ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 15 ข้าหรือ ข้าจะใช้อะไรก็ได้
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 15 ข้าหรือ ข้าจะใช้อะไรก็ได้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางกังวลเล็กน้อย เย่ชิวมอบกระบี่เมฆาม่วงให้กับนางแล้วเขาจะใช้อะไร?
กระบี่เมฆาม่วงนี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวของขุนเขาเมฆาม่วงที่ถือได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของสำนัก เมื่อเย่ชิวมอบมันให้กับนาง นั่นหมายความว่าเย่ชิวไม่มีกระบี่ใช้อีกแล้วไม่ใช่หรือ
หลินชิงจู้เดินไปข้างหน้าด้วยท่าทางงงงวยและพูดว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่มอบกระบี่นี้ให้ข้า กระบี่เล่มนี้มีประโยชน์มากสำหรับข้า แต่ท่านอาจารย์ ท่านมอบกระบี่เมฆาม่วงให้แก่ข้า แล้วในอนาคตท่านจะใช้อะไรหรือ”
ขณะที่ถามคำถามนี้ หมิงเยว่ก็มองตามด้วยความสงสัย กระบี่เมฆาม่วงถือเป็นสมบัติที่ทรงพลังที่สุดของขุนเขาเมฆาม่วง ในอดีตอาจารย์ลุงซวนเทียนมองว่ามันสำคัญกว่าชีวิตของเขาเสียอีก ทว่าเย่ชิวมอบมันให้กับลูกศิษย์ของเขา แล้วเขาจะใช้อะไร? หากไม่มีกระบี่ เขาจะแข่งขันกับปรมาจารย์คนอื่น ๆ ในอนาคตได้อย่างไรกัน?
เย่ชิวตอบกลัว “ข้า?”
ณ ตอนนี้…
[ ติ๊ง… ]
[ ท่านมอบสมบัติขั้นสูงสุดแก่ลูกศิษย์ กระบี่เมฆาม่วง ท่านได้กระตุ้นระบบตอบแทนหมื่นเท่า ]
[ ท่านต้องเปิดใช้งานหรือไม่? ]
เย่ชิวเผยอยิ้ม ในที่สุดระบบก็มา
“เปิดใช้งาน…”
[ ติ๊ง… ]
[ ยินดีด้วยท่านได้รับผลตอบแทนสูงสุด กระตุ้นผลตอบแทน 10,000 เท่า ท่านได้รับ กระบี่เซียนเมฆา
เย่ชิวตกตะลึง เขามองไปยังกระบี่เซียนในระบบและอุทานอยู่ในใจ
“หมื่นเท่า! กระบี่เซียน! แม่เจ้า… ข้าได้รับกระบี่เซียนโดยตรง? นี่เป็นสมบัติเซียนขั้นสูงสุด!”
ทุกคนต่างมองไปยังเย่ชิว เฝ้ารอคำตอบจากเขา หลังจากนั้นไม่นานเย่ชิวก็ฟื้นตัวและมองดูพวกเขา เขายิ้มและพูดว่า “ข้าหรือ ข้าจะใช้อะไรก็ได้”
ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขาก็ได้นำกระบี่เซียนออกมาจากระบบ ทันใดนั้นกลิ่นอายเซียนก็ได้ท่วมท้นออกมา ห้องโถงฝึกซ้อมทั้งหมดเต็มไปด้วยเจตนากระบี่อันแหลมคม กลิ่นอายนั้นได้กดทับทุกคน ทำให้หายใจลำบากเป็นอย่างมาก
“นี่…” ฉับพลัน หมิงเยว่ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของนาง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจ “แท้จริงแล้วมันคือกระบี่เซียน…”
‘เป็นไปได้อย่างไร? เหตุใดเขาถึงมีกระบี่เซียน? นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากระดับแล้วของมันแล้ว กระบี่เล่มนี้ยังคงเป็นกระบี่เซียนขั้นสูงสุด แม่เจ้า!’ หมิงเยว่คาดไม่ถึงอย่างสมบูรณ์ ปรมาจารย์แห่งขุนเขาเมฆาม่วงที่นางดูถูกดูแคลนมาตลอด มีสมบัติล้ำค่าอยู่ในมือของเขา นอกจากนี้ ระดับการบ่มเพาะของเขาไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่นางคิด
‘เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่? ในช่วงสิบปีนี้ เขาไม่เคยใส่ใจที่จะลบล้างข่าวลือและตอบโต้การดูหมิ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาคิดอะไรอยู่?’
