MDB ตอนที่ 219 บอกราคาที่ต้องการมา
นี่เป็นครั้งแรกของหลินจินที่เขาเดินทางไปไกลขาดนี้
ระยะทางที่ไกลที่สุดที่เขาไปถึงตอนนี้คือหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชายแดนของเมืองเมเปิ้ลซึ่งห่างออกไปประมาณสามร้อยกิโลเมตรซึ่งถือว่าไม่ไกลมากเมื่อเทียบกับการเดินทางของพวกเขาไปยังเมืองมังกรหยกซึ่งอยู่ห่างออกไปอย่างน้อยหนึ่งพันกิโลเมตร
พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะไปถึงที่นั่นด้วยการเดินเท้า ในขณะที่ขี่สัตว์วิเศษจะเร็วกว่า แต่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้กับการเดินทางทางอากาศ
ก่อนที่เขาจะข้ามโลกมา หลินจินก็เคยโดยสารเครื่องบินมาก่อนเช่นกัน แต่แน่นอนว่าการขึ้นเครื่องบินและขี่นกอินทรีเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน แม้ว่าทั้งสองจะเป็นการเดินทางทางอากาศในทางเหมือนกันก็ตาม
ความเบิกบานใจที่ได้เห็นเมฆเหนือศีรษะและมองเห็นพื้นดินใต้ฝ่าเท้า สิ่งเหล่าไม่สามารถให้ได้หากอยู่ในกล่องเหล็ก
โดยไม่รู้ตัว สภาพจิตใจของหลินจินก็ดีขึ้น
เขาต้องการถามคำถามระหว่างการเดินทาง แต่เสียงหวีดแหลมของลมแรงมากจนไม่สามารถพูดคุยได้ เขาจึงเก็บคำถามเหล่านั้นไว้ก่อน เมื่อพวกเขาไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เขาค่อยหาจังหวะถามอีกฝ่ายในภายหลัง
พวกหลินจินท่องผ่านที่ราบ ภูเขาและแม่น้ำกว้างใหญ่ จากนั้น ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา นกอินทรีก็เริ่มค่อย ๆ ตกลงมา ตอนนั้นเองที่หลินจินตระหนักว่าพวกเขามาถึงพรมแดนของเมืองหลวงแล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พรมแดนก็ปรากฎขึ้นซึ่งทอดยาวข้ามเส้นขอบฟ้าไปหลายพันไมล์ สถานที่แห่งนี้ใหญ่กว่าเมืองเมเปิ้ลมาก
นกอินทรีหยุดอยู่นอกเมืองและชายทั้งสองก็กระโดดลงมา
“ผู้ประเมินหลิน นี่คือเมืองหลวงของอาณาจักรมังกรหยกและกฎของเมืองห้ามไม่ให้เราบินเข้าไปข้างใน ดังนั้น พวกเราจะต้องเดินเท้าเข้าไปข้างใน” หลู่ปิ่นกล่าวพลางจัดระเบียบเสื้อผ้าของเขา
หลินจินพยักหน้าตอบรับ การเดินเท้าพียงเล็กน้อยถือว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร
ในที่สุด หลินจินก็ไม่สามารถต้านทานแรงกระตุ้นและถามเกี่ยวกับนกอินทรีได้
หลู่บินตะลึงงันยิ้มและพูดว่า “ถ้าหากผู้ประเมินราคาหลินต้องการ ข้าจะให้เป็นของขวัญเมื่อเรากลับ”
หลินจินรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ยินเรื่องนี้ เขาแสร้งทำเป็นนิ่งก่อนจะตอบรับข้อเสนอของหลู่ปิ่น
แน่นอนหลินจินตระหนักดีว่า 'เมื่อเรากลับ' ของหลู่ปิ่นหมายความว่าอย่างไร ถ้าหากอาการป่วยของผู้ป่วยไม่หายขาดและหลินจิน ไม่สามารถทำลายคำสาปได้ เขาอาจจะไม่ได้นกอินทรีตัวนั้น
เมืองมังกรหยกเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง แม้แต่ตรงประตูเมืองก็ยังมีชีวิตชีวากว่าในเมืองเมเปิ้ล
เมื่อเข้าไปในเมือง สามารถเห็นร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่ริมถนน นอกนั้นเจ้าของร้านก็ดึงลูกค้าเข้ามาด้วยการตะโกนโปรโมตสินค้าในราคาที่ถูกกว่า ส่วนที่ดีที่สุดคือทุกคนมีสัตว์วิเศษเป็นของตัวเอง มีสัตว์เลี้ยงมากมายที่หลินจินไม่เคยเห็นมาก่อน
'ช่างเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ!'
หลินจินรู้สึกตื่นเต้น เขาเริ่มประเมินสัตว์ในขณะที่เดินไปตามทาง สัมผัสสัตว์ที่อยู่ใกล้พอและแทงสัตว์ที่ห่างออกไปเล็กน้อยด้วยเข็มลวดขด
ผ่านไปสักพัก หลินจินได้บันทึกสัตว์วิเศษใหม่กว่าสองร้อยตัว ช่างเป็นการเดินที่คุ้มค่ามาก สัตว์วิเศษหลายตัวก็เป็นสายพันธุ์หายากเช่นกัน
สมกับเป็นเมืองหลวงจริง ๆ
“ผู้ประเมินหลิน นี่เป็นโรงแรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เรามีในเมืองหลวง กรุณารอสักครู่และพักผ่อนที่นี่ ข้าจะไปแจ้งเจ้านายของข้าก่อน” หลู่ปิ่นอธิบายพร้อมกับคำนับ
หลินจินพยักหน้า เขาพอจะเดาได้ว่าเจ้านายของหลู่ปิ่นเป็นใคร หากสมมติฐานของเขาถูกต้อง เธออาจจะเป็นเจ้าหญิงองค์หนึ่งและพี่สาวของเหอฉิง
ถ้าพูดตามหลักเหตุผล ถ้าหลู่ปิ่นรับใช้ราชวงศ์ สมาชิกทุกคนในราชวงศ์นี้ควรเป็นเจ้านายของเขา
แต่เขาสังเกตเห็นจากปฏิสัมพันธ์ของพวกเขา ดูเหมือนว่าหลู่ปิ่นจะไม่สนใจส่วนที่เหลือของราชวงศ์ หลินจินได้ยินข่าวลือว่าหลู่ปิ่นทุบโต๊ะในขณะที่เขาตำหนิจักรพรรดิแห่งอาณาจักรมังกรหยกอีกด้วย
นี่เป็นส่วนที่แปลก เหตุใดหลู่ปิ่นจึงไม่แยแสกับสมาชิกคนอื่น ๆ ของราชวงศ์ แต่กลับเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าเป็นเจ้านายของเขาแทน?
เรื่องนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลย
แม้ว่าหลินจินจะอยากรู้อยากเห็น แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะถามเรื่องนี้ ไว้เขาค่อยพบกับหญิงสาวคนนั้นก่อน แล้วค่อยตอบถามเพิ่มเติมในภายหลัง
สำหรับวิธีการรักษา หลินจินได้วางแผนไว้ทั้งหมดแล้ว เขาต้องยอมรับว่าคำสาปของเจ้าหญิงค่อนข้างรุนแรง
แม้ว่าพวกมันจะเป็นคำสาปวิญญาณสัตว์ป่า แต่คำสาปของตันหลินก็สามารถถูกทำลายได้อย่างง่ายดายด้วยการจี้จุดฝังเข็ม นอกจากนี้ยังสามารถลบออกได้โดยให้ผู้ป่วยกินเม็ดยาเมฆาเหนือวารี
มันเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
แต่เมื่อเทียบกับคำสาปวิญญาณสัตว์ป่าของตันหลินกับเจ้าหญิงองค์นั้น มันอยู่ในระดับที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แม้แต่วิธีการรักษาที่นำเสนอในพิพิธภัณฑ์สัตว์วิเศษ มันก็ค่อนข้างคลุมเครือ แต่การมีอยู่แสดงให้เห็นว่ามีวิธีที่จะทำลายมันได้ และนั่นเป็นรายละเอียดที่สำคัญเพียงอย่างเดียว
จากนั้น หลู่ปิ่นก็ออกไปทำธุระของเขา
เนื่องจากหลินจินไม่ใช่คนประเภทที่จะอยู่นิ่ง ๆ เขาจึงออกไปเดินเล่นข้างนอกเพื่อสำรวจบริเวณโดยรอบ
เมื่อขึ้นขี่หลังของเสี่ยวฮั่ว วานรยักษ์ขาวก็เหลือบมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัยเช่นกัน
เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน หลินจินได้ผนึกที่ตัวลิงขาวเพื่อช่วยรักษารูปแบบปัจจุบันของมันให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น
หลังจากจดจำที่ตั้งของโรงแรมแล้ว หลินจินก็เดินไปตามทางอย่างสบาย ๆ ขณะที่เขาชื่นชมเมืองที่พลุกพล่าน เสี่ยวฮั่วเดินตามหลังเขาพร้อมกับเจ้าลิงขาวมองไปทุกที่ด้วยความตื่นเต้น
ข้างหน้าเป็นสถานที่ขายภาพวาด
เมื่อมองเข้าไปในร้าน เราสามารถเห็นภาพวาดมากมายโดยศิลปินชื่อดังที่แขวนอยู่บนผนัง เมื่อมองแวบแรก ความสนใจของหลินจินถูกดึงดูดด้วยภาพวาดภูเขาและแม่น้ำ ชิ้นงานนั้นประณีตและงานพู่กันก็เต็มไปด้วยความขลัง รู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ในฉากของกรอบที่สวยงามนี้ หลินจินเข้ามาใกล้และสังเกตเห็นตราประทับของศิลปินที่เป็นของกู่เมียงจง
