วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0099
บทที่ 32 เมืองทะเล, ความฝันของโจรสลัด (3)
* * *
พวกเรากำลังอยู่ด้านนอกเมือง
ฉันเชื่อว่าบัลลังก์ที่ยักษ์หลับอยู่ คงเป็นตำแหน่งใจกลางเมือง
แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นแบบนั้น
กล่าวคือ ตำแหน่งปัจจุบันของพวกเรากับยักษ์อยู่ห่างกันมาก
แต่ถึงอย่างนั้น เหตุผลที่ยักษ์สะดุดตาเป็นพิเศษก็เพราะขนาดอันใหญ่โต
ยักษ์มอบบรรยากาศอันน่าสะพรึง แบบเดียวกับตอนที่ฉันได้เห็นร่างจริงคราเค่นเป็นครั้งแรก
ฉันจดจ่ออยู่กับลมหายใจตัวเองสักพัก
แม้จะเป็นใต้น้ำ แต่ยังคงหายใจได้ตามปรกติ
ก้นทะเลส่องแสงสีม่วงตลอดเวลา
“…”
รู้ตัวอีกที ฉันสัมผัสถึงแรงบีบที่นิ้วมือ
เป็นฝีมือลิลี่
เมื่อมองกลับไป ลิลี่กำลังยืนตัวสั่นในท่าก้มศีรษะเล็กน้อย ดูจากการขยับของหัวไหล่ เดาได้ไม่ยากว่าลมหายใจของเธอไม่ปกติ
คล้ายกับอาการชักอ่อนๆ จากความกังวลเฉียบพลัน
ฉันโน้มตัวลงและมองเข้าไปในตาลิลี่ เธอไม่ยอมปล่อยมือจากนิ้วจนถึงที่สุด
“ลิลี่”
ลิลี่เงยหน้าและพยายามจ้องฉัน
“หลับตาลง”
“อื้อ…”
“อย่าพยายามกลอกตา ปิดตาให้สนิทและเพ่งสมาธิอยู่กับสีดำ สูดลมหายใจยาวสามครั้ง ทำตามฉัน”
ลิลี่ทำตามที่ฉันบอกช้าๆ
“เธอยังมีฉัน ไม่ต้องกังวลอะไร… พยายามตระหนักถึงร่างกายตัวเองโดยเริ่มจากปลายมือและปลายเท้า ให้คิดว่ากำลังสำรวจร่างกายอย่างละเอียดทุกซอกมุม จากนั้นก็สูดลมหายใจยาว”
ลมหายใจลิลี่เริ่มสงบลง
“…ข้าขอโทษ”
“ดีขึ้นหรือยัง”
ลิลี่พยักหน้า แววตาคล้ายกับศักดิ์ศรีถูกระคายเคือง ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับวลี ‘ผู้นำทางจะต้องไม่เป็นภาระ’ ที่เธอชอบพูด
“ถ้าถามว่าฉันรู้วิธีสงบสติได้ยังไง… เพราะฉันเคยใช้มันบ่อย ยิ่งออกสำรวจมานานก็ยิ่งจำเป็น”
“เจ้าก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน?”
สีหน้าของเธอคล้ายกับไม่เชื่อ
“การสำรวจคือการสั่งสมความเครียด ไม่ว่าจะเพลิดเพลินสักแค่ไหนก็ตาม ถึงจะข่มใจเอาไว้ แต่ก็หลอกร่างกายตัวเองไม่ได้ จึงฉลาดกว่าที่จะเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาไว้ล่วงหน้า… มีแค่คนโง่เท่านั้นที่พุ่งชนกับทุกสิ่งโดยไม่คิดอะไร”
ในสถานการณ์ที่ความเครียดและความอ่อนเพลียสะสม หากเกิดความสับสนกะทันหัน ทุกคนสามารถเป็นแบบลิลี่ได้
ถึงพักหลังจะไม่ค่อยเกิดกับฉันแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีประสบการณ์
ดูเหมือนตอนนี้เธอจะสงบลงแล้ว
ลิลี่เคยพูดสินะว่าเกลียดน้ำ
“…ลิลี่”
“…”
“ลิลี่?”
