ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 7 ศิษย์ของข้าไม่ใช่ศิษย์ของท่าน
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 7 ศิษย์ของข้าไม่ใช่ศิษย์ของท่าน
เมื่อเผชิญกับคําถามของเย่ชิว ฉีอู๋ฮุ่ยก็รู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว “ศิษย์น้องเย่ ศิษย์ของเจ้านั้นหยิ่งผยองและไม่ให้ความเคารพผู้อาวุโส หากเจ้าไม่ได้สั่งสอนอย่างถูกต้องนางจะนำภัยพิบัติใหญ่หลวงมาสู่เจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน ข้าเห็นว่าเจ้ากำลังปิดด่านและไม่มีเวลาติเตือนลูกศิษย์ของตน ข้าจึงต้องการสั่งสอนด้วยเจตนาที่ดี โปรดอย่าเข้าใจผิด”
“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ...” เย่ชิวยิ้มและพูดว่า “ศิษย์คนนี้เป็นศิษย์ของข้า แม้ว่านางจะกระทำผิด ก็เป็นเรื่องของขุนเขาเมฆาม่วงของข้า ข้าก็จะลงโทษนางเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับศิษย์พี่แถวนี้”
“ผู้คนในขุนเขาเมฆาม่วงก็ยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน”
ทันทีที่เขาพูดจบกลิ่นอายอันทรงพลังก็ได้แผ่กระจายออกไปทันที
ใบหน้าของคนทั้งสามเปลี่ยนไปทันที
“นี่...”
“ท่านอาจารย์ทรงพลังมากขนาดนี้เลยหรือ?” หลินชิงจู้ตกใจมาก ในตอนแรกนางครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าอาจารย์ของนางอาจไร้น้ำยาอย่างที่ข่าวลือพูดและมีระดับการบ่มเพาะอยู่เพียงขอบเขตนิ้วทมิฬขั้น 2 เท่านั้น
ตอนนี้นางตกใจมากเมื่อรู้สึกถึงกลิ่นอายที่น่ากลัวนี้ สิ่งที่ทำให้นางทราบซึ้งมากขึ้นไปอีกคือเย่ชิวกำลังแตกหักกับฉีอู๋ฮุ่ยเพียงเพื่อปกป้องนาง ต้องเข้าใจก่อนว่าอีกฝ่ายเป็นบุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในสำนักเยียวยาสวรรค์รองมาจากเมิ่งเทียนเจิ้ง
“ท่านอาจารย์!” หลินชิงจู้รู้สึกซาบซึ้งอย่างมากเมื่อนางมองไปยังร่างสีขาว นางคิดว่าหลังจากที่ครอบครัวของนางพบเจอกับความพินาศคงไม่มีใครในโลกนี้ที่จะปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ นางไม่เคยคิดเลยว่าตนจะได้พบกับอาจารย์ที่เต็มใจปกป้องตนและรักษาความยุติธรรมให้กับตนเช่นนี้
หลินชิงจู้อ้าปากค้างและต้องการเกลี้ยกล่อมเย่ชิว ความคับข้องใจที่นางได้รับนั้นไม่สมควรพูดถึงอีกต่อไป เย่ชิวไม่จําเป็นต้องทําให้ฉีอู๋ฮุ่ยขุ่นเคือง แต่เมื่อนางอ้าปากนางก็ไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้
ในขณะเดียวกันในเวลานี้ เมิ่งเทียนเจิ้งดูตกใจกว่าเดิมทันทีขณะที่เย่ชิวปลดปล่อยกลิ่นอายของเขาออกมา “กลิ่นอายนี้! กลิ่นอายที่แอบแฝงไปด้วยร่องรอยของพลังเซียน ขอบเขตการบ่มเพาะในปัจจุบันของเขาคือขอบเขตใดกัน? ข้าไม่อยากจะเชื่อ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่ข่าวลือบอก แต่เขากลับอดทนต่อความอัปยศอดสูนานถึงสิบปีและไม่เคยโต้ตอบแม้แต่น้อย บุคคลที่มีนิสัยเช่นนี้ช่างน่ากลัวเกินไป หากไม่ใช่เพราะลูกศิษย์ ไม่ใช่ว่าเขาจะปิดบังตนเองต่อไปหรอกหรือ’
เมิ่งเทียนเจิ้งไม่ได้พูดอะไรเพื่อหยุดทั้งคู่
นี่คือความขัดแย้งระหว่างขุนเขากระบี่เร้นลับและขุนเขาเมฆาม่วงที่สะสมมาหลายชั่วอายุคน ในฐานะเจ้าสำนักเขาต้องรักษาความเป็นกลางและไม่สามารถเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้
สําหรับฉีอู๋ฮุ่ย ใบหน้าของเขาดูหม่นหมองและไร้อารมณ์เมื่อมองไปยังเย่ชิว
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ความแข็งแกร่งของเย่ชิวไม่ได้เป็นอย่างที่ลือกัน ว่าอยู่เพียงขอบเขตนิ้วทมิฬขั้น 2 จากกลิ่นอายที่เขาปล่อยในขณะออกมาตอนนี้ ความแข็งแกร่งของเขาอย่างน้อยก็อยู่เหนือขอบเขตอนันตะมรรคา อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหวาดกลัวเย่ชิว
“ศิษย์น้องเย่! ลูกศิษย์ของเจ้าไม่เคารพผู้อาวุโสและไม่เคารพกฎของสำนัก ในฐานะผู้อาวุโสทางวินัยข้าจะไม่สามารถสอดมือยุ่งเกี่ยวไม่ได้หรือ” ฉีอู๋ฮุ่ยปล่อยเสียงเย็นชาออกมา กลิ่นอายบนร่างกายของเขาค่อย ๆ ระเบิดออกมาเพื่อตอบโต้พลังที่เย่ชิวกําลังเปล่งออกมา
“ฮ่าฮ่า กฎของสำนัก?” เย่ชิวกระจายกลิ่นอายของเขาและเดินไปยังขอบหน้าผาอย่างสบาย ๆ เขามองไปในทิศทางของขุนเขากระบี่เร้นลับ “ตั้งแต่ตอนที่ศิษย์พี่ฉีกล่าวถึงกฎของสำนักกับข้า เช่นนั้นเรามาพูดถึงเรื่องนี้กันเถอะ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน” สีหน้าของฉีอู๋ฮุ่ยมืดมน เขาไม่รู้ว่าเย่ชิวมีเป้าหมายอะไรอยู่
“ศิษย์พี่ฉี ในฐานะผู้อาวุโสทางวินัยท่านต้องคุ้นเคยกับกฎของสำนัก ข้าสงสัยว่าตามกฎของสำนักของแล้วเราจะทำการลงโทษศิษย์ที่รังแกปุถุชนและสังหารสามัญชนผู้บริสุทธิ์ได้อย่างไร”
ฉีอู๋ฮุ่ยไม่ได้คิดนานนักและตอบว่า “ตามกฎแล้วพวกเขาจะต้องถูกทำลายฐานการบ่มเพาะและถูกขับไล่ออกจากสำนัก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้มุมปากของเย่ชิวก็โค้งขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
ทันใดนั้น ฉีอู๋ฮุ่ยก็รู้สึกถึงลางร้ายหลังจากเห็นเช่นนั้น
เย่ชิวยิ้มเบา ๆ และกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ฉีจะรู้กฎของสำนักเป็นอย่างดี หากข้าจำไม่ผิด ขุนเขากระบี่เร้นลับของท่านมีลูกศิษย์ที่อาศัยความแข็งแกร่งของตนรังแกสามัญชนและแย่งชิงสตรีจากเชิงเขาและเสพสมกับสตรีเหล่านั้นจนตกตาย อาจกล่าวได้ว่านี่คือการกระทำที่อาจหาญและโหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุด ตามกฎของสำนักแล้ว เราควรทำลายฐานการบ่มเพาะและขับไล่เขาออกจากสำนักใช่หรือไม่?
“โอ้ ตอนนี้ข้าจําได้แล้ว! ลูกศิษย์คนนั้นดูเหมือนจะเป็นลูกชายของศิษย์พี่ฉีใช่หรือไม่? ไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็กหนุ่มเช่นนั้นจะสามารถอาศัยอยู่ในสำนักต่อได้ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย”
เย่ชิวตอบด้วยความตระหนักรู้อย่างฉับพลัน
หลินชิงจู้มองเย่ซิ่วด้วยความประหลาดใจ นางไม่ได้คาดหวังว่าอาจารย์ของนางจะมีไหวพริบล้ำเลิศเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาได้วางกับดักให้ฉีอู๋ฮุ่ยเดินมาติด นี่คือการขุดหลุมฝังกลบตัวเองอย่างแท้จริง
ฉีอู๋ฮุ่ยจะไม่รู้อย่างไรว่าเย่ชิวจงใจหลอกตนหลังจากได้ยินคําพูดเหล่านี้? แต่สิ่งที่เขาไม่สามารถหักล้างได้คือทุกสิ่งที่เย่ชิวกล่าวนั้นเป็นความจริง เขามีลูกชายคนหนึ่งที่รักและเอ็นดูอย่างสุดซึ้ง เขาชื่นชมลูกชายของตนมาโดยตลอด
สําหรับฉีฮ่าวเขาอาศัยความจริงที่ว่าพ่อของตนเป็นผู้อาวุโสทางวินัยและตนเองเป็นผู้สืบทอดของขุนเขากระบี่เร้นลับ ภายใต้การละเลยของฉีอู๋ฮุ่ย สภาพจิตใจของเขาเริ่มบิดเบี้ยวมากขึ้น
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนเขาได้ทำการแย่งชิงสตรีมารยาทดีหลายคนมาจากครอบครัวต่าง ๆ และเล่นสนุกกับพวกนางอยู่บนขุนเขาจนตกตาย
ในโลกนี้ที่ผู้แข็งแกร่งได้รับการเคารพสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติเกินไป โดยปกติทุกคนจะเมินเฉย ท้ายที่สุดพ่อของเขาคือฉีอู๋ฮุ่ยและไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์เขา สิ่งนี้ได้กระตุ้นให้ความเย่อหยิ่งของฉีฮ่าวทะยานฟ้าและความคิดของเขาก็ยิ่งวิปริตมากขึ้น
“เจ้า...” เมื่อฉีอู๋ฮุ่ยเห็นว่าประเด็นเบี่ยงไปยังลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตน เขาก็เริ่มตื่นตระหนกทันที “ศิษย์น้องเย่ จะกล่าวเช่นนี้ต้องมีหลักฐาน แม้ว่าขุนเขาทั้งสองของเราจะเป็นปรปักษ์กัน แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องแต่งเรื่องขึ้นมาใช่หรือไม่”
“หลักฐาน?” เย่ชิวเยาะเย้ยเมื่อเห็นใบหน้าที่หวาดระแวงของอีกฝ่าย “แล้วหากข้าพบหลักฐานล่ะ? ในฐานะผู้อาวุโสทางวินัยศิษย์พี่ฉีจะลงโทษเขาอย่างที่กล่าวมาใช่หรือไม่?”
เมื่อพูดคําเหล่านี้พ่นออกมา ฉีอู๋ฮุ่ยก็เหงื่อตกทันที เขามองไปทางเมิ่งเทียนเจิ้งเพื่อขอความช่วยเหลือด้วยความจนใจ
เมิ่งเทียนเจิ้งส่ายหัวด้วยความผิดหวังเมื่อเห็นว่าจิตใจของฉีอู๋ฮุ่ยอยู่ในความสับสน เขาไม่ได้คาดหวังว่าฉีอู๋ฮุ่ยในฐานะผู้อาวุโสทางวินัยจะไม่สามารถเอาชนะชายหนุ่มในด้านไหวพริบเช่นนี้ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเย่ชิว สีหน้าของเขาดูซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก แต่กลับเต็มไปด้วยไหวพริบชาญฉลาด
เมิ่งเทียนเจิ้งรู้เกี่ยวกับเรื่องของฉีฮ่าวเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามเนื่องจากสถานะพิเศษของเขา เมิ่งเทียนเจิ้งจึงปิดตาข้างหนึ่ง ท้ายที่สุดในสายตาของผู้ฝึกตนแล้วการตายของปุถุชนธรรมดาก็ไม่นับว่าเป็นอะไรในสายตาของพวกเขา
นี่คือโลกที่กลุ่มคนมากมายได้ต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออำนาจอันสูงสุด มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่มีสิทธิ์พูด
สายตาของเขามองไปยังก้อนเมฆสีม่วงที่อยู่บนท้องฟ้า ทันใดนั้นเมิ่งเทียนเจิ้งก็เปิดปากและกล่าวว่า “ศิษย์น้องเย่ ขุนเขาเมฆาม่วงของเจ้ามีทิวทัศน์ที่สวยงามและมีแก่นแท้พลังวิญญาณมากมาย ต้องมีเส้นลมปราณวิญญาณอยู่ใต้ภูเขาใช่หรือไม่? ไม่น่าแปลกใจเลยที่อาจารย์ลุงซวนเทียนไม่เคยก้าวออกจากขุนเขาเมฆาม่วงนานหลายปี...”
เย่ชิวมองกลับอย่างลึกซึ้ง เขารู้ว่าเมิ่งเทียนเจิ้งจงใจเปลี่ยนประเด็นเพื่อระงับเรื่องนี้ เขาจึงทำไดเพียงเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ ท้ายที่สุดมันก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น ในขณะนี้การแตกหักกับฉีอู๋ฮุ่ยไม่ใช่เรื่องดีนัก ท้ายที่สุดอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งพอ ๆ กับเจ้าสำนัก หากเกิดการต่อสู้กันจริง ๆ ก็จะมีแต่แย่ไปกว่าเดิม มันจะดีกว่าที่จะไว้หน้าเมิ่งเทียนเจิ้งและให้ความเคารพเขาในฐานะปรมาจารย์ขุนเขาบ้าง
ยิ่งไปกว่านั้นตราบใดที่เขายังคงแสร้งอ่อนแอ เมื่อถึงเวลาเย่ชิวก็จะสามารถฉกชิงชีวิตของฉีอู๋ฮุ่ยไปได้อย่างง่ายดาย
“อย่างที่ศิษย์พี่เจ้าสำนักกล่าว ท่านมองเห็นความลับของขุนเขาเมฆาม่วงของเราด้วยการเหลือบมองเพียงครั้งเดียว ข้าประทับใจยิ่งนัก...” เย่ชิวหัวเราะและไหลตามคําพูดต่อไป
เมิ่งเทียนเจิ้งดูพึงพอใจโดยพูดต่อว่า “มันสายไปแล้ว เรากลับไปยังประเด็นหลักกันเถอะ ศิษย์น้องเย่เรามาที่นี่เพื่อพูดคุยถึงการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขาในอีกสามเดือนข้างหน้า ข้าสงสัยว่าขุนเขาเมฆาม่วงของศิษย์น้องเย่จะเข้าร่วมในการประลองยุทธ์ครั้งนี้หรือไม่”