ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 14 ต้านทาน
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 14 ต้านทาน
“เกิดมาพร้อมกับกระดูกเหมันต์เร้นลับ ฮ่าฮ่า ศิษย์น้องเย่ เจ้าได้รับสมบัติชิ้นใหญ่มาจริง ๆ” หมิงเยว่ยิ้มตอบ
นางรู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุด หากนางตั้งใจกว่านี้อีกนิดและเลือกหลินชิงจู้ ศิษย์อัจฉริยะคนนี้ก็จะกลายเป็นของนางไม่ใช่หรือ น่าเสียดายที่กระดูกศักดิ์สิทธิ์นี้กลายเป็นของเย่ชิวไปเสียแล้ว
หมิงเยว่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก นางจะไม่รับรู้ถึงความสามารถของเย่ชิวได้อย่างไรกัน การให้ศิษย์ที่มีกระดูกศักดิ์สิทธิ์ไว้กับเขานั้นเป็นการสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าหลินชิงจู้นั้นต้องมนต์สกดและไม่ต้องการออกจากขุนเขาเมฆาม่วงแต่อย่างใด
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ‘น่ารังเกียจยิ่งนัก! มีผู้คนอยู่มากมาย แต่ไม่มีสักคนเดียวที่ค้นพบว่ามีกระดูกศักดิ์สิทธิ์ซ่อนอยู่ในร่างกายของนาง’
เย่ชิวหรี่ตาลงและไม่ได้อธิบายอันใดแต่ ตั้งแต่ต้นจนจบเขารู้สึกสมเพชเกินกว่าที่จะอธิบายทั้งหมดนี้
“อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ นางสามารถไปถึงขอบเขตนิ้วทมิฬได้อย่างไรในเวลาเพียงห้าวันหลังจากเข้าสู่สำนัก” หมิงเยว่ถามด้วยความสงสัย แม้ว่ากระดูกศักดิ์สิทธิ์จะทรงอำนาจ แต่นี้ก็ไม่ควรเป็นเหตุผลที่ทำให้นางเข้าสู่ขอบเขตนิ้วทมิฬภายในห้าวันใช่หรือไม่
ต้องมีอะไรที่ซับซ้อนกว่านี้มาก!
“นิ้วทมิฬ!” ซูหยาอุทานด้วยความตกใจ นางต้องใช้เวลาห้าวันถึงจะบรรลุขอบเขตฝึกปราณขั้นที่ 1 นางต้องการโอ้อวดหลินชิงจู้อยู่เช่นกัน แต่นี่ถือเป็นการตบหน้าโดยสมบูรณ์! นางมีอะไรให้อวดบ้าง ไม่นานสีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว
ตอนแรกนางภูมิใจที่ได้เข้าร่วมขุนเขาวารีนภา แต่ตอนนี้นางตระหนักได้ว่าตัวตลกที่แท้จริงนั้นคือตัวเอง นางไม่เชื่อว่านี่จะกลายเป็นเรื่องจริง เหตุใดหลินชิงจู้ถึงก้าวล้ำหน้านางไปหนึ่งก้าวตั้งแต่แรกเริ่ม นางคิดว่าในที่สุดตนก็สามารถเอาชนะหลินชิงจู้ได้ในครั้งนี้ และต้องการพาสหายกลับไปด้วยกัน แต่นางไม่ได้คาดหวังเลยว่าตนเองจะโดนตอกกลับเช่นนี้
“ชิงชิง เจ้ามาถึงขอบเขตนิ้วทมิฬแล้วจริงหรือ” ซูหยาวิ่งไปคว้ามือของหลินชิงจูอย่างตกใจ
เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ตกใจของนาง หลินชิงจู้ก็หัวเราะเยอะอยู่ภายในใจ ทุกคนคิดว่าชีวิตของนางต้องพังทลายหลังจากที่นางเข้าสู่ขุนเขาเมฆาม่วง พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามีอาจารย์ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาอยู่ที่นี่
หลินชิงจู้พยักหน้าอย่างเฉยเมยว่า “ท่านอาจารย์ปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี เมื่อวานท่านมอบฐานการบ่มเพาะแก่ข้าเป็นเวลาสิบปี ทำให้ข้าสามารถบรรลุขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 1 ได้
“นี่… เป็นไปได้อย่างไร” ซูหยายังคงไม่เชื่อ แม้แต่สีหน้ายังบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม
“นี่มัน! มอบฐานการบ่มเพาะหรือ” เมื่อนางได้ยินสิ่งนี้หมิงเยว่ก็ขมวดคิ้วเป็นปม นางหันไปมองที่เย่ชิวซึ่งยังคงสงบนิ่ง เห็นเช่นนี้นางก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก
‘เขาเต็มใจมอบฐานการบ่มเพาะให้กับลูกศิษย์จริงหรือ เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่าเขาอยู่ในขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 2 หรอกหรือ หากเขามอบฐานการบ่มเพาะสิบปี นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาเสียเวลาบ่มเพาะสิบปีไปโดยปริยายไม่ใช่หรือ?’