“อ…อ๊ะ ข้าขอโทษ”
“เธอไม่ได้เกลียดน้ำ แต่กลัว?”
“ใครกลัว…!”
ถึงลิลี่จะพูดแบบนั้น แต่ทุกครั้งที่เห็นฟองอากาศลอยขึ้นจากปาก เธอเผลอหลุดคำว่า ‘เฮือก’ พร้อมกับรีบใช้มือปิดปาก
จากนั้นก็พยักหน้ารับ
“…อื้อ”
“เหมือนจริงๆ …”
“เหมือนอะไร?”
ฉันเคยคิดมาตลอดว่าลิลี่ชอบทำตัวเหมือนแมว แต่ครั้งนี้รู้สึกจะเหมือนเป็นพิเศษ
หรือแวมไพร์จะเป็นแบบนี้กันหมด?
สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนลิลี่จะกลับเป็นปกติแล้ว
คล้ายกับเพิ่งตระหนักว่ากำลังกำนิ้วของฉัน เธอรีบปล่อยมือทันที
“ไปกันเถอะ”
“อื้อ”
แหงนมองยักษ์ที่เด่นตระหง่านอยู่กลางเมือง
ด้วยความสัตย์จริง อีกฝ่ายไม่น่าจะตื่นเพราะเสียงของพวกเรา และเหนือสิ่งอื่นใด ฉันคิดว่าเธอน่าจะถูกผนึกไว้ด้วยพลังงานบางอย่าง
พวกเราเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
“เมืองนี้เก่าแก่แค่ไหน?”
พวกเราสามารถเดินและหายใจได้ตามปกติแม้จะอยู่ใต้น้ำ อาจมีแรงต้านจากน้ำบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ระดับที่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหว
คล้ายกับเมืองถูกสร้างเพื่อให้คนเดินไปเดินมาได้สะดวก
และสิ่งที่ฉันเคยคิดว่าเป็นหินใหญ่ตะไคร่เกาะ
แอ๊ด~
“ประตู”
ต้องเข้าไปใกล้ถึงจะรู้ว่าเป็นอาคารหลังคาเตี้ย
บนถนนเต็มไปด้วยช่องว่าง ไม่รู้ว่าจงใจสร้างหรือผุกร่อน ฟองอากาศถูกพ่นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเข้าไปใกล้จะรู้สึกถึงความร้อน ฉันต้องรีบขยับตัวหลบ
วี๊—!
วี๊—!
เสียงหวีดแหลมดังขึ้นข้างหู
“เสียงอะไร?”
“เสียงวาฬร้อง”
“เสียงร้อง? ปลาร้องได้ด้วยหรือ”
“เรียกว่าร้องเพลงอาจจะเหมาะกว่า”
ฉันแหงนหน้ามอง
วาฬยักษ์ที่ยาวกว่าสิบเมตร กำลังลอยตัวแนวตั้งโดยไม่ขยับเขยื้อน
ดูคล้ายอนุสรณ์หินสโตนเฮนจ์เมื่อพวกมันรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก
ในบรรดาฝูงวาฬ ส่วนล่างของยอดประภาคารที่พวกเราเดินลงมา สามารถพบเห็นได้จากด้านบน
เราคงถูกส่งจากตรงนั้น ลงมาจนถึงที่นี่
ถ้าอย่างนั้นขากลับก็ไม่ใช่ปัญหา
ที่นี่เปรียบดังสวรรค์ของปลาวาฬ
“แปลกมาก”
โบราณสถานที่พวกเราพบเจอจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะยังใช้การได้ตามปกติ เว้นแต่จะมีเรื่องราวพิเศษเหมือนกับเกาะท้องฟ้า
ทว่า เมืองนี้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง มีเพียงหินใหญ่ที่ถูกกัดกร่อน สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต
ฉันแหงนหน้ามอง แม้บัลลังก์ที่ยักษ์นั่งหลับจะถูกสลักจากหิน แต่ความเสียหายก็ร้ายแรงไม่ต่างกัน
ทว่า เดรสสีขาวที่เธอสวมยังคงสะอาดและสมบูรณ์
ยักษ์ไม่ลืมตาตื่นแม้พวกเราจะเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเมือง ยังกับตายไปแล้ว
แต่ดูจากอัญมณีสีแดงกลางหน้าผาก หัวใจสีแดงของยักษ์ยังคงส่องแสงเจือจาง หมายความว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
พวกเราเดินสำรวจไปรอบๆ อยู่พักใหญ่ เพราะฉันคิดว่าอาจจะได้พบเบาะแส
ทว่า ไม่มีใครพบอะไรเลย
「เจ้ามัวรออะไรอยู่? ลงมือเร็วเข้า! เริ่มปล้นได้แล้ว!!」
ดูเหมือนว่าตาแก่น่ารำคาญจะเริ่มหมดความอดทน
จนถึงจุดที่ฉันเกิดคำถาม
“กัปตัน ที่นี่มีอะไรให้ปล้น? แม้แต่อิฐสักก้อนก็ไม่มี”
「ข้าไม่รู้! รู้แต่ต้องปล้น! จับยักษ์นั่นมัดเชือกและพามาคุกเข่าต่อหน้าข้า!!」
เอาแต่ใจชะมัด
ต้องกลับไปมือเปล่าจริงหรือ?
การปลุกยักษ์ให้ตื่นคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ในสายตาอีกฝ่าย เราเป็นมดยังไม่ได้เลย
วี๊!
ลิลี่กับฉันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
รู้ตัวอีกที ฝูงวาฬตื่นขึ้นและว่ายมาอยู่เหนือศีรษะพวกเรา
“พวกมันดูรักสงบจัง”
“ด้วยขนาดตัวเท่านี้ ศัตรูตามธรรมชาติจึงมีไม่มาก”
ขณะตอบด้วยสามัญสำนึกของโลก ฉันฉุกคิดบางสิ่ง
ในต่างโลก วาฬไม่มีศัตรูตามธรรมชาติจริงหรือ
…คงไม่มั้ง
หลังจากนั้นพวกเราทดลองอีกหลายสิ่ง ในเมื่อที่นี่คือโบราณสถาน ฉันคิดว่าอาจมีกลไกสำหรับกระตุ้นการทำงาน จึงพยายามค้นหาห้องใต้ดิน หรือมองหาหอสมุดเก่าแก่เพื่อไล่อ่านเอกสารที่อาจเป็นเบาะแส
แต่ก็เปล่าประโยชน์ หนังสือทุกเล่มเปียกน้ำ และถึงจะพบกลไกกระตุ้น ก็คงยากที่เมืองนี้จะกลับมาทำงานได้
“สงสัยได้กลับไปมือเปล่า…”
วี๊—!
ระหว่างนั้น เสียงร้องของวาฬเริ่มถี่ขึ้น
ลิลี่แหงนหน้ามองอีกครั้ง ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ฉันคิดว่าเธอคงชอบวาฬเป็นพิเศษ
วี๊!
…แต่ถ้าลองนึกดูให้ดี ความถี่ไม่เพิ่มเร็วไปหน่อยหรือ?
ข้างบนมีวาฬมากขนาดนั้นเชียว?
ทันใดนั้น ฉันเริ่มเอะใจว่าลิลี่ที่แหงนหน้าขึ้นไปมอง ยังคงไม่ก้มกลับลงมา
ฉันจึงมองตาม
“…”
วาฬกลุ่มใหญ่กำลังว่ายอยู่เหนือศีรษะ มอบความรู้สึกประหนึ่งฝูงนกบินอพยพ
เนื่องจากแหล่งกำเนิดแสงที่นี่ไม่ใช่ท้องฟ้า แต่เป็นพื้นดิน ฝูงวาฬด้านบนจึงกำลังสะท้อนแสงสีม่วง
วี๊!
วี๊!
วี๊!
