ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 4 ข้าจะปิดด่านสักพัก
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 4 ข้าจะปิดด่านสักพัก
หลินชิงจู้ตกใจเมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของนาง
ก่อนที่พวกนางจะมาถึง หลิวชิงเฟิงได้แนะนำว่าในหมู่คนธรรมดามีความแตกต่างกับเหล่าชนชั้นสูงมากโข นอกจากนี้ยังมีอัจฉริยะและขยะในหมู่ผู้ฝึกตน และสิ่งที่ดีที่สุดที่บ่งบอกว่าบุคคลนั้นมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนหรือไม่คือกระดูกศักดิ์สิทธิ์นี้
สำนักสำนักเยียวยาสวรรค์ก่อตั้งขึ้นมาหลายพันปีและมีอัจฉริยะเพียงไม่กี่โหลเท่านั้นที่มีกระดูกศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่กำเนิดปรากฏตัวขึ้น อัจฉริยะเหล่านี้ต่างเป็นบุคคลที่โดดเด่นในหมู่ผู้ฝึกตนด้วยกัน
สำหรับกระดูกศักดิ์สิทธิ์นอกจากได้รับมาตั้งแต่กำเนิดแล้ว ยังสามารถได้รับมาจากสมบัติสวรรค์ อย่างไรก็ตาม มันมีราคาสูงอย่างยิ่ง ดังนั้นสำนักส่วนใหญ่จึงไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น
นางไม่ได้คาดคิดเลยว่าขณะที่ตนเพิ่งเข้ามาในสำนัก เย่ชิวก็เต็มใจที่จะใช้เม็ดยาไขกระดูกศักดิ์สิทธิ์เพื่อปลุกกระดูกศักดิ์สิทธิ์ของตน นางจะตอบแทนน้ำใจนี้ได้อย่างไรกัน?
“ข้าขอบคุณมากท่านอาจารย์!” ไม่ว่านางจะขอบคุณเขามากแค่ไหน มันก็ยากที่จะแสดงความชื่นชมที่อยู่ในหัวใจของนาง ขณะนี้ ในหัวใจของนางเย่ชิวก็เปรียบเสมือนกัลเทพเจ้าที่สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง หากนางติดตามอาจารย์ผู้นี้ เหตุใดนางจะต้องกังวลว่าตนจะไม่สามารถแก้แค้นได้? เหตุใดนางต้องกังวลว่าจะไม่มีอนาคตที่สดใส?
“เอาล่ะ ลุกขึ้น” เย่ชิวพูดเบา ๆ พร้อมมองไปยังหลินชิงจู้ที่คุกเข่า “สามเดือนต่อจากนี้ ทุกหกสิบปีสำนักเยียวยาสวรรค์จะจัดการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขา ในฐานะลูกศิษย์คนโตของขุนเขาเมฆาม่วง ข้าหวังว่าเจ้าจะได้รับลำดับที่ดีและต่อสู้เพื่อชื่อเสียงของ ขุนเขาเมฆาม่วงของเรา” เย่ชิวกล่าวอย่างใจเย็น
หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่กล้าคิดที่จะเข้าร่วมการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขา แต่ตอนนี้…
‘ฮิฮิ ด้วยระบบตอบแทนหมื่นเท่านี้ จะมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกบ้าง? รออีกไม่นาน สามเดือนก็เกินพอแล้ว!’
“อย่ากังวลไปเลยท่านอาจารย์ ข้าจะไม่ทำให้ขุนเขาเมฆาม่วงต้องอับอายอย่างแน่นอน” หลินชิงจู้กล่าวอย่างหนักแน่น นางจะทำให้อาจารย์ของนางผิดหวังได้อย่างไรในเมื่ออาจารย์ของนางเห็นคุณค่าของการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขามากขนาดนี้? ไม่ว่านางจะต้องจ่ายราคาเท่าใดก็ตาม นางจะต้องได้รัลลำดับที่หนึ่งเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของขุนเขาเมฆาม่วงให้จงได้
นางอาจรู้สึกกดดันอยู่บ้างหากเป็นเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ กระดูกเหมันต์เร้นลับในร่างกายของนางกำลังเติมเต็มความแข็งแกร่งของตนอย่างต่อเนื่อง ความมั่นใจของนางจึงเพิ่มสูงขึ้น นางไม่มีวันลืมความอัปยศอดสูที่ฉีอู๋ฮุ่ยมอบให้ตนกับอาจารย์ในโถงหยกพิสุทธิ์อย่างแน่นอน
คราวนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางจะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าขุนเขาเมฆาม่วงไม่ได้ไร้ประโยชน์
“ดีมาก!” เย่ชิวมองนางด้วยความพึงพอใจและกล่าวต่อ “เจ้าได้ปลุกกระดูกศักดิ์สิทธิ์และเข้าสู่ขอบเขตฝึกปราณขั้นแรกด้วยตัวเจ้าเอง ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามรับรู้พลังปราณอีกต่อไป”
ขณะที่เขาพูด เขาหยิบตำราจากด้านหลังของเขาออกมาแล้วยื่นให้กับนาง “ตำราเล่มนี้เป็นเคล็ดวิชาการบ่มเพาะของมรดกขุนเขาเมฆาม่วง ตำราเมฆาม่วง
“เจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีไหลเวียนพลังปราณตามเนื้อหาในตำรา หากเจ้ามีคำถามใด ๆ ถามข้าทันที”
“ศิษย์เข้าใจแล้ว” หลินชิงจู้กอดตำราเมฆาม่วงราวกับว่าสมบัติล้ำค่าก็ว่าได้ นี่เป็นก้าวแรกบนเส้นทางการเป็นเซียนของนาง
หลังจากนั้นเย่ชิวก็ได้สอนความรู้พื้นฐานบางอย่างรวมถึงคำศัพท์ทางวิชาชีพบางอย่างเพื่อไม่ให้นางหลงทาง
“ไม่มีอะไรแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องไตร่ตรองตำราตั้งแต่เช้าตรู่บนผาหวังต้วน เจ้าต้องทบทวนบทเรียนสามรอบต่อวัน อย่าละเลยเด็ดขาด เมื่อการฝึกฝนของเจ้าไปถึงขอบเขตนิ้วทไม่ฬ ข้าจะสอนวิชากระบี่เมฆาม่วงให้เจ้า…”
“ศิษย์จะจดจำไว้”
เย่ชิวโบกมือและพูดต่อว่า “ข้าจะปิดด่านสักสองสามวัน หากพบปัญหาติดขัด ก็จงอย่ารีบเร่ง เมื่อข้ากลับจากการปิดด่านข้าจะบอกเจ้าเอง”
“ท่านอาจารย์ ท่านปิดด่านด้วยความสบายใจเถิด ข้าจะไม่ละเลยและฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งอย่างแน่นอน”
“เอาล่ะ ไปเถอะ”
ด้วยเหตุนี้หลินชิงจู้จึงออกจากโถงฝึกฝนและกลับไปยังกระท่อมไม้ นางแทบรอไม่ไหวที่จะเปิดตำราเมฆาม่วง นางอยากเห็นความลึกซึ้งของเคล็ดวิชาเซียนที่อยู่ภายใน
ในเวลาเพียงไม่กี่นาที นางก็สามารถควบคุมพลังปราณในร่างกายของจนได้ ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
“กระดูกศักดิ์สิทธิ์นี้มีผลอัศจรรย์ยิ่งนัก ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านอาจารย์จะยินดีมอบสมบัติล้ำค่าเพื่อช่วยปลุกกระดูกศักดิ์สิทธิ์ของข้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าไม่สามารถทำลายความคาดหวังของอาจารย์ที่มีต่อข้าได้อย่างแน่นอน ข้าต้องฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งและต้องได้ลำดับที่ดีในการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขาในอีกสามเดือนข้างหน้า”
หลังจากตัดสินใจหลินชิงจู้ก็เข้าสู่การบ่มเพาะทันที นางไม่อยากรอถึงวันพรุ่งนี้ สิ่งที่นางต้องการจะทำมากที่สุดในตอนนี้คือการบุกทะลวงสู่ขอบเขตนิ้วทมิฬโดยเร็วที่สุด และสร้างความประหลาดใจให้แก่อาจารย์ของนางเมื่อเขาออกมาจากการปิดด่าน
ในขณะนี้ เย่ชิวได้ออกจากโถงฝึกฝนและเข้าไปในถ้ำบนภูเขา ถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ฝึกฝนพิเศษสำหรับขุนเขาเมฆาม่วง ในความทรงจำของเย่ชิว ท่านอาจารย์ของเขาใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในถ้ำแห่งนี้ ตอนนี้เขาก็อยากมาที่นี่ด้วยเช่นกัน ท้ายที่สุด สถานที่แห่งนี้เงียบสงบมาก ไม่มีใครรบกวนเขาได้ เหมาะสำหรับการปิดด่านเป็นอย่างยิ่ง
ทันทีที่เย่ชิวเข้าไปในถ้ำและปิดประตู เขาพูดอย่างใจร้อนว่า “ระบบ เปิดใช้งานระบบตอลแทน”
[ ติ๊ง… ]
[ ท่านมอบเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์เมฆาม่วงแก่ลูกศิษย์ของท่าน ได้กระตุ้นระบบตอบแทนหมื่นเท่า ท่านต้องการเปิดใช้งานหรือไม่ ]
“เปิดใช้งาน.”
[ ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ ท่านกระตุ้นการตอบแทนหมื่นเท่า ท่านได้รับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะระดับเทพเจ้า บันทึกบรรพกาลที่แท้จริง ]
“นี่มัน… ระดับเทพเจ้า! มารดามันเถอะ ตอนนี้ข้าร่ำรวยอย่างแท้จริง!”
ในเวลายสย จารึกภาพกระดูกหลายร้อยภาพที่คลุมเครือก็ได้ผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา
[ ท่านต้องการเรียนรู้หรือไม่? ]
“ต้องการ…”
ในเวลาไม่ถึงครู่หนึ่ง เย่ชิวก็ได้เรียนรู้จารึกภาพที่คลุมเครือนั้นแล้ว เขาต้องค่อย ๆ ทำความเข้าใจความลึกซึ้งของมัน จากนั้นเขาก็จะสามารถเข้าใจมันได้อย่างสมบูรณ์ หากเขากินเม็ดยาไขกระดูกเซียนนี้ตามไป เขาอาจจะสามารถทะลวงผ่านขอบเขตนิ้วทมิฬไปยังขอบเขตสวรรค์ได้โดยตรง
เย่ชิวหัวเราะอย่างบ้าคลั่งหลังจากที่เขาหยิบเม็ดยาไขกระดูกเซียนที่ระบบเพิ่งมอบให้ “เจ้าเม็ดยา ข้าจะกินเจ้าลงไปอย่างดี ไม่ต้องห่วง ข้าเป็นคนที่อ่อนโยนมาก”
ด้วยการกลืนเพียงครั้งเดียว พลังมหาศาลนั้นหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเย่ชิว ไม่นานร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพลังเซียนจนทำให้ร่างกายเกือบจะระเบิดออกมา
“บัดซบ! เม็ดยาเซียนนี้ทรงพลังยิ่งนัก ข้าประมาทเกินไป”
ตามที่คาดไว้ เขายังต้องก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น เขาต้องจ่ายราคาสูงตามหากเขาต้องการที่จะไปถึงสวรรค์ในก้าวเดียว และเย่ชิวกำลังจ่ายราคานี้
พลังของเม็ดยาเซียนได้พลุ่งพล่านไปทั่วแขนขาและกระดูกของเขา โลหิตได้ย้อมเสื้อผ้าของเขาเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเย่ชิวดูเจ็บปวดอย่างยิ่ง
หลังจากชำระล้างสิ่งเจือปนทั้งหมดในร่างกายแล้ว พลังเซียนของเขาก็ได้พุ่งเข้าสู่ทะเลแห่งจิตใต้สำนึกและก่อตัวเป็นดอกบัวที่อยู่ลึกเข้าไปในนั้น
เย่ชิวตกใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาไม่ใช่มือใหม่อย่างหลินชิงจู้ที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการฝึกฝน เมื่อเขาเห็นดอกไม้นี้ เขาก็เข้าใจทันทีว่ามันหมายถึงอะไร
“บุปผามหาเต๋า!”
“กายาเต๋าโดยกำเนิด!”
ว่ากันว่ากระดูกศักดิ์สิทธิ์มีโอกาสปรากฏขึ้นหนึ่งในล้าน หากเป็นเช่นนั้น… กายาเต๋าโดยกำเนิดมีโอกาสในหนึ่งชั่วชีวิต กายาดังกล่าวอาจกล่าวได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์
เย่ชิวไม่เคยคิดเลยว่าเม็ดยาไขกระดูกเซียนเพียงเม็ดเดียวจะสามารถช่วยให้เขาปลุกกายาเต๋าขึ้นมาได้ การทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่เผ่าพันธุ์ดึกดำบรรพ์ที่ยิ่งใหญ่อาจไม่สามารถทำได้ แม้จะใช้พลังของทั้งเผ่าพันธุ์ก็ตาม
เย่ชิวนั้นใกล้ชิดกับมหาเต๋า ด้วยการดำรงอยู่ของบุปผามหาเต๋า ในสายตาของเขาเคล็ดวิชาเซียนที่ลึกซึ้งใด ๆ ก็สามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ บุปผามหาเต๋ายังได้รับการหล่อเลี้ยงจากสวรรค์และปฐพี และมอบพลังคืนให้เย่ชิว ทำให้การบ่มเพาะของเขานั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสามารถนี้ไม่ใช่สิ่งที่กระดูกศักดิ์สิทธิ์สามารถเปรียบเทียบได้แม้แต่น้อย
“ข้ารวยแล้ว! คราวนี้ข้าร่ำรวยอย่างแท้จริง”
ในขณะนี้ เย่ชิวไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป พลังของเม็ดยาไขกระดูกเซียนยังไม่หมดไป หลังจากสร้างบุปผามหาเต๋าแล้ว เย่ชิวก็เข้าสู่การบ่มเพาะในทันที ตามความคาดหวังเดิมของเขา เขาคิดการทะลวงไปยังขอบเขตสวรรค์คงเป็นขีดจำกัด แต่เมื่อเขาเห็นพลังเซียนที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายของเขา เย่ชิวก็จมอยู่ในความคิดลึกซึ้ง
“บุกทะลวงขอบเขตอนันตะมรรคา!”