MDB ตอนที่ 218 มุ่งสู่เมืองหลวง
พูดถึงเรื่องเดินทางไปยังเมืองมังกรหยก หลู่ปิ่นได้เร่งให้เขาเก็บของตั้งแต่เมื่อวาน แต่หลินจินยังไม่ได้เริ่มเก็บอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงลากต่อไปอีกสองวัน สาเหตุที่ทำเช่นนี้เป็นเพราะเขาต้องพาชางเอ๋อร์ไปรอบ ๆ ละแวกบ้านและพาเธอไปทำความคุ้นเคยกับคนในท้องถิ่น
เขายังได้เรียกจ้าวหยิง, หลู่เสี่ยวหยุนและคนที่เขารู้จักเพื่อแนะนำตัวเธอ
สำหรับตัวตนของชางเอ๋อร์ หลินจินต้องการแนะนำเธอในฐานะน้องสาวของเขา แต่มันคงจะเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะเชื่อเขา ท้ายที่สุด นายทะเบียนครอบครัวของเขาได้บันทึกไว้ว่าตัวเขาเป็นลูกคนเดียวและไม่เคยระบุถึงลูกสาวคนใดในตระกูลหลินเลย
ดังนั้น หลินจินจึงตัดสินใจเรียกชางเอ๋อร์ว่า 'น้องบุญธรรม' ของเขา เนื่องจากไม่มีใครสามารถตรวจสอบเรื่องนี้ได้อยู่ดี
แม้ว่าพวกเขาจะทำได้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
ในขณะนี้ ชื่อเสียงของหลินจินคงไม่ดีไปกว่านี้แล้วในเมืองเมเปิ้ล เขาถือเป็นบุคคลสำคัญของเมือง ตั้งแต่คฤหาสน์เจ้าเมืองไปจนถึงถนนใกล้เคียง ทุกคนที่นี่ล้วนแสดงความเคารพต่อหลินจินซึ่งเขาสมควรได้รับมัน ดังนั้นใครจะกล้าสงสัยในคำพูดของเขาและตรวจสอบภูมิหลังของเขา?
แม้จะมีใครสงสัย แต่ก็ไม่ควรสร้างความวุ่นวายมากนัก
อย่างไรก็ตาม เขายังมีตระกูลซื่อและตระกูลซูคอยสนับสนุนเขา
นี่คือเหตุผลที่หลินจินไม่กังวลเลย ก่อนที่เขาจะรู้ตัว สถานะของเขาในเมืองเมเปิ้ลก็ได้หยั่งรากลึกจนยากจะสั่นคลอนไปแล้ว
หลังจากล่าช้าไปอีกวัน หลู่ปิ่นตัดสินใจปักหลักรออยู่ที่นอกประตูบ้านของหลินจินในตอนเช้า หลินจินรู้ว่าเขาต้องไปกับหลู่ปิ่นวันนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ยิ่งกว่านั้น เขาได้ให้สัญญากับเหอฉิงไปแล้ว ดังนั้นการยกเลิกการเดินทางไปยังเมืองหลวง มันคงจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
ก่อนจากไป ความคิดผุดขึ้นในใจของหลินจินซึ่งกระตุ้นให้เขากลับเข้าไปในบ้านเพื่อหั่นถั่งเช่าแช่แข็งอายุกว่าร้อยปีออกครึ่งหนึ่ง
เขาเก็บอีกครึ่งหนึ่งไว้สำหรับเม็ดยาของเสี่ยวฮั่วและทิ้งอีกครึ่งหนึ่งไว้กับชางเอ๋อร์ เขาสั่งให้เธอหั่นชิ้นเล็ก ๆ ทุกวัน ๆ เพื่อเลี้ยงโกลดี้ เขายังคอยเตือนเธอไม่ให้ป้อนอาหารมากเกินไปในคราวเดียว
โกลดี้ไม่เหมือนกับสัตว์วิเศษตัวอื่น ๆ เจ้าไก่ปฏิเสธที่จะเรียนรู้รูปแบบพลังงานอสูร มันช่างดื้อรั้นอย่างแท้จริง
ดังนั้น ในระหว่างการเตรียมการกระบวนการวิวัฒนาการของมัน มันต้องเป็นอะไรที่เรียบง่าย แต่ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องถึงจะประสบความสำเร็จ