เสียงร้องของวาฬ — เสียงอัลตราโซนิกที่พวกมันใช้สื่อสารระหว่างกัน ไม่ได้ถูกเรียกว่า ‘เสียงเพลง’ เพื่อการเปรียบเปรย แต่เป็นเสียงร้องเพลงของพวกมันจริงๆ
และมีข้อเท็จจริงหนึ่งเรื่องที่ฉันตระหนักได้ตั้งแต่ก่อนจะลงมาจากประภาคาร นั่นคือผิวหนังของวาฬทุกตัวจะมีลวดลายส่องแสง
ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นเอกลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตละแวกนี้ เพราะแม้แต่ปลาบินหัวตะเกียงยังมีลวดลาย นับประสาอะไรกับวาฬ
ทว่า เมื่อมีวาฬมารวมตัวกันเป็นจำนวนมากในจุดเดียว นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“รูน…”
ลิลี่พูดขึ้นมาก่อน วาฬแต่ละตัวคือรูนหนึ่งรูปแบบ
จำนวนวาฬไม่ได้หนาแน่นถึงขนาดจะถมจนเต็มท้องฟ้า บริเวณใจกลางจึงค่อนข้างบางตา แถมยังพวกมันยังขยับตัวตลอดเวลา
ทว่า ลวดลายดังกล่าวคืออักษรรูนไม่ผิดแน่
รู้ตัวอีกที ฉันทยอยวาดอักษรรูนบนตัววาฬลงพื้นทราย พวกมันดูเหมือน ‘ข้อความ’ มากกว่าเวทมนตร์
“อ่านออกไหม”
ความกลัวในตัวลิลี่หายไปแล้ว
เอ็ดเวิร์ดเลิกสนใจการปล้น เอาแต่จดจ้องลวดลายที่ฉันวาดลงบนทราย
วาฬที่อาศัยอยู่ที่นี่ พวกมันคือสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่และน่าทึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นมิตรอย่างน่าประหลาด
ฉันอดเกิดคำถามไม่ได้
เป็นอีกครั้งที่ฉันพยายามทำความเข้าใจธรรมชาติของต่างโลก
และเริ่มเข้าใจว่า พวกมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของเมือง
กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่อย่างโศกเศร้ามาหลายชั่วอายุคน เหนือเมืองที่จมลงใต้ทะเลและถูกลืมเลือน
ฉันบรรจงอ่านข้อความที่ตัวเองเขียน
— ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่ง คนที่จดจำพวกเราได้จะแวะมาเยี่ยมเยียน
— เจตจำนงอันแรงกล้าที่ไม่มีวันถูกทำลาย ข้าได้เรียนรู้สิ่งนี้มาจากสหายมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง
— ข้าจึงไม่ยอมแพ้ และรอจนกว่าจะมีใครสักคนมาถึงที่นี่ เพื่อเอ่ยนามของข้า
— แม้ตัวข้าจะจมลงใต้ทะเลชั่วนิรันดร์ แต่ในสักวัน ‘ทองคำ’ จะต้องหวนกลับมา
— เพราะความเชื่อดังกล่าวคือแสงอันเร่าร้อนที่ข้ายินดีจะอุทิศตนให้
ฉันเงยหน้าขึ้น
ผู้ที่ทิ้งข้อความไว้ คือยักษ์ที่กำลังหลับใหลในท่ากอดวาฬ
วี๊!
วี๊!
วี๊! วี๊!
