วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0098
บทที่ 32 เมืองทะเล, ความฝันของโจรสลัด (2)
* * *
ฉันตัดสินใจเข้าไปในประภาคารเป็นคนแรก แต่ข้างในมืดมาก
“โมห์ส mohs”
จึงเตรียมแสงสว่างก่อนจะเดินเข้าไป แต่ทันใดนั้นก็พบว่าไม่มีความจำเป็น
“…”
“เป็นยังไงบ้าง?”
ลิลี่ที่ยืนกลั้นหายใจมองจากด้านหลัง ถามเสียงแผ่ว
ฉันก้มมองอยู่สักพัก เพราะไม่รู้ว่าควรอธิบายยังไง
“…โปร่งใส”
“โปร่งใส?”
อาจเพราะยังไม่เข้าใจความหมาย ลิลี่ที่เงียบไป ตัดสินใจเดินเข้ามาใกล้
“ข้าเข้าไปได้ไหม”
เห็นฉันพยักหน้า ลิลี่เดินเข้ามา
ระหว่างนั้น ฉันมิอาจละสายตาจากด้านล่าง
ไม่นานเธอก็เข้าใจสิ่งที่ฉันพูด ลิลี่เอาแต่ก้มมองด้วยสายตาเหม่อลอย
หอคอยสูงทรงกระบอกที่มีบันไดวนไปตามผนัง ใจกลางเป็นโพรงว่างๆ พบเห็นได้ทั่วไปตามอาณาจักรโบราณ
นั่นคือคำอธิบายทั้งหมดของโครงสร้างประภาคาร
ง่ายๆ แบบนั้นเลย
ทว่า วัสดุที่ใช้สร้างกลับไม่ธรรมดา
“…โปร่งใส”
ลิลี่ก้มมองพลางพึมพำ
คล้ายกับโบราณสถานแห่งอื่น ถ้ามองจากภายนอก ยอดประภาคารจะดูเหมือนสร้างจากวัสดุประเภทหินสักชนิด
ทว่า ผนังด้านในส่วนที่จมลึกลงไปใต้น้ำ กลับดูโปร่งใส
ข้างในมองออกไปจะเห็นข้างนอกได้ชัดเจน แสงสว่างส่องมาจากทะเลลึกด้านนอก
ฉันตัดสินใจดับลูกไฟ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องใช้แสงสว่างส่วนตัว
พวกเรายังคงก้มมอง
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
“หืม…”
“ทำหน้าเหมือนกำลังกังวล”
ลิลี่พึมพำขณะก้มหน้า
“เจ้าคิดว่าที่นี่อันตราย?”
“ไม่”
“แล้ว?”
“ถ้าจะลงไปข้างล่าง… ต้องใช้เวลานานแค่ไหน?”
ลิลี่เริ่มตระหนักถึงความกังวลของฉัน
ปัญหานี้ใช่ว่าจะแก้ได้ง่ายๆ
เท่าที่ฉันรู้ เฉลี่ยแล้วทะเลเกาหลีจะลึกประมาณสองกิโลเมตร ส่วนที่ลึกที่สุดประมาณห้ากิโลเมตร แต่ถ้านับร่องลึกก้นสมุทรเข้าไปด้วยก็อาจถึงสิบกิโลเมตร
ในสถานการณ์ที่ยังไม่ทราบความลึกแน่ชัด เสี่ยงเกินไปที่จะบุ่มบ่ามลงไปสำรวจ เพราะอาจหมดแรงกลางทางโดยที่จะไปต่อก็ไม่ได้ จะกลับก็ไม่ได้ เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก
“คงต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อน”
“…ใช่”
ลิลี่พยักหน้ารับพลางก้มมอง จากนั้นก็หยิบหินออกจากเสื้อและโยนลงไป
ไม่ผิดจากที่คิด ไม่มีเสียงใดดังกลับมา
“เอาล่ะ ฉันตัดสินใจได้แล้ว”
ระหว่างนั้น ฉันรวบรวมสมาธิ
“ก่อนอื่น… หนึ่งวัน”
“หนึ่งวัน?”
“ใช่ พวกเราจะเดินลงไปเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้ายังไม่พบอะไร ก็ต้องย้อนกลับขึ้นมาวางแผนกันใหม่”
แผนใหม่จะถูกดัดแปลงจากเบาะแสที่ได้พบเจอตลอดทาง
แต่ถ้าสำรวจนานถึงขนาดนั้นแล้วยังไม่พบเบาะแสใด ฉันก็ไม่เสียใจที่จะถอนตัวกลับ
การสำรวจต้องมีพื้นฐานมาจากทรัพยากรในมือ ตอนนี้ทรัพยากรที่สำคัญของฉันกับลิลี่คือเรี่ยวแรง
เมื่อไม่มีอะไรต้องรีบร้อน และไม่มีปัญหาด้านเสบียง ฉันกล้าที่จะวางแผนสำรวจระยะยาว
พวกเราเตรียมอาหาร รวมถึงเสื้อผ้าเผื่อไว้ในกรณีอุณหภูมิเปลี่ยน และนำสัมภาระที่ยังไม่ได้ใช้เก็บไว้บนเรือ
อาจค่อนข้างอันตรายที่จะทิ้งเรือไว้ตามลำพัง แต่ฉันไม่คิดว่าเรือเปล่าที่จอดนิ่งในน่านน้ำแถบนี้จะถูกใครปล้น
หรือต่อให้มีจริง พวกมันก็จะกลายเป็นอาหารของเรลิกซิน่า
“ไปกันเถอะ”
「ลุย!」
“กัปตันโชคดีมากที่ไม่ต้องเดิน ฉันก็อยากถูกใครสักคนอุ้มไปเที่ยวเหมือนกัน”
พูดจบ พวกเราสะพายเป้และเดินเข้าไป
เสียงรองเท้าบูตดังกังวาน ประภาคารยาวกลายเป็นกระบอกสะท้อนเสียงชั้นดี
หลังจากเดินลงไปได้ประมาณสิบนาที พวกเรามาถึงผนังส่วนที่โปร่งใส
ฉันใช้มือสัมผัสผนังที่เคยคิดว่าเป็นกระจก ถึงจะไม่เชื่อว่าลำพังกระจกสามารถค้ำจุนโครงสร้างหอคอย แต่ก็คิดถึงวัสดุอื่นไม่ออก
ทว่า เพียงไม่นานก็ความผิดปกติหลังจากลองสัมผัส
“…ทำไมถึงนุ่ม”
ไม่ได้แข็งเหมือนโลหะ มอบความรู้สึกอ่อนนุ่มเจือสัมผัสประหลาดที่อธิบายไม่ได้
เมื่อชักมือกลับเพราะความเย็น ถุงมือของฉันเปียกน้ำ
“น้ำ?”
ฉันลองเอาลิ้นแตะ
“น้ำทะเล”
เค็มและขมอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำทะเล
ผนังเกิดจากการแข็งตัวของน้ำทะเลด้านนอก
เทคโนโลยีของอาณาจักรโบราณ
บนผนังมีอักษรรูนจางๆ เขียนไว้
ไม่ใช่รูปแบบที่ซับซ้อน แต่เขียนออกมาในแนวยาวจนไม่สามารถอ่านออก
อักษรรูนเรียงตัวลงไปตามขั้นบันได
“หืม…”
ทางเข้าของประภาคารเขียนไว้ว่า ‘ห้ามลืม’
เมื่อนำไปรวมกับเรื่องที่ยอดประภาคารและผนังชั้นนอก ดูคล้ายกับเพิ่งถูกสร้างหลังจากหอคอย ‘จม’ ลงใต้ทะเล
แม้จะยังไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่ภาพหนึ่งถูกวาดไว้ในหัวฉัน
ไม่ใช่ว่าคนในเมืองข้างล่าง อยากให้ใครสักคนลงไปพบพวกเขาหรอกหรือ?
นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด
“ลงไปกันเถอะ”
ลิลี่เดิมตามฉันไม่ห่าง การเดินลงไม่ใช่เรื่องลำบากเพราะบันไดค่อนข้างกว้าง
แม้แต่ขั้นบันไดก็มีพลังงานบางชนิดที่ทำให้น้ำจับตัวเป็นก้อน เมื่อรวมกับความรู้สึกอ่อนนุ่มใต้ฝ่าเท้า เกิดเป็นประสบการณ์การเดินที่สนุกสนาน
ตลอดทางเดินลง ลิลี่ไม่ละสายตาจากผนังเลย
“ดูนั่นสิ!”
ลิลี่จับชายเสื้อของฉันและชี้ออกไป
“ผ้าสีใสเคลื่อนไหวได้ แถมยังมีหนวด… มันคือตัวอะไร?”
แมงกะพรุนที่ตัวใหญ่เท่าคน
ไม่สิ มันคือกลุ่มของสิ่งชีวิตที่ดูคล้ายแมงกะพรุน หัวบานออกเหมือนร่ม ไหลไปตามกระแสน้ำ
ชวนให้นึกถึงภาพของมนุษย์กลุ่มหนึ่งกำลังร่อนลงจากท้องฟ้าด้วยร่มกันแดด
“…ดูเหมือนพวกมันจะสังเคราะห์แสงได้”
“สังเคราะห์แสง?”
“เหมือนกับพืชที่เติบโตด้วยแสงแดด”
“…พวกมันคือพืช?”
“ไม่มีกฎข้อไหนห้ามสัตว์ทำแบบนี้สักหน่อย”
แต่ก็อาจจะเป็นพืชได้เหมือนกัน
ยิ่งเป็นสภาพแวดล้อมปิด ขอบเขตระหว่างพืชและสัตว์จะยิ่งบางลง โดยเฉพาะในแง่ของวิทยาศาสตร์
ระหว่างนั้น โลมาตัวหนึ่งโผล่ขึ้นจากด้านข้าง มันจ้องเราสักพักก่อนจะว่ายตามลงมาเป็นเพื่อน
ลิลี่มิอาจเก็บซ่อนความตื่นเต้นได้อีกต่อไป
“…น่ารักจัง”
เธอเดินลงบันไดพลางมองทิวทัศน์ใต้ทะเลโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว
ดูเหมือนว่าฉากอีกฝั่งของผนังโปร่งใสจะช่วยสร้างสีสันให้ลิลี่ ผู้ไม่เคยเที่ยวทะเลแบบปกติมาก่อน
หญิงสาวจดจ่ออยู่กับสภาพแวดล้อมจนฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า ลิลี่ก็มีมุมแบบนี้ด้วยหรือ?
“นั่นคือวาฬ? มันกำลังหลับ? ทำไมถึงหลับแนวตั้งล่ะ?”
“ทำไมปลาตัวนั้นถึงมีฟันเหมือนสัตว์ร้าย แถมยังไม่มีเกล็ด?”
“เต่า!”
ยังกับพาเด็กประถมมาทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
เธอคงจะเหนื่อยหลังจากผ่านเหตุการณ์ใหญ่ติดๆ กันโดยแทบไม่ได้พักผ่อน ก็ไม่แย่นักถ้าจะปล่อยให้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศรอบข้างบ้าง
ไม่สิ มันเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ
ขณะพวกเราเดินลงไปในสภาวะดังกล่าว
บี๊บ! บี๊บ! บี๊บ!
นาฬิกาข้อมือที่ตั้งเวลาไว้ดังขึ้น หมายความว่าผ่านไปแล้วสองชั่วโมง
“พักกันก่อน”
ฉันกับลิลี่นั่งกินอาหาร
ลิลี่ยังคงมองออกไปนอกผนัง ส่วนฉันพยายามขัดเกลาแผนการให้รัดกุมยิ่งขึ้น
วิวทิวทัศน์ค่อนข้างจรรโลงใจ และบันไดก็สบายกว่าที่คิด พวกเราอาจลงไปได้ลึกกว่าแผนเดิมพอสมควร
…ไม่สิ ไม่ใช่แค่พอสมควร จากการคำนวณ ถึงจะเดินลงมาอย่างสบายๆ แต่พวกเราน่าจะมาไกลกว่าตึกสามร้อยชั้นแล้ว
กล่าวคือ เป็นระยะทางที่เท่ากับหรือไกลกว่าหนึ่งกิโลเมตร
ฉันชะโงกหน้าออกไปนอกราวกั้นด้านใน ตอนนี้ยังมองไม่เห็นชั้นล่างสุดของหอคอย
ยังเดาไม่ออกว่าที่นี่ลึกแค่ไหน
“…ที่นี่มีจุดสิ้นสุดแน่หรือ”
「ข้าเบื่อบันไดพวกนี้เต็มทีแล้ว!」
ผ่านไปแค่สองชั่วโมง แต่ทุกคนสัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากล
ฉันเองก็คิดแบบเดียวกัน
ถ้าใครสักคนสร้างยอดประภาคารเพื่อให้มีคนหาตัวเองพบ คนผู้นั้นจะสร้างบันไดยาวๆ โดยไม่มีสัญลักษณ์นำทางเลยหรือ?