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้วเนตรแห่งปัญญาของหมิงเยว่ก็เบิกออก นางต้องการสอบว่าระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของเย่ชิวคือขอบเขตใด ขณะที่นางกำลังจะตรวจสอบ จู่ ๆ นางก็ถูกพลังอันน่าพิศวงผลักไสไล่ส่งจนทำให้นางตื่นตระหนกในทันที
พลังเช่นนี้นี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่านางเลยแม้แต่น้อย ในเวลานี้ ไม่ว่านางจะโง่เขลาเพียงไหน นางก็ต้องเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
“ศิษย์น้องเย่ไม่คาดคิดเลยว่าจะซ่อนความแข็งแกร่ง ข้าเกือบถูกเจ้าหลอกเสียแล้ว! ข้าคิดว่าเจ้าอยู่ในนิ้วทมิฬขั้นที่ 2 เพียงเท่านั้น เจ้าหลอกข้าได้แนบเนียนนัก”
เย่ชิวยิ้มจาง ๆ “ข้าไม่เคยพูดว่าข้าอยู่ในขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 2 พวกท่านพูดกันเอาเอง นั่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า”
ปากของหมิงเยว่กระตุก แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล หากเป็นเช่นนั้น การมาเยือนของนางในวันนี้ก็ไม่จำเป็นเลยแม้ตแน้อย เหตุใดนางจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับอนาคตของหลินชิงจู้ ไม่น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายจะเยาะเย้ยนางอยู่ภายในใจ การที่มีอาจารย์ที่แข็งแกร่งและพร้อมที่จะมอบฐานการบ่มเพาะให้ลูกศิษย์ของเขา การที่ต้องการคำนับนางเป็นอาจารย์นั้นลืมไปได้เลย
ยิ่งนางคิดก็ยิ่งโกรธ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเด็กสาวผู้น่าสงสาร เหตุใดลูกศิษย์ต้องนำพานางมาเยือนขุนเขาเมฆาม่วงโดยไม่มีเหตุผล นี่เป็นการมองหาความอัปยศอดสูอย่างแท้จริง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะต้องการความสงสารจากนางหรือไม่ นางก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย แม้แต่นางเองก็ไม่สามารถหาอาจารย์ที่เต็มใจจะมอบฐานการบ่มเพาะเช่นนี้ได้
หลังจากผ่านไปนานหมิงเยว่ก็สงบลง
หมิงเยว่ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ จู่ ๆ นางก็เผยรอยยิ้มที่แอบแฝงด้วยนัยและโน้มตัวลงมา
จากมุมมองของเย่ชิวแล้วเขาสามารถมองเห็นทุกอย่างในอกของนางได้ สิ่งนี้เกือบ ทำให้เขากำเดาไหล ‘เป็นสิ่งที่ดีที่’ เย่ชิวนั้นเป็นคนไร้ยางอายพอที่จะสงบสติอารมณ์หลังจากชื่นชมสิ่งนั้น
“ไม่เลว ไม่เลว! ข้าสามารถแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งและเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงามได้โดยไม่ต้องเสียอะไรเลยแม้แต่น้อย” เย่ชิวหัวเราะอยู่ภายในใจ แต่สีหน้ายังคงราบเรียบเหมือนเดิมไม่มีผิด
เมื่อเห็นเช่นนี้หัวใจของหลินชิงจู้ก็บีบรัดแน่น แรกเริ่มเดิมทีนางคิดว่าสตรีผู้นี้อันตรายอย่างยิ่ง และก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ…
“ท่านอาจารย์ ท่านต้องไม่ถูกนางล่อลวง หากท่านชอบเช่นนั้น ข้าก็สามารถ…” นางแอบกังวลอยู่ภายในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
มุมปากของหมิงเยว่ขดตัวเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ขณะที่มองตรงไปยังเย่ชิว “ศิษย์น้องเย่ ถ้าเช่นนั้น ระดับการบ่มเพาะของเจ้าตอนนี้อยู่ขอบเขตใดกัน หากเจ้าบอกข้าเจ้าจะได้รับผลประโยชน์เช่นกัน~”
นางต้องการทราบข้อมูลของเย่ชว แม้กระทั่งการเสียสละความงามของตนเอง มีผู้ชายเพียงไม่กี่คนที่สามารถต้านทานความยั่วยวนของนางได้ ตามความคาดหวังดั้งเดิมของนาง เย่ชิวจะต้องตื่นตระหนกและเปิดเผยระดับการบ่มเพาะของเขาโดยไม่รู้ตัว
ทว่าใครจะไปคิดว่าเย่ชิวกลับไม่ตอบสนองอันใดเลยแม้แต่น้อย เขายังคงสงบและมีแม้กระทั่งรอยยิ้มล้อเลียนปรากฏอยู่บนใบหน้าด้วยซ้ำ
หัวใจของหมิงเยว่สั่นไหวเมื่อเห็นเช่นนี้ นางเข้าใจทันทีว่าร่างกายแสนยั่วยวนของนางนั้นไม่มีผลกับเขา
“บัดซบ! สหายคนนี้ควบคุมตนเองเช่นนี้ได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เจ้ายังคงเฉยเมยเมื่อเผชิญกับความยั่วยวนเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือไม่!” ขณะที่นางสาปแช่งอยู่ในใจ ความคิดนับพันของหมิงเยว่เริ่มพังทลายลง นี่ยังคงเป็นปรมาจารย์ขุนเขาแห่ง ขุนเขาเมฆาม่วง ที่นางคุ้นเคยหรือไม่ เหตุใดมันถึงแตกต่างจากข่าวลือ ไม่ถูกต้อง เขาได้เห็นมันแล้ว เขามองมันโดยไม่พูดอะไรสักคำด้วยซ้ำ
ความรู้สึกเช่นนี้ก็เหมือนกับความรู้สึกที่โดนชักดาบหลักจากเสร็จกิจและแม้กระทั่งโดนฝ่ายชายตอกกลับว่าเจ้าเต็มใจทำ
หมิงเยว่กลับมานั่งอย่างโกรธเคืองหลังจากรู้ว่านางไม่สามารถล้วงข้อมูลจากเย่ชิวได้
ในขณะนี้ เย่ชิวยิ้มอย่างชั่วร้าย “พี่สาว ท่านรู้สึกไม่สบายหรือ เหตุใดการสีหน้าของท่านถึงแปลกนัก ข้าได้บังเอิญเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์บางอย่างมา เหตุใดท่านไม่ลองให้ข้าช่วยตรวจดูสักครา”
มุมปากของหมิงเยว่กระตุก ‘ได้เห็นเพียงครั้งเดียว แต่คิดจะสัมผัสหรือ ฝันไปเถอะ… ข้าโกรธยิ่งนัก’
“ไม่จำเป็น!” หมิงเยว่ตอบอย่างเย็นชา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของนางที่ตนเองรู้สึกพ่ายแพ้ขนาดนี้และเป็นครั้งแรกที่นางสงสัยในรูปร่างหน้าตาของตนเอง
นางมองไปยังหลินชิงจู้และยังคงตกใจ ‘ชายคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เขามอบฐานการบ่มเพาะสิบปีให้ลูกศิษย์ นี่มันไม่ใจกว้างเกินไปหรือ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสำนักเยียวยาสวรรค์ด้วยซ้ำ’
ท้ายที่สุด การต่อสู้ระหว่างเจ็ดขุนเขานั้นรุนแรงมาก ปรมาจารย์ขุนเขาของแต่ละขุนเขาต่างก็ต่อสู้กันทั้งที่แจ้งและที่ลับ พวกเขาให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะมากกว่าชีวิตของตนเองด้วยซ้ำ
ทว่าเย่ชิวเต็มใจมอบฐานการบ่มเพาะให้ลูกศิษย์ของเขา ถือได้ว่าเป็นแบบอย่างที่ดี
ในที่สุดหลินชิงจู้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากเห็นว่าเย่ชิวสามารถต้านทานความยั่วยวนได้ “ฮ่าฮ่า ข้ารู้แล้ว อาจารย์ไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีเหมือนนางแล้วเขาไม่ต้องการเห็น แต่สตรีคนนี้ช่างร้ายกาจเกินไป! นางกล้าใช้วิธีนี้เพื่อล่อล่วงท่านอาจารย์ โชคดีที่อาจารย์เป็นสุภาพบุรุษและไม่หลงเสน่ห์ความงามชั้นต่ำเช่นนั้น”
นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลินชิงจู้สืบทอดกระบี่เมฆาม่วงได้สำเร็จ ดังนั้นนางจึงมีความสุขมาก อาจารย์ของนางมอบสมบัติล้ำค่าขั้นสูงสุดให้กับนางหลังจากมอบเม็ดยาชำระไขกระดูก เม็ดยาไขกระดูกศักดิ์สิทธิ์และมอบฐานการบ่มเพาะ ความกตัญญูและความรักที่นางมีต่อเย่ชิวนั้นสามารถอธิบายได้