ต้องขอบคุณพรสวรรค์อันน่าทึ่งของโกลดี้และสายเลือดอีกาทองคำอันน่าตื่นเต้นของมัน ถ้ามันได้พบกับปาฏิหาริย์ วิวัฒนาการก็รับประกันว่าจะมาไม่ช้าก็เร็ว แต่นี่ก็เป็นส่วนที่ยากเช่นกัน โดยไม่มีใครคอยชี้แนะและหากโชคไม่ดี โกลดี้อาจเสียชีวิตในระหว่าง 'เหตุการณ์อัศจรรย์' นี้
เหมือนกับครั้งสุดท้ายที่เขากลืนหนอนเลือดมรกตเข้าไป หากหลินจินไม่ได้อยู่ที่นั่นทำปรุงยาให้มัน เพื่อละลายพลังงานหยางบริสุทธิ์ในร่างกายของเจ้าไก่ โกลดี้อาจจะยอมแพ้ต่อกระบวนการวิวัฒนาการไปแล้ว
ถั่งเช่าอายุนับศตวรรษนี้มีความสำคัญต่อวิวัฒนาการครั้งต่อไปของโกลด์ดี้ แน่นอนว่าเขาไม่ให้คิดหมดในคราวเดียว ถ้าเขาทำ แม้ว่าโกลดี้จะเป็นสัตว์วิเศษระดับสาม มันก็ต้องตายเพราะฤทธิ์ยาอย่างแน่นอน
แค่ครึ่งหนึ่งก็เกินพอแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ครึ่งนี้ไม่สามารถกลืนได้ทั้งหมดในคราวเดียว มันต้องค่อย ๆ กินเข้าไป ดังนั้นนี่คือเหตุผลหลินจินสั่งให้ชางเอ๋อร์ป้อนเจ้าไก่เป็นชิ้นเล็ก ๆ วันละครั้ง
สิ่งนี้น่าจะอยู่ได้ประมาณ 10 วัน และตามการคำนวณของหลินจิน เขาควรจะกลับมาที่เมืองเมเปิ้ลก่อนถึงเวลานั้น 10 วันน่าจะพอ เมื่อถึงเวลาที่หลินจินกลับมา เขาควรจะสามารถช่วยโกลดี้วิวัฒนาการได้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลานั้น เขาจะมีสัตว์วิเศษระดับสี่อีกตัวในทีมของเขาอีก
มันจะยอดเยี่ยมมากแค่ไหน!
“ข้าจะออกเดินทางไปหลายวัน อย่าพยายามออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น หากเจ้าต้องการอะไร เจ้าสามารถขอความช่วยเหลือจากจ้าวหยิงและหลู่เสี่ยวหยุนได้” หลินจินกล่าวกับชางเอ๋อร์
เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เธออาศัยอยู่ในเมือง ชางเอ๋อร์จึงเชื่อฟังอย่างว่าง่าย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับหลินจิน
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นข้าไปก่อนนะ”
หลินจินก้าวออกไปพร้อมกับเสี่ยวฮั่วที่ตามหลังเขา ส่วนวานรยักษ์ขาว ขนของเจ้าลิงถูกย้อมเป็นสีดำโดยคาถาลับ ดังนั้นมันจึงดูเหมือนลิงทั่วไปที่ขี่หลังเสี่ยวฮั่ว
ทางด้านหลู่ปิ่นที่รออยู่ด้านนอกประตู เมื่อเขาเห็นเจ้าลิงน้อย มันก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันใด
หลู่ปิ่นรู้เรื่องหมาป่าอัคคี แต่เจ้าลิงดำตัวนี้คืออะไร?
และนั่นไม่ใช่ความกังวลที่ใหญ่ที่สุดของเขา
สัตว์เลี้ยงของหลินจินคือระดับสี่ ดังนั้นสัตว์วิเศษระดับสี่ที่มีอำนาจสูงสุดจะยอมให้สัตว์วิเศษตัวอื่นที่ขี่อยู่บนหลังของมันได้อย่างไร?