ถึงจุดที่ฉันตระหนักได้อีกครั้ง
วาฬกำลังร้องเพลงจริงๆ
และเพลงกำลังบรรยายถึง ‘สำเนียง’ ของอักษรรูน
ภาษารูนทั้งยากและซับซ้อนเพราะมีหลายสำเนียง
แต่ถ้าเป็นสำเนียงนี้ ฉันคิดว่าตัวเองพอจะเข้าใจความหมาย
นึกออกแล้วว่าเคยได้ยินจากที่ไหน
เป็นคำที่ฉันรู้จักดี เมื่อนานมาแล้ว มีชื่อหนึ่งล่องลอยอยู่ในความทรงจำของฉัน
เงยหน้าขึ้น
กิโฮเต้เคยกล่าวไว้ว่า
ชื่อของนิรันดร์ชนจะมีพลังในตัวเอง
ไม่แน่ใจว่ายักษ์คือนิรันดร์ชนหรือไม่ แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป
ฉันเปล่งเสียงแผ่วเบา
“ดีโอเน่ DIONE”
นามของยักษ์ตรงหน้า
ยักษ์ลืมตาขึ้นและก้มมองฉัน
พวกเราประสานสายตากันสักพัก
ฉันจำยักษ์ตนนี้ไม่ได้ อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะจำฉันไม่ได้เช่นกัน
「…ขอบใจที่กลับมาอีกครั้ง」
ทว่า บางครั้งอารมณ์ก็อยู่เหนือความทรงจำ
* * *
ดีโอเน่ บุตรีแห่งยักษ์ ‘แอตลาส’ จ้องมองทะเลที่เริ่มแยกออกจากกันด้วยดวงตาเศร้าหมอง
เมืองแห่งทะเลกำลังจมลง
ทะเลแยกออกจากกัน
น้ำทะเลทั้งหมดไหลลงใต้พื้นดิน
เทพผู้ร่วงหล่นจนกลายเป็นผืนพิภพ และปีศาจที่ถือกำเนิดในวินาทีที่พระองค์ร่วงหล่น
โคล์บ’ รานเดอจู รุกรานโลกกึ่งกลางสำเร็จ
ปีศาจไม่พลาดโอกาสที่ความรุ่งโรจน์ของทองคำกำลังเลือนหาย
การดิ้นรนของปีศาจส่งผลให้เปลือกโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป มนุษย์ปลาเกือบทั้งหมดที่คอยพิทักษ์เธอเสียชีวิตในพริบตา
เมืองแห่งนี้คือความหมายในการดำรงอยู่เดียวของเธอ แม้จะเกิดมาเป็นยักษ์ที่ไม่ต่างอะไรกับสัญลักษณ์ของความชั่ว แต่เธอสามารถก้าวข้ามความชั่วร้ายในจิตใจ และกลายมาเป็นผู้พิทักษ์เมือง
เมืองแห่งนี้จึงไม่ต่างอะไรกับวิญญาณของดีโอเน่
ทว่า เธอช่วยผู้คนในเมืองไว้ไม่ได้
แม้แต่ยักษ์นิรันดร์ชน ก็มิอาจเอาชนะปีศาจที่เกิดจากความตายของเทพ
ยักษ์ถึงกับหลั่งน้ำตา บางทีอาจเป็นการหลั่งน้ำตาครั้งแรกของเธอ
และสาบานว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้าย
มนุษย์ที่บังเอิญผ่านทางมา เอาชนะชาติกำเนิดของตนด้วยเจตจำนงอันทรหด
เขาสั่งสอนเธอว่า ความตั้งใจจริงจะช่วยให้คนเราเอาชนะขีดจำกัดของชาติกำเนิด แม้จะเป็นยักษ์ที่เกิดมาพร้อมความชั่วร้ายและอารมณ์รุนแรงก็ตาม
หากมีบางสิ่งที่ต้องการปกป้อง หากปรารถนามันอย่างแรงกล้า เธอจะเอาชนะได้แม้กระทั่งอุปสรรคที่ยากที่สุด
เขาแสดงให้เห็นด้วยการกระทำ
ดีโอเน่ต้องการปกป้องสิ่งใดจนถึงที่สุด?
แสงอันเร่าร้อนที่ดีโอเน่ยินยอมอุทิศตัวคืออะไร?
เมืองแห่งนี้
ดีโอเน่ยินดีที่จะหลับใหลใต้ทะเลลึกไปพร้อมกับเมือง
และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความเชื่อของตนจะถูกต้อง
ในอนาคตแสนไกล เจตจำนงของดีโอเน่ที่ไม่เคยดับสูญ ได้สร้างตำนานอันยิ่งใหญ่ที่สามารถนำทางผู้คน
และความโหยหาทะเลอย่างแรงกล้า คือสิ่งที่ให้กำเนิดคลื่นบนทะเลทราย
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (4/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel