ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 9 ถ่ายทอดฐานการบ่มเพาะ
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 9 ถ่ายทอดฐานการบ่มเพาะ
“การประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขา น่าสนใจยิ่ง! คราวนี้ข้าจะทำให้ทุกคนประหลาดใจ” มุมปากของเย่ชิวขดตัวเป็นรอยยิ้มที่ดูมั่นใจขณะที่เขายืนอยู่บนหน้าผา
หลินชิงจู้งุนงงเมื่อเห็นร่างสีขาวซึ่งเต็มไปด้วยเสน่ห์เซียน มีชายที่หล่อเหลาเช่นนี้อยู่ในโลกและชายคนนั้นยังเป็นอาจารย์ของนาง สิ่งน้ทำให้หัวใจของนางเต็มไปด้วยปีติ ทันใดนั้นความคิดที่บ้าคลั่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของนาง? จะเกิดอะไรขึ้นหากนางสามารถเอาชนะใจอาจารย์ของนางได้?
เย่ชิวหันหลังกลับและเห็นหลินชิงจู่จ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า สีหน้าของนางดูราวกับสตรีโง่ ๆ เขาตกใจและถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ศิษย์ข้า มีอะไรผิดปกติหรือไม่? เจ้ารู้สึกไม่สบายงั้นหรือ”
หลินชิงจู้กลับมารู้สึกตัวทันที เมื่อนางนึกถึงความคิดที่บ้าคลั่งเมื่อครู่ ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดง “ไม่มี ไม่มีเลยอะไรท่านอาจารย์ ที่นี่ลมแรงยิ่ง กลับกันเถอะ” หลินชิงจู้กล่าว
“เอาล่ะ กลับกันเถอะ เราจะหาสถานที่ที่จะตรวจสอบว่าเจ้าได้ละเลยหน้าที่ของเจ้าหรือไม่”
เย่ชิวไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติ เขาออกจากหน้าผาและเดินไปยังห้องฝึกซ้อมหลินชิงจู้เดินตามหลังอย่างใกล้ชิดและทั้งสองคนก็กลับไปยังห้องฝึกซ้อมอย่างรวดเร็ว
หลังจากกลับไปยังที่นั่งของเขาหลินชิงจู้ก็ยืนอย่างประหม่าอยู่กลางห้องฝึกซ้อมรอให้เย่ชิวตรวจสอบนาง นางไม่รู้ว่าความก้าวหน้าของนางในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาจะทําให้อาจารย์ของนางพึงพอใจหรือไม่
“ยื่นมือของเจ้าออกมา...”
หลินชิงจู้เดินมาด้วยความประหม่า เมื่อนางเห็นเย่ชิววางมือของเขาเบา ๆ มือของนาง ร่างกายของนางก็มึนงงราวกับว่าถูกไฟฟ้าดูด
เย่ชิวไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของนาง หลังจากตรวจสอบความคืบหน้าการบ่มเพาะของนางแล้วเขาก็ขมวดคิ้ว
“ขอบเขตฝึกปราณขั้น 4?” จู่ ๆ นางก็ไปถึงขอบเขตฝึกปราณขั้น 4 ในสี่วันได้อย่างไร? นี่อาจเป็นผลของเม็ดยาไขกระดูกศักดิ์สิทธิ์ ท้ายที่สุดเม็ดยาไขกระดูกศักดิ์สิทธิ์ได้เปลี่ยนร่างกายของนางและผลของเม็ดยาก็ยังไม่ได้รับการดูดซึมอย่างสมบูรณ์
มันก็เหมือนกับเม็ดยาไขกระดูกเซียนที่เย่ชิวได้กินลงไป เขาใช้เวลาสี่วันในการซึมซับมันด้วยพลังทั้งหมดของเขาและในที่สุดเขาก็ทะลวงไปยังขอบเขตอนันตะมรรคขั้นที่ 4 แม้ว่าเขาจะอยู่เพียงขั้นที่ 4 แต่พลังของเขาก็บริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง แม้จะอยู่ขั้นที่ 4 แต่พลังของเขาก็เปรียบได้กับขั้นที่ 9 หรือแม้แต่ขอบเขตชีวาเร้นลับขั้นที่ 1 นอกจากนี้เขายังแอบแฝงไปด้วยกลิ่นอายที่ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง พลังวิญญาณได้ผสมผสามกับพลังเซียนนั้นต่างทำให้ผู้คนสับสน
นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดเย่ชิวจึงกล้าปะทะกับฉีอู๋ฮุ่ยก่อนหน้านี้ เป็นเพราะว่าฉีอู๋ฮุ่ยไม่สามารถระบุได้ว่าเขาอยู่ในขอบเขตใด
