เขาต้องไม่ลดตัวลง แต่เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหลู่ตี๋เขาก็พบว่ามันสมเหตุสมผล
“รีบไปดูกันว่าเด็กคนนั้นต้องการคำแนะนำอย่างไร?”
หลู่ตี๋กระตุ้น
หืมม
จางเซิงยืนขึ้นเขาจัดรอยยับบนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเดินออกไป
“เจ้ายืนอยู่นอกประตูมานานมากแล้ว เจ้าต้องการอะไรหรือเปล่า?”
จางเซิงถาม
“ข้า...”
ชีเซิ่งเจี่ยกลืนน้ำลายเอื๊อก“ข้ากำลังตามหาซุนม่อ.... อาจารย์ซุน”
เมื่อเขาได้ยินคำว่าซุนม่อใบหน้าจางเซิงเขียวคล้ำทันที เขาแทบจะหันหลังกลับ อย่างไรก็ตามเขามีแรงกระตุ้น นักเรียนมาขอคำแนะนำจากซุนม่อ ทำไมเขาถึงต้องมา? หากเรื่องนี้แพร่ออกไปเขาคงเสียหน้าจริงๆ ดังนั้นเขาต้องถามให้ชัดเจน
“ทำไมเจ้าต้องตามหาเขา?”
จางเซิงถามรอยยิ้มเยาะตัวเองปรากฏบนใบหน้าของเขา เขารู้สึกว่าเขาคิดมากเกินไป สำหรับสวะอย่างซุนม่อ ต่อให้นักเรียนปัญญาอ่อน เขาก็จะไม่มีวันตามหาซุนม่อเพื่อขอคำแนะนำ!
“เพื่อขอคำแนะนำ”
เสียงของชีเซิ่งเจี่ยเบาลง
“ว่าไงนะ?”
จางเซิงเสียงแหบพร่าแม้แต่หลู่ตี๋และหยวนฟงที่กำลังแอบฟังจากบ้านก็ยังมีสีหน้าสับสน
ชีเซิ่งเจี่ยก้มหน้าเท้าของเขาขยับต้องการจะจากไป
“หยุดอยู่ตรงนั้น!”
เสียงของจางเซิงเต็มไปด้วยความโกรธ“ซุนม่อไม่อยู่ เจ้าต้องการคำแนะนำเรื่องอะไร? ข้าตอบแทนเขาได้!”
จางเซิงไม่อยากรบกวนนักเรียนที่โง่เขลาคนนี้จริงๆแต่ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้นักเรียนคนนี้เดินจากไปแบบนั้นได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแสดงว่าเขาด้อยกว่าซุนม่อไม่ใช่หรือ? ดังนั้นสิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำตอนนี้ก็คือจัดการปัญหาของนักเรียนคนนี้และพิสูจน์ว่าความสามารถในการสอนของเขานั้นยอดเยี่ยม
“มะมือกับขาของข้าใช้การไม่ได้ ข้าอยากถามว่าเป็นเพราะเหตุใด?”
ชีเซิ่งเจี่ยรวบรวมความกล้าและถาม
จางเซิงรู้สึกประหลาดใจหลังจากนั้นใบหน้าของเขาซีดเผือด เขาตะโกนลั่น“บัดซบ! เจ้าพิการมือกับขายังไม่พอ นี่ยังสมองพิการอีกด้วย เจ้าบ้าหรือเปล่า? ถ้าเจ้าได้รับบาดเจ็บทำไมไม่ไปหาหมอ?”
หลังจากดุด่าแล้วจางเซิงก็หันหลังกลับและจากมาจากมุมมองของเขา นี่คงเป็นแผนร้ายระหว่างคู่แข่ง พวกเขาต้องการทำลายชื่อเสียงของเขาและลดโอกาสบรรจุงานในโรงเรียนของเขา
“ซุนม่อต้องเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่!”
หยวนฟงกล่าวหาซุนม่อ “มันอิจฉาพรสวรรค์ของเจ้า และต้องการลากเจ้าลงน้ำไปด้วย”
หลู่ตี๋แสร้งทำตัวเป็นเต่าขลาดเขลานั่งถอนขนที่ขาหมูเงียบๆ ต่อไป
ปัง!
จางเซิงปาถ้วยน้ำชาลงพื้นด้วยความโกรธคิดในใจว่าทำไมข้าถึงนึกแผนการนี้ไม่ออก ไม่พรุ่งนี้ข้าจะต้องหานักเรียนสองสามคนและบอกให้พวกเขามาหาข้าเป็นกลุ่มๆ บ้าง
ก็แค่อยากได้ชื่อเสียงไม่ใช่หรือ? ใครบ้างไม่รู้จักวิธีการนี้บ้างเล่า?
“เจ้าซุนม่อนั่นไม่มีความสามารถใดแต่มีความคิดที่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์”
หยวนฟงตบกระเป๋าของเขาและคำนวณว่าเขามีเงินเท่าไหร่ เขาสามารถจ้างนักเรียนสองสามคนเพื่อจุดประสงค์นี้เช่นกัน แต่เขาก็กังวลว่าทางโรงเรียนอาจตรวจพบและไล่เขาออกโดยตรงได้!
เมื่อทั้งสามคนลุกขึ้นในตอนเช้าและออกไป พวกเขายังเห็นชีเซิ่งเจี่ยรออยู่ในจุดที่ไม่ไกลจากประตู
“ครั้งนี้ซุนม่อคงจะจ่ายไปมากสงสัยว่าเขาใช้เงินไปเท่าไหร่กันแน่!”
หยวนฟงเย้ยหยัน
“ฮึ่ม!”
จางเซิงไม่มองชีเซิ่งเจี่ยนักเรียนยากไร้แบบนี้จะไม่มีโอกาสโดดเด่นได้ตลอดชีวิตของเขา เขารู้สึกรังเกียจหากจะพูดกับนักเรียนคนนี้มากกว่าครึ่งคำ
......
ในโรงอาหารขณะที่ซุนม่อกินซาลาเปาเจ เขามองดูคัมภีร์สีทองที่ลอยคว้างอยู่ข้างหน้าด้วยความงุนงง
เมื่อวานนี้หีบสมบัตินำโชคใช้งานได้อีกครั้ง ซุนม่อคิดว่าเขาจะได้ดินอีกก้อนหนึ่งแต่แล้วกลับเป็นคัมภีร์เล่มนี้ปรากฏขึ้น
ตามตรรกะเขาควรจะรู้สึกมีความสุขหลังจากได้รับรางวัล แต่เมื่อเขาเห็นชื่อคัมภีร์นี้ซุนม่อรู้สึกงุนงงและขัดใจเล็กน้อย