แต่เสี่ยวฮั่วดูเหมือนจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
แม้จะประหลาดใจ แต่หลู่ปิ่นรู้สึกว่าไม่สมควรที่จะสอบสวนเรื่องนี้ คำอธิบายเดียวของเขาก็คือหลินจินเป็นปรมาจารย์ด้านการฝึกฝนสัตว์อย่างแท้จริง
ขณะที่พวกเขากำลังจะออกเดินทาง หลู่ปิ่นสังเกตเห็นชางเอ๋อร์ซึ่งเธอเดินออกมาส่งพวกเขา
ในวัยของเขา แม้แต่หลู่ปิ่นก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงกับความงามของเธอ
เขาเคยเห็นหญิงสาวสวยมานับไม่ถ้วนในชีวิตของเขา แต่เมื่อเทียบกับหญิงสาวคนนี้ พวกเธอดูอ่อนด้อยไปในพริบตา ด้วยรูปลักษณ์ที่สามารถทำลายเมืองได้และทำให้โลกต้องเกรงขาม ผู้หญิงคนนี้ในบ้านของหลินจิน น่าจะเป็นคนที่สวยที่สุดที่เขาเคยเห็น
เหล่าหญิงสาวในเมืองหลวงก็ไม่อาจเทียบเคียงกับเธอได้
จากนั้น หลู่ปิ่นได้ส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้กับหลินจินทันที
หลินจินกำลังจะแนะนำให้พวกเขารู้จัก แต่หยุดชั่วคราวเมื่อเห็นรอยยิ้มแปลก ๆ บนใบหน้าของหลู่ปิ่น ทำให้เขาสับสนเล็กน้อย
"ท่านหลู่ นี่คือน้องสาวบุญธรรมของข้า” แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหลู่ปิ่นกำลังยิ้มให้กับอะไร แต่หลินจินก็แนะนำชางเอ๋อร์ให้หลู่ปิ่นรู้จัก
‘น้องสาวบุญธรรม?’
‘ใช่แล้ว ผู้ประเมินหลินจะต้องรู้สึกอึดอัดใจมากที่จะอธิบายว่าเขาดูแลคนรักอยู่ที่บ้าน’
ในฐานะผู้ชายที่มากประสบการณ์ หลู่ปิ่นเข้าใจสิ่งที่หลินจินกำลังเผชิญอยู่ ดังนั้นเขาจึงเพียงพยักหน้าให้ผู้หญิงของเขาและกล่าว 'ทักทาย' โดยไม่ถามคำถามที่ไม่จำเป็น
“ผู้ประเมินหลิน เรามาเริ่มการเดินทางกันเลยดีมั้ย?” หลู่ปิ่นถามตรง ๆ เขาอยู่ที่เมืองเมเปิ้ลมานานแล้ว หากเป็นคนอื่นไม่ใช่หลินจิน หลู่ปิ่นคงจะลักพาตัวพวกเขากลับไปที่เมืองหลวงไปแล้ว
แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้ว ถ้าหากเขาทำมัน นอกเหนือจากเรื่องความชอบธรรมที่จะไม่มีแล้ว เขาก็ไม่แน่ใจว่า เขาจะทำสำเร็จหรือไม่?
ท้ายที่สุดแล้ว สัตว์วิเศษของคนหลังคือระดับสี่
เนื่องจากหลินจินเตรียมการเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาต้องออกเดินทาง
พวกเขาตามหลู่ปิ่นไปยังพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ ชางเอ๋อร์และเสี่ยวอู่ตามพวกเขาไป พวกเธอไม่เต็มใจที่จะเห็นอาจารย์จากพวกเขาไป
เมื่อพวกเขาไปถึงที่นั่น หลู่ปิ่นใช้วิชาลับเพื่อเรียกอินทรีขนาดใหญ่สองตัว
เมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นนกอินทรีแบบนี้ถูกใช้ในการขนส่ง หลินจินก็อิจฉา เขาวางแผนที่จะถามว่าเขาจะได้รับหนึ่งในสิ่งเหล่านี้ในภายหลังเพื่อที่เขาจะได้ลดเวลาเดินทางและดูเท่ในขณะเดียวกัน
หลู่ปิ่นกระโดดขึ้นไปบนหลังนกอินทรีตัวหนึ่งและหลินจินเลียนแบบเขา เซียวฮั่วและวานรยักษ์ขาวก็กระโดดขึ้นไปด้วย แต่เห็นได้ชัดว่าน้ำหนักของพวกมันทำให้นกอินทรีของพวกเขาเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก
หลินจินมองไปที่หลู่ปิ่นอย่างเขินอาย คนหลังถอนหายใจและพูดว่า “ไม่เป็นไร พี่หยู่โจวก็อยากเจอท่านเหมือนกันและเขาก็มีนกอินทรีด้วย เราสามารถยืมของเขาได้”
‘เฒ่าเย่ต้องการจะพบฉัน?’
หลินจินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและแน่ใจว่ามีนกอินทรีบินวนอยู่ด้านบน
เมื่อนกอินทรีสองตัวขึ้นไปข้างบน หลินจินก็โบกมือให้ชางเอ๋อร์และเสี่ยวอู่ด้านล่าง เมื่อลมพัดเข้าหู พวกมันก็สูงขึ้นไปในทันทีที่สูงกว่าพันฟุต บ้านด้านล่างตอนนี้ดูเหมือนของเล่น ในขณะที่มนุษย์ดูเหมือนมด
แน่นอนว่า เย่หยู่โจวกำลังรอนกอินทรีอีกตัวอยู่ด้านบน เมื่อเห็นหลินจิน เขาก็เข้ามาใกล้และทักทาย “ผู้ประเมินหลิน ขอให้โชคดีสำหรับการเดินทางไปยังเมืองมังกรหยก”
หลินจินรู้ว่าเย่หยู่โจวมีมารยาทกับเขาเป็นพิเศษเพราะเขาเข้าใจผิดว่าหลินจินเป็นศิษย์ของภัณฑารักษ์
และดูเหมือนว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเพื่อทำอะไรบางอย่าง
หลินจินไม่ได้คิดมากเรื่องสาวกของภัณฑารักษ์ในตอนแรก มันเป็นเพราะความเข้าใจผิดของเย่หยู่โจวที่เขาเล่นด้วยกัน แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าความเข้าใจผิดนี้จะทำให้เขาได้รับความสะดวกสบาย อย่างน้อย ๆ บุคคลผู้เกรียงไกรอย่างเย่หยู่โจวก็ยังยอมฟังเขา ดังนั้น หลินจินจึงคิดว่าถ้าเขาขอความช่วยเหลือจากเย่หยู่โจว อีกฝ่ายก็จะไม่ปฏิเสธเขาเช่นกัน
หลู่ปิ่นเป็นคนตรงไปตรงมา ดังนั้นเขาจึงขอยืมนกอินทรีของเย่หยู่โจว สิ่งนี้ทำให้คนหลังตกตะลึง
เขาได้วางแผนที่จะตรงไปยังเมืองมังกรหยกในอีกสองสามวันเพื่อดูว่าสาวกของภัณฑารักษ์จะช่วยผู้ป่วยของเขาได้อย่างไร ถ้าเขาให้ยืมอินทรีของเขา เขาจะไม่ต้องเดินเท้างั้นหรือ?
แต่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้อย่างตรงไปตรงมา
เย่หยู่โจวจึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย โดยเขาตั้งใจว่าจะไปขอยืมนกอินทรีอีกตัวจากไป่เจิ้นคง
แม้ว่าพวกเขาจะมีความขัดแย้งเล็กน้อยมาก่อน แต่เย่หยู่โจวยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งของเมืองเมเปิ้ลและเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ของราชวงศ์
แม้ว่าไป่เจิ้นคงจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังต้องให้เย่หยู่โจวยืมนกอินทรีของเขา
หลังจากกล่าวคำอำลาเย่หยู่โจวแล้ว หลินจินก็ขี่นกอินทรีตัวหนึ่งในขณะที่เสี่ยวฮั่วและวานรยักษ์ขาวขี่อีกตัวหนึ่งโดยมีหลู่ปิ่นเป็นผู้นำ ดังนั้น นกอินทรีสามตัวจึงกระพือปีกและทะยานข้ามท้องฟ้าอันสดใส มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองมังกรหยก