ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 16 คลื่นใต้น้ำ
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 16 คลื่นใต้น้ำ
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หมิงเยว่ได้พาซูหยากลับไปยังขุนเขาวารีนภา
“อาจารย์ ท่านกลับมาแล้ว...”
ลำธารที่ขุนเขานั้นมีสีฟ้าเหมือนกับท้องฟ้า กลุ่มหญิงสาวรูปงามกำลังเล่นน้ำอยู่ในลำธาร เมื่อพวกเขาเห็นหมิงเยว่นำซูหยากลับมา พวกเขารีบลุกขึ้นและโค้งคำนับ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง กิจวัตรดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติในขุนเขาวารีนภา อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้เดินทางไปยังขุนเขาเมฆาม่วง ความคิดของหมิงเยว่ก็ค่อย ๆเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเห็นว่าหลินชิงจู้ได้บรรลุถึงขอบเขตนิ้วทมิฬแล้ว ความกดดันก็ทวีคูณขึ้น
ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสู่สำนักกลับอยู่ในขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 1 แล้ว สำหรับศิษย์อันล้ำค่าของนาง นอกจากศิษย์เก่าแล้วที่เหลือก็ล้วนไร้ประโยชน์
“เจ้าได้ทบทวนสิ่งที่ข้ามอบหมายเสร็จหรือยัง”
หลิวรู่หยานตัวสั่นด้วยความสับสนเมื่อได้ยินคำถามของหมิงเยว่
“ท-ท่านอาจารย์! เสร็จแล้ว…” หลิวรู่หยานตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว นางไม่ค่อยเห็นหมิงเยว่จริงจังมากนัก นางรู้ว่าอาจารย์ของตนต้องอารมณ์ไม่ดีอยู่อย่างแน่นอน
“พวกเจ้าทุกคนรู้เพียงแต่วิธีการร้องเล่น เหลือเวลาอีกสามเดือนก่อนถึงการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขา พวกเจ้าทุกคนรู้สึกมั่นใจและคิดว่าไม่จำเป็นต้องฝึกฝนอีกต่อไปงั้นหรือ? ศิษย์ของขุนเขาอื่น ๆ กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขา มีเพียงแต่พวกเจ้าเท่านั้นที่เล่นกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน
“พวกเจ้าทุกคนต่างรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถและไม่จำเป็นต้องฝึกฝนอีกต่อไปหรือ? พวกเจ้าทุกคนต่างภูมิใจและมองข้ามทุกคน! พวกเจ้าไม่รู้เลยว่ามีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตนเองอยู่เสมอ
“ในแง่ของความสามารถ ขุนเขาแรกมีหลิวชิงเฟิงและขุนเขากระบี่เร้นลับมีฉีฮ่าว ใครกันจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้? แม้แต่ขุนเขาเมฆาม่วงซึ่งควรจะย่ำแย่ที่สุด ทว่าลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้าร่วมสำนักเป็นเวลาห้าวันนั้นกลับบรรลุขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 1 แล้วพวกเจ้าล่ะ? พวกเจ้ายังมีอารมณ์ที่จะเล่นต่ออีกหรือไม่”
ยิ่งนางพูดมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งโกรธและโมโหมากขึ้นเท่านั้น เมื่อไหร่กันที่นาง หมิงเยว่ ได้รับความคับข้องใจเช่นนี้? ลูกศิษย์ทั้งหมดในรุ่นเดียวกันต่างถูกลูกศิษย์ของนางเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางไม่ใช่หรือ? นางซึ่งมีความภาคภูมิใจในตนเองอย่างแรงกล้ามาโดยตลอด กลับพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่าลูกศิษย์ของนางด้อยกว่าคนอื่น
“ท่านอาจารย์ พวกเรารู้ว่าเราคิดผิด! พวกเราจะไปฝึกฝนในทันที…” หลิวรู่หยาน รู้สึกผิด
“รู่หยาน! ในฐานะที่เจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ข้าหวังว่าเจ้าจะมีไหวพริบและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับศิษย์น้องของเจ้า ข้าไม่ได้คาดหวังให้เจ้าเป็นที่หนึ่ง ตราบใดที่เจ้าไม่ทำให้ข้าต้องอับอาย”
ด้วยเหตุนี้หมิงเยว่จึงจากไปอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้ซูหยาต้องยืนอยู่คนเดียว
หลังจากที่นางจากไป เหล่าศิษย์พี่หญิงก็ได้ล้อมนางไว้ทันที
“ศิษย์น้องเล็ก เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจู่ ๆ อาจารย์ถึงโกรธเกรี้ยวเช่นนั้น?”
“ข้าอยู่ในสำนักมานานแล้ว แต่ข้าไม่เคยเห็นท่านโกรธขนาดนี้มาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือ?”
เมื่อมองย้อนกลับไปยังแผ่นหลังของหมิงเยว่ที่จากไป ซูหยาก็พูดอย่างเศร้าใจว่า “อาจารย์พาข้าไปเยี่ยมชนขุนเขาเมฆาม่วงในวันนี้ ทว่าปรมาจารย์แห่งขุนเขาเมฆาม่วง ไม่ได้อ่อนแออย่างที่ข่าวลือกล่าว เขาทรงพลังยิ่งนัก นอกจากนี้ ลูกศิษย์ของเขาที่ได้เข้ามาอยู่ในสำนักมาห้าวันได้บรรลุขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 1 แล้ว”
“นี่มัน!!!”
ฝูงชนต่างตกตะลึง
บรรลุขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 1 ในห้าวัน นี่มันเรื่องตลกอันใดกัน?
ศิษย์พี่หญิงที่อยู่ในสำนักมาสามปีและยังคงติดอยู่ในขอบเขตฝึกปราณต่างก็เริ่มสงสัยในชีวิตของตนเอง
“มันเป็นไปได้อย่างไรกัน”
ทุกคนต่างตกใจ
จากสิ่งที่พวกเขารู้ ขุนเขาเมฆาม่วงนั้นอ่อนแอที่สุดในบรรดาเจ็ดขุนเขาและปรมาจารย์ของขุนเขาเมฆาม่วงก็เป็นเศษขยะ ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะได้ยินข่าวที่น่าตกใจในวันนี้ ซึ่งได้ทำลายภาพลักษณ์เก่าของขุนเขาเมฆาม่วงลงไปอย่างสิ้นเชิง
หลิวรู่หยานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดอาจารย์ถึงโกรธ แม้แต่ขุนเขาเมฆาม่วงที่อยู่ท้ายสุดจากขุนเขาทั้งเจ็ดก็ยังแซงหน้าเรา ศิษย์น้องทั้งหลาย! ดูเหมือนว่าเราจะต้องต้องพยายามอย่างหนักในอนาคต เราไม่สามารถทำให้ท่านอาจารย์ของเราต้องอับอายต่อหน้าปรมาจารย์คนอื่นได้ นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปพวกเราทุกคนจะต้องฝึกฝนอย่างจริงจัง
“ยังมีเวลาอีกสามเดือนก่อนจะถึงการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขา! ในช่วงสามเดือนนี้ อย่างน้อยทุกคนควรเพิ่มขอบเขตการบ่มเพาะหนึ่งขอบเขต”
“อา…” หลังจากได้ยินเช่นั้นทุกคนก็เริ่มหดหู่ นี่เป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เกิน อย่างไรก็ตาม พวกเขาต่างระงับความไม่พอใจไว้หลังจากเห็นแววตาที่เย็นชาของนาง
ศิษย์พี่หญิงยังคงสง่างามมากที่สุดในขุนเขาวารีนภา นอกจากหมิงเยว่แล้ว นางเป็นอีกคนที่มีการพูดถึงมากที่สุด
...
แตกต่างจากบรรยากาศที่ตึงเครียดของขุนเขาวารีนภา ฉีอู๋ฮุ่ยกำลังคิดหาวิธีทำให้ เย่ชิวอับอายขายหน้าในอีกสามเดือนข้างหน้าหลังจากที่เขากลับมาถึงบ้านไม่นาน
“ฮ่าฮ่า เจ้าเด็กโง่เขลา! เจ้ากล้าเดิมพันกับข้าหรือ ไม่ใช่เป็นการมองหาความอัปยศอดสูหรอกหรือ!” ในห้องฝึกซ้อมฉีอู๋ฮุ่ยกล่าวด้วยสีหน้าที่มืดมน
ในขณะนั้น ชายหนุ่มรูปงามที่ดูไม่ธรรมดาก็ได้เดินเข้ามา “ท่านพ่อ ท่านเรียกข้ามาที่นี่ด้วยเหตุใดหรือ”
บุคคลนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉีฮ่าวศิษย์พี่คนโตของขุนเขากระบี่เร้นลับ บุตรชายอันค่าของฉีอู๋ฮุ่ย
ฉีอู๋ฮุ่ยให้ความสำคัญกับลูกชายของตนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ฉีฮ่าวยังโดดเด่นและมีความสามารถพิเศษ ถ้าเขาฝึกฝนอย่างจริงจัง เขาคงจะไม่แพ้ให้กับหลิวชิงเฟิง แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ จิตใจของบุตรชายนั้นไม่ได้อยู่ที่การฝึกฝนโดยสมบูรณ์ ทว่ากับหมกมุ่นอยู่กับการแย่งชิงสตรีมาบันเทิงตนเอง
ฉีอู๋ฮุ่ยปวดหัวเพราะเหตุนี้ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองถึงมีบุตรที่นิสัยไม่ดีเช่นนี้ ในเมื่อตนเองเป็นคนที่ซื่อตรงและโดดเด่น มีอะไรผิดพลาดหรือไม่?
เมื่อเห็นฉีฮ่าว ฉีอู๋ฮุ่ยก็จดจำได้ว่าเย่ชิวได้มอบความอัปยศให้กับเขาอย่างไรและรู้สึกโกรธขึ้นมาในทันที “เจ้าควรที่จะยับยั้งตนเองในขณะนี้ เจ้าควรมุ่งเน้นไปกับการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขา ข้าได้เดิมพันกับเย่ชิวไว้! หากเจ้าแพ้ให้กับขุนเขาเมฆาม่วงในอีกสามเดือนต่อมา มารอดูกันว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
ฉีฮ่าวไม่สนใจ เขาเยาะเย้ยและพูดว่า “เย่ชิว? ปรมาจารย์ขุนเขาขยะนั่นหรือ? ท่านพ่อ ท่านกำลังคิดมากหรือ เขาไม่สามารถแม้แต่จะเอาชนะข้าได้ด้วยซ้ำ แล้วลูกศิษย์ที่เขาสั่งสอนจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน? ท่านพ่อท่านควรพักผ่อนบ้าง ข้าจะต้องเป็นผู้ชนะเลิศของการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขาครั้งนี้อย่างแน่นอน…”
ฉีฮ่าวมีความมั่นใจอย่างยิ่งยวด ในสำนักเยียวยาสวรรค์ นอกเหนือจากหลิวชิงเฟิงแล้ว เขาก็ไม่กลัวใครอีกเลย แม้ว่าเขาจะหมกมุ่นอยู่กับสตรีในทุกวัน แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ได้ต่ำเตี้ย ไม่เช่นนั้นจะมีสตรีมากมายมาสนใจเขาได้อย่างไร?
สุภาพบุรุษที่ดูอ่อนโยนและสง่างามคนนี้ความคิดเต็มไปด้วยอุบายชั่วร้าย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาได้กระทำชำเราสตรีผู้บริสุทธิ์ไปนับไม่ถ้วน
ฉีอู๋ฮุ่ยมักจะเมินเฉยต่อการกระทำของฉีฮ่าว อย่างไรก็ตาม เขาไม่ต้องการให้เย่ชิวมีโอกาสเยาะเย้ยตนเพราะฉีฮ่าว ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างเคร่งครัดว่า “เจ้ามักจะพอใจกับผลลัพธ์เพียงเล็กน้อย จงละทิ้งความพอใจของเจ้าไปเสีย เจ้าคิดว่าเย่ชิวเป็นขยะตามข่าวลือกล่าวหรือไม่? แม้แต่ข้าก็ยังไม่สามารถบ่งบอกระดับการบ่มเพาะของเด็กคนนั้นได้ด้วยซ้ำ! เจ้าควรยับยั้งตนเอง ขุนเขากระบี่เร้นลับของข้าและขุนเขาเมฆาม่วงนั้นเป็นปรปักษ์กันมาโดยตลอด ข้าไม่สามารถปกป้องเจ้าได้หากเขาพบหลักฐานบางอย่าง”
รอยยิ้มของฉีฮ่าวหายไปในทันทีและเปลี่ยนเป็นมืดมด “ท่านหมายถึงอะไรหรือ เป็นไปได้ไหมที่เขายังกล้าที่จะก่อปัญหาให้ข้า?”
ไม่นานเจตนาสังหารของเขาก็พุ่งสูงขึ้น ฉีฮ่าวไม่สามารถเข้าใจได้ว่าปรมาจารย์ผู้ไร้ประโยชน์ของขุนเขาเมฆาม่วงไปเอากล้าหาญนี้มาจากไหน
บิดาของเขาคือฉีอู๋ฮุ่ย ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยแห่งสำนักเยียวยาสวรรค์และเป็นปรมาจารย์แห่งขุนเขากระบี่เร้นลับ ในสำนักเยียวยาสวรรค์ทั้งหมด อาจกล่าวได้ว่าเป็นอันดับสองรองจากเจ้าสำนัก ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจชีวิตและความตายคนของอื่นได้อย่างง่ายดาย
แล้วเย่ชิวกล้าจะสร้างปัญหาให้กับเขาได้อย่างไร?
“หืม หากเจ้าสำนักไม่ได้เดินทางไปยังขุนเขาเมฆาม่วงเมื่อวานนี้ ข้าคงไม่รู้เลยว่าเด็กเหลือขอคนนั้นเก็บงำความแข็งแกร่งเอาไว้ เราประเมินเขาต่ำเกินไป! หลังจากทนกับความอัปยศอดสูมานานนับสิบปี เจ้าเด็กนั่นก็ได้เติบโตอย่างเงียบ ๆ จนเป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป
“อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะพยายามซ่อนมันมากแค่ไหน มันก็ไร้ประโยชน์! ข้าจะทำให้เขาต้องอับอายต่อหน้าลูกศิษย์ของขุนเขาต่าง ๆ ยังเหลือเวลาอีกสามเดือนก่อนที่การประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขาจะเริ่มขึ้น สามเดือนนี้เจ้าห้ามออกไปไหน มุ่งเน้นไปยังการบ่มเพาะของเจ้า”
ฉีฮ่าวพยักหน้า ไม่ว่าเขาจะเหลวไหลเพียงใด มันก็ยังคงเป็นเรื่องของครอบครัว ทว่าตอนนี้กลับมีคนนอกที่ต้องการสร้างปัญหาให้กับเขา และคนคนนั้นคือผู้ที่เขาดูถูกมาโดยตลาด
“ท่านพ่อไม่ต้องกังวล เราจะต้องชนะอย่างแน่นอน…”