อันที่จริงมันเป็นงานของอาจารย์กู่
หลินจินจำได้ว่ากู่เมียงจงเป็นคนของเมืองมังกรหยกและเป็นนักประดิษฐ์ตัวอักษรที่มีชื่อเสียงที่นี่
นับตั้งแต่อาจารย์กู่ออกจากเมืองเมเปิ้ลและเดินทางไปกับอสูรน้ำหมึก หลินจินก็ไม่เคยพบเขาหลังจากนั้นอีกเลย แต่บางครั้งเขาก็จะได้ยินข่าวเกี่ยวกับปรมาจารย์ด้านการประดิษฐ์อักษรผู้นี้ได้กวัดแกว่งใบมีดเพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้ายอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์กู่ปรารถนาการผจญภัยที่กล้าหาญมาโดยตลอด แต่ไม่มีสัตว์เลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสมสำหรับท่องพเนจรทั่วแดนหล้า แต่ด้วยอสูรน้ำหมึกระดับสามที่สามารถแปลงร่างได้ตามต้องการ ความฝันของเขาจึงเป็นจริงในที่สุด
'ฉันสงสัยว่าอาจารย์กู่จะอยู่ในเมืองหลวงหรือไม่?' หลินจินสงสัย ถ้าหากกู่เมียงจงอยู่ที่นี่ เขาวางแผนที่จะไปเยี่ยมชายคนนั้น
ทันใดนั้น หลินจินรู้สึกถึงการเชื่อมต่อบางอย่างทางจิตและหันกลับมาเห็นใครบางคนกำลังคุยกับวานรยักษ์ขาวบนหลังของเสี่ยวฮั่ว
เมื่อเห็นหลินจินหันกลับมา ชายคนนั้นก็มองไปทางอื่นในทันใด
“สวัสดีขอรับ คุณชาย ข้าต้องขออภัยกับการกระทำอันไร้มารยาทของข้าด้วย” เขาทักทายหลินจิน
หลินจินมองดูอีกฝ่ายและพบว่าเขาเป็นชายร่างผอมแต่ดูภูมิฐาน ดวงตาของเขาเฉียบคม แม้ว่าเขาจะแต่งตัวเหมือนชาวบ้านทั่วไปก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ไม่มีร่องรอยของความมุ่งร้ายในสายตาของเขา แต่หลินจินสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังและเหยียมหยามแทน
นี่เป็นเรื่องแปลก
หลินจินมั่นใจว่าชายคนนั้นกำลังคุยกับเจ้าลิงขาวอยู่
วานรยักษ์ขาวไม่ใช่สัตว์วิเศษทั่วไปอีกต่อไป เนื่องจากไม่ได้ผูกมัดด้วยสัญญาโลหิต หลังจากฝึกฝนรูปแบบพลังงานอสูร วานรยักษ์ขาวจึงกลายเป็นอสุรกาย
หลินจินรู้เรื่องนี้ดี
ชายคนนี้กำลังพูดอย่างลับ ๆ กับเจ้าลิงขาว นั่นหมายความว่าเขาสังเกตเห็นบางอย่างหรือไม่?
หลินจินจึงเริ่มตรวจสอบชายคนนี้อย่างรอบคอบ
ชายคนนั้นพูดว่า “คุณชายขอรับ เจ้าลิงตัวนี้เป็นของท่านหรือเปล่าขอรับ?”
หลินจินพยักหน้า
ขณะเดียวกันเขามองดูโครงร่างของอีกฝ่าย หลินจินสังเกตเห็นว่ารูปร่างร่างกายของอีกฝ่ายดูผิดปกติและไม่เหมือนคนทั่วไป
มีออร่าจาง ๆ รอบตัวคนนี้และขนตามร่างกายของเขาค่อนข้างหนา แม้ว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติกับพฤติกรรมของเขา แต่หลินจินก็สามารถเห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวได้ภายใต้เสื้อคลุมของเขา
ในฐานะบุคคลที่มีประสบการณ์ แม้จะไม่มีเข็มลวดขด หลินจินก็สามารถพึ่งพาความสามารถในปัจจุบันของเขาและพบว่าชายตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์
ในขณะที่ออร่าจาง ๆ ของเขาสามารถหลอกลวงคนอื่น ๆ ได้ แต่ก็ไม่สามารถหลอกลวงหลินจินที่ใช้เวลาร่วมกับเหล่าอสุรกายได้
นี่คืออสุรกาย
และเป็นอสุรกายที่รู้จักการแปลงร่างอีกด้วย
หลินจินรู้สึกตกใจ เขาไม่คิดว่าเขาจะเจออสุรกายที่แปลงร่างกลางเมืองมังกรหยกตอนกลางวันแสก ๆ
นี่เป็นเรื่องที่นึกไม่ถึง
อีกฝ่ายต้องมีความมั่นใจในความสามารถในการแปลงร่างอย่างมาก เขาจึงกล้าออกมาข้างนอกในตอนกลางวันเช่นนี้
เมื่อเห็นหลินจินเงียบไปพักใหญ่ ชายตรงหน้าจึงกล่าวว่า “คุณชายขอรับ ข้าต้องการซื้อเจ้าลิงตัวนี้ ท่านสามารถตั้งราคาตามที่ท่านต้องการได้เลยขอรับ ไม่ว่าจะแพงแค่ไหน ข้าก็ยอมจะซื้อมัน”