หมิงเยว่แอบชื่นชมอยู่เล็กน้อย ลักษณะนิสัยของเย่ชิวช่างน่าหวาดกลัวเกินไป นี่อาจเป็นความคิดที่ผู้ฝึกตนควรมี เขาดูถูกสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและอดทนต่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวล แม้ว่าเขาจะได้ยินคำหยาบคาย เขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้น นี่คือความอดทนและการดูถูกทุกสรรพสิ่ง
‘สิ่งที่แย่กว่านั้นคือเห็นได้ชัดว่าเขามีกระบี่เซียนอยู่ในมือ แต่กลับพูดอย่างไม่แยแสว่าตนจะใช้อะไรก็ได้ แล้วอะไรก็ได้ที่เจ้าหมายถึง เจ้ามอบมันให้ข้าด้วยได้หรือไม่?’
‘นี่คือกระบี่เซียน สมบัติเซียนที่แม้แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์โบราณและกลุ่มผู้ทรงอำจาจในยุคดึกดำบรรพ์ก็ไม่สามารถนำออกมาให้เห็นได้ด้วยซ้ำ เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่า “อะไรก็ได้” ด้วยสีหน้าสบาย ๆ เช่นนั้น’
หมิงเยว่ มีอาการทางจิตและต้องการสาปแช่งออกมาดัง ๆ
เมื่อเทียบกับหมิงเยว่ หลินชิงจู้และซูหยานั้นเถตรงกว่ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขาได้ยินหมิงเยว่อุทานว่ามันคือกระบี่เซียน ปากของพวกเขาก็เปิดกว้าง
“แม่เจ้า! นี่คือกระบี่เซียนที่ล่ำลือกันว่าสามารถสังหารจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวใช่หรือไม่? นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน? เหตุใดเขาถึงมีกระบี่เซียน…” ซูหยาอุทานด้วยความตกใจ
ทว่าหลินชิงจู้นั้นมีความสุขมาก เพราะไม่ว่าสมบัติใดที่เย่ชิวครอบครองนั้นก็เป็นของอาจารย์ของนาง นางรู้สึกมีความสุขและภูมิใจในตัวอาจารย์อย่างมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อนางนึกถึงสิ่งที่เย่ชิวพูดเมื่อครู่นี้มุมปากของนางกระตุกเช่นกัน นางไม่คิดว่าอาจารย์ของนางจะมีรสนิยมแย่ขนาดนี้ แต่นางก็ชื่นชอบมันเช่นกัน
“ฮิฮิ อาจารย์ ขอข้ายลโฉมกระบี่เซียนเล่มนี้ได้หรือไม่?” หลินชิงจู้เดินเข้ามาด้วยความสงสัย
เย่ชิวมอบกระบี่ให้นางและปล่อยให้นางชมจนพอใจ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังเป็นลูกศิษย์ของเขาและเขาก็ต้องเอาอกเอาใจนางเช่นกัน นอกจากนี้ การมองกระบี่ก็ไม่ได้ทำให้กระบี่เสื่อมสภาพ
เมื่อหลินชิงจู้สัมผัสได้ถึงเจตนาของกระบี่อันดุร้ายที่ถ่ายทอดมาจากกระบี่อย่างระมัดระวังนางก็ตกใจอย่างมาก กระบี่เซียนนี้มีพลังมากพอที่จะบดขยี้ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตปรมาจารย์ยุทธได้อย่างง่ายดาย
หลังจากชมไปสักพัก หลินชิงจู้ก็คืนกระบี่ให้เย่ชิว เพราะนี่เป็นของอาจารย์ของนาง แม้ว่าอาจารย์จะมอบมันให้อีกเล่ม นางก็จะไม่ยอมรับมัน เพราะนางพอใจมากแล้วที่เย่ชิวมอบกระบี่เมฆาม่วงให้กับนาง แล้วนางจะรับกระบี่มาอีกได้อย่างไร
สีหน้าของเย่ชิวยังคงนิ่งเฉยแม้หลังจากนำกระบี่เซียนเมฆากลับคืนมา สิ่งนี้ทำให้ หมิงเยว่รู้สึกเคารพเขามากขึ้น ‘ข่าวลือทุกวันนี้ยิ่งแย่ลง ในอนาคต หากใครกล้าพูดว่าปรมาจารย์แห่งขุนเขาเมฆาม่วงเป็นเศษขยะต่อหน้าข้า ข้าจะตบผู้นั้นให้ตายทันที ด้วยความแข็งแกร่งของข้า ข้าไม่แม้แต่จะสามารถรับมือเขาได้ถึงสิบกระบวนท่าด้วยซ้ำ’
“ข้าได้ยินมาว่าขุนเขาเมฆาม่วงเป็นสถานที่ที่มีสมบัติมากมาย ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องเท็จ! ศิษย์น้องเย่ ข้าขอแสดงความยินดีกับเจ้าที่ได้รับกระบี่เซียน ด้วยกระบี่เซียนเล่มนี้ ข้าเกรงว่าจะไม่มีใครในสำนักเทียบเจ้าได้ ข้าหวังว่าน้องชายจะปกป้องข้าในอนาคตเช่นกัน” หมิงเยว่กล่าวอย่างคลุมเครือ
เย่ชิวยิ้มอย่างแผ่วเบา “ศิษย์พี่หญิงช่างเจียมเนื้อเจียมตัวเกินไป! เหตุใดท่านถึงต้องการให้ข้อปกป้องท่าน ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน แม้แต่ท่านเจ้าสำนักก็ต้องเคารพท่าน ข้าจะกล้าโอ้อวดต่อหน้าท่านได้อย่างไรกัน”
ดวงตาของหมิงเยว่หรี่ลง นี่เป็นครั้งที่สองที่นางสงสัยในรูปร่างหน้าตาของตนเอง เพราะเย่ชิวยังคงไม่หวั่นไหวในความปรารถนาดีของนาง นางอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าชายที่อยู่ตรงหน้านางไม่ได้ชอบสตรีหรือ
“ศิษย์ของข้า ในเมื่อสหายของเจ้ามาที่นี่เพื่อพบเจอกับเจ้า เจ้าจะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดี ไปเถอะ พานางออกไปเดินเล่นและชมทิวทัศน์ที่สวยงามของขุนเขาเมฆาม่วง ของเรา ไว้เราจะพูดถึงการบ่มเพาะในวันพรุ่งนี้ เจ้าไม่ต้องรีบร้อน…” เย่ชิวกล่าวเบา ๆ
หลินชิงจู้ พยักหน้า “เจ้าค่ะท่านอาจารย์ มาสิหยาหยา ข้าจะพาเจ้าไปดูรอบ ๆ”
ในเวลานี้ ซูหยายังอยู่ในสภาวะมึนงง หลังจากที่หลินชิงจู้ลากนางออกจากห้องฝึกซ้อมในที่สุดนางก็รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากที่เดินออกไปไกลแล้วนางก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อย่างสมบูรณ์ นางจับแขนหลินชิงจู้และถามว่า “ชิงชิง บอกข้ามาตามตรง เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์ของเจ้าซ่อนความแข็งแกร่งของเขาอยู่ตลอดเวลา นั่นคือเหตุผลที่เจ้ารับเขาเป็นอาจารย์ของเจ้าใช่หรือไม่?”
“ไม่!” หลินชิงจู้ ส่ายหัว
“แล้วเจ้า…” ซูหยาคิดอะไรไม่ออก หลิวชิงเฟิงเคยบอกพวกเขาเกี่ยวกับปรมาจารย์ขุนเขาทั้งเจ็ดคนมาก่อน เหตุใดนางถึงยอมรับแม้จะรู้ว่าชื่อเสียงของเย่ชิวไม่ได้ดีนัก
หลินชิงจู้กล่าวต่อว่า “ในเวลานั้น พวกเจ้าทุกคนมีขุนเขาให้กลับไป มีเพียงข้าเท่านั้นที่ไม่มีที่ไป หัวใจของข้าก็เหมือนกับขี้เถ้า มีเพียงท่านอาจารย์ของข้าเท่านั้นที่มอบความหวังแก่ข้า บางทีอาจารย์ของข้าอาจสงสารข้าและพาข้ามายังที่นี่
“เจ้าไม่มีทางรู้ว่าตอนนั้นข้ารู้สึกสิ้นหวังเพียงใด หากอาจารย์ไม่พาข้ากลับมาที่ขุนเขา ตอนนี้ข้าคงกลายเป็นศิษย์แรงงาน ระหว่างทางกลับไปยังขุนเขาเมฆาม่วง ข้าครุ่นคิดมาตลอด ในเมื่อท่านอาจารย์มอบความหวังแก่ข้าเมื่อข้าหมดหวัง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดข้าก็ต้องชดใช้ท่านอาจารย์ของข้า
“หลังจากนั้นข้าก็ได้อาศัยอยู่บนภูเขา! ท่านอาจารย์เห็นว่าข้ามีไหวพริบจึงนำเม็ดยาอายุวัฒนะที่เขายังไม่ได้กินออกมา เม็ดยาได้เปลี่ยนสภาพร่างกายของข้า ไม่เพียงเท่านั้น ท่านอาจารย์ยังได้มอบฐานการบ่มเพาะสิบปีของเขาให้แก่ข้า ตอนนี้… เขายังมอบกระบี่เมฆาม่วงให้ข้าอีกด้วย
“ถึงตอนนี้ ข้ายังรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่ ข้าดีใจมากที่ได้พบกับท่านอาจารย์ที่ปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี”
สีหน้าของซูหยามืดมนลง แม้ว่านางจะมีความสุขกับความโชคดีของเพื่อนสนิทของตน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางรู้สึกผิดหวัง แม้ว่าหมิงเยว่จะปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี แต่นางก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับเย่ชิวเลยแม้แต่น้อย กระทั่งมีความคิด เหตุใดนางไม่เป็นผู้ที่ได้รับเลือก เหตุใดถึงเป็นหลินชิงจู้?