“ท่านอาจารย์ พรสวรรค์ของข้าต่ำเตี้ยเกินไป ข้าอยู่ในขอบเขตฝึกปราณขั้น 4 เท่านั้น” หลินชิงจู้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยหลังจากเห็นว่าการแสดงออกของเย่ชิวไม่ได้เปลี่ยนแปลงนัก นางคิดว่าตนไม่ได้ไปถึงระดับที่เย่ชิวคาดหวัง นางรู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่ง
ใครจะรู้ว่าเย่ชิวจะกลอกตาใส่นางทันที “เจ้าทะลวงผ่านไปยังขอบเขตฝึกปราณขั้นที่ 4 ในสี่วัน? เจ้ายังต้องการอะไรอีกหรือ? เจ้าสามารถพูดเช่นนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าได้เท่านั้น อย่าพูดเช่นนั้นเมื่อเจ้าออกไปข้างนอกเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องถูกผู้คนรุมตีตายอย่างแน่นอน”
ช่างน่าโมโหเกินไป ลูกศิษย์ที่มีกระดูกศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดในขุนเขากระบี่เร้นลับยังไม่สามารถบรรลุขอบเขตฝึกปราณขั้นที่ 1 ด้วยซ้ำ นางอยู่ในขั้นที่ 4 แล้ว แต่กลับยังไม่พอใจและยังบอกว่าพรสวรรค์ของตนไม่ดีอีกด้วย
‘สตรีนางนี้กำลังหมายถึงอะไรกัน พรสวรรค์ย่ำแย่? ถ้าข้าหากมีความเร็วในการบ่มเพาะเช่นนี้ ในตอนนั้นข้าจะต้องอับอายขายขี้หน้ามาถึงตอนนี้หรือ?’
“อา...”หลินชิงจู้ตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของเย่ชิว
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นการแสดงออกของเย่ชิวเป็นเช่นนี้ นางรู้สึกราวกับได้ค้นพบสิ่งใหม่
งท่านอาจารย์ไม่ได้ผิดหวัง’ หลินชิงจู้แอบดีใจ นางคิดว่าอาจารย์ของนางผิดหวังมากกับพัฒนาการของตน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงออกนัก ท้ายที่สุดนางก็โล่งใจ
“อืม ขอบเขตฝึกปราณขั้นที่ 4... หากนางต้องการไปถึงขอบเขตนิ้วทมิฬ นางจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามเดือน ข้ากลัวว่าข้าจะไม่มีเวลาเพียงพอ”
จู่ ๆ เย่ชิวก็คิดอะไรบางอย่างได้ ‘ใช่แล้ว! ข้าสามารถถ่ายโอนฐานการบ่มเพาะของข้าได้ ข้าลืมเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?’
เย่ชิวนึกขึ้นได้ทันที เขามีระบบตอบแทนหมื่นเท่าที่ไม่เหมือนคนอื่น คนอื่นนั้นไม่กล้าส่งมอบฐานการบ่มเพาะอย่างสิ้นคิดได้ เพราะพวกเขากลัวว่าฐานการบ่มเพาะของพวกเขาจะพังทลาย
“ท่านอาจารย์ มีอะไรผิดปกติหรือไม่?” หลินชิงจู้กล่าวถามอย่างสงสัยหลังจากที่เห็นเย่ชิวนิ่งเงียบ
เย่ชิวตอบสนองอย่างรวดเร็วและเปิดเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมาทันที เขาจ้องมองไปยังหลินชิงจู้อย่างละเอียดและตรวจสอบนาง
หัวใจของหลินชิงจู้สั่นไหวและร่างกายของนางก็เริ่มตึงเครียดขึ้น
‘รอยยิ้มเช่นนี้? ท่านอาจารย์สนใจตัวข้าใช่หรือไม่ ข้าควรทำอย่างไรดี? หากท่านอาจารย์ต้องการข้าก็ควรมอบให้ใช่หรือไม่? หากข้ามอบให้เช่นนี้ เขาจะคิดว่าข้าใจง่ายเกินไปหรือไม่? เดี๋ยวก่อน ไม่สิ ท่านอาจารย์เป็นคนที่ดีกับข้ามาก และเขาก็หล่อเหล่ายิ่ง ข้าจะทนปฏิเสธเขาได้อย่างไรกัน’
ในวินาทีสั้น ๆ ความคิดนับไม่ถ้วนก็ได้ปรากฏขึ้นในใจของหลินชิงจู้
เมื่อเย่ชิวเห็นว่านางฟุ้งซ่าน มุมปากของเขาก็กระตุก เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสตรีหน้าโง่คนนี้กําลังคิดอะไรอยู่
“ศิษย์ข้า! ข้าคิดอะไรบางอย่างได้ เจ้ามีศักดิ์ศรีของขุนเขาเมฆาม่วงอยู่บนบ่าของเจ้า เจ้าจะต้องชนะการประลองยุทธ์ครั้งนี้ อย่างไรก็ตามสามเดือนเป็นเวลาสั้นเกินไป ด้วยความคืบหน้าในปัจจุบันของเจ้าข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ทันเวลา หลังจากที่ข้าพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ข้าก็ตัดสินใจมอบฐานการบ่มเพาะของข้าให้เจ้า...”
“ฮะ? นี่...” เมื่อได้ยินเช่นนี้หลินชิงจู้ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางคาดหวังบางอย่างแต่กลับไร้ผล เป็นนางที่คิดมากไปเอง
มุมปากของเย่ชิวกระตุกและเขาก็พูดไม่ออกหลังจากเห็นสีหน้าผิดหวังของนาง? ‘การแสดงออกเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน? ข้ากําลังมอบฐานการบ่มเพาะของข้าให้กับเจ้า แต่เจ้ากลับไม่มีความสุข? ไม่รู้หรือว่านี่คือสิ่งที่หลายคนปรารถนา’
หลังจากนั้นไม่นานหลินชิงจู้ก็รู้สึกตัวขึ้นทันที “เดี๋ยวก่อนท่านอาจารย์ ท่านบอกว่าท่านจะให้ฐานการบ่มเพาะแก่ข้าหรือ”
นางกําลังขบคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างในตอนนั้นและไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่นางได้ยิน เมื่อคิดได้นางก็รีบถามออกไปทันที เย่ชิวกําลังจะมอบฐานการบ่มเพาะของเขาให้นาง? นางไม่อยากเชื่อ ต้องรู้ว่าผู้ฝึกตนให้ความสำคัญกับฐานการบ่มเพาะมากกว่าชีวิตของพวกเขาเสียอีก ถ้าไม่ใช่ผู้ที่สนิทชิดเชื้อมากที่สุดก็คงไม่มอบให้กันง่าย ๆ เหมือนการถ่ายทอดเคล็ดวิชา
หลินชิงจู้ไม่คิดเลยว่าเย่ชิวจะมอบฐานการบ่มเพาะของเขาให้กับนาง นี่ไม่ได้หมายความว่าในใจของเย่ชิว นางเป็นคนใกล้ชิดกับเขามากที่สุดหรอกหรือ? เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หลินชิงจู้ก็รู้สึกอิ่มเอมใจและตื่นเต้นอย่างยิ่ง ‘ข้าไม่ได้คาดหวังเลยว่าท่านอาจารย์จะให้ความสนใจข้ามากขนาดนี้ ข้ารู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก แต่เขายังคงบอกว่ามันเป็นเพราะศักดิ์ศรีของขุนเขาเมฆาม่วง แต่มันเป็นเพียงข้อแก้ตัว ศักดิ์ศรีเพียงอย่างเดียวจะเทียบได้กับฐานการบ่มเพาะของเขาได้อย่างไรกัน?’
“ใช่แล้ว!” เย่ชิวพูดอย่างไม่แยแสว่า “หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้ว การมอบฐานการบ่มเพาะจะช่วยให้เจ้าเติบโตได้ในเวลาอันสั้นที่สุด การประลองยุทธ์ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของขุนเขาเมฆาม่วง ข้าไม่ต้องการให้เจ้าพ่ายแพ้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
หลินชิงจู้พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม นางรู้ดีแก่ใจว่านี่ไม่ใช่เพราะศักดิ์ศรีของขุนเขาเมฆาม่วง เขากังวลอย่างชัดเจนว่านางจะได้รับบาดเจ็บในการประลองยุทธ์ ดังนั้นเขาจึงมอบฐานการบ่มเพาะของเขา เขาเป็นคนที่ดื้อรั้น แต่กลับมีจิตใจที่อ่อนโยนอย่างแท้จริง? ‘เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นห่วงข้า แต่เขายังคงบอกว่ามันเป็นของขุนเขาเมฆาม่วง’
“เอาล่ะ! มานั่งลงต่อหน้าข้า เข้าสู่สภาวะการทําสมาธิของเจ้า”
“เจ้าค่ะ...”หลินชิงจู้เดินไปอย่างเชื่อฟังโดยไม่ลังเล
ทันทีที่นางเข้ามาใกล้ เย่ชิวก็รู้สึกถึงบรรยากาศเยือกเย็นที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของนางพร้อมกลิ่นหอมจาง ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก ๆ และชื่นชมอยู่ภายในใจ ‘แม้ว่าสตรีคนนี้จะยังเด็ก แต่นางก็ผอมเพรียวและสง่างามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นางมุมโค้งที่ควรมี เฮ้อ ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าตัวเอกหน้าคนไหนกันที่จะได้ครอบครองนาง’