「บันไดพวกนี้มีไว้ทำอะไรกันแน่? สร้างมาให้ใครใช้? 」
เอ็ดเวิร์ดพูดถูก
บันไดจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อมีคนใช้งาน
ไม่มีทางที่จะสร้างบันไดที่กว้างและสูงเช่นนี้ขึ้นมาเล่นๆ
มีบางสิ่งที่ฉันมองข้ามไป?
ระหว่างนั้น ฉันหันไปสบตาโลมาที่ว่ายตามพวกเรามานาน
อีกฝ่ายว่ายวนไปมาและมองด้วยสายตาประหนึ่งกำลังสนใจสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด พลางใช้ปากเคาะผนังเป็นระยะ
ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นนิสัยทั่วไปของสัตว์ที่อาศัยอยู่แถบนี้
แต่เมื่อลองนึกทบทวนก็เริ่มพบความไม่ชอบมาพากล
“…โลมาตัวนี้”
ลิลี่ที่กำลังกินเพมมิแคน หันไปมองโลมา
“มันทำไม?”
“ไม่คิดว่ามันมีบางสิ่งอยากจะบอกพวกเราหรือ”
ได้ยินคำพูดฉัน ลิลี่จ้องโลมาสักพักก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ข้าคุยกับสัตว์ไม่ได้”
แต่ฉันยืมประสาทสัมผัสของสัตว์ได้
หลับตาลงพลางสูดหายใจยาว ตามด้วยเปล่งเสียง
“ธาม-ทัตซา Tham-tatha”
มุมมองของโลมากลายเป็นของฉัน
โลมาตระหนักได้ทันทีว่าฉันยืมประสาทสัมผัส ย่อมต้องเป็นแบบนั้น เพราะภาษารูนชนิดนี้ไม่ได้แสดงผลฝ่ายเดียว
โลมาหันหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง
ราวกับต้องการให้ฉันดูสิ่งนี้
ในที่สุดฉันก็เข้าใจ
ถึงข้อเท็จจริงที่ว่า สิ่งที่เห็นจากภายในและภายนอกผนังไม่เหมือนกัน
โลมาไม่ได้ตามพวกเราเพราะอยากรู้อยากเห็น
“…”
ลิลี่กลั้นหายใจขณะรอฟังคำตอบ ราวกับไม่ต้องการส่งเสียงรบกวน
ฉันกำลังมองไปรอบๆ ผ่านสายตาของโลมา
ประโยคอักษรรูนขนาดมหึมา ถูกวาดไว้บนผนังชั้นนอกของหอคอยยักษ์
เป็นอักษรที่มองไม่เห็นจากภายใน
ฉันเคยเห็นประโยคนี้มาก่อน
“…ไบฟรอสต์”
ประตูมิติของชาวต่างโลก
ประโยครูนแบบเดียวกับที่เขียนไว้รอบผิวไบฟรอสต์
ถูกเขียนเป็นเส้นเกลียวพันรอบหอคอยแห่งนี้
และนั่นหมายความว่า
ฉันลุกพรวดขึ้นทันที
ภายในเวลาสั้นๆ ฉันคำนวณโอกาสและความเสี่ยง พร้อมกับจัดลำดับผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว
“…เจ้าเห็นอะไร?”
“เอ็ดเวิร์ด นายพูดถูก”
「เรื่องอะไร? 」
“ที่นี่ไม่ใช่บันได มันไม่ได้มีไว้เพื่อเดินลง”
「แล้ว? 」
มันคือไบฟรอสต์ขนาดมหึมา
ชะโงกหน้าออกไปนอกราวกั้น ฉันก้มมองด้านล่างหอคอย
ก้นหอคอยยังคงลึกจนมองไม่เห็นเช่นเคย
แต่ฉันไม่สนใจอีกแล้ว
ใต้บันไดวนที่มีลักษณะคล้ายหน้าผา
ที่นั่นคือประตูมิติบานใหญ่
“ลิลี่”
“อะ…อื้อ?”
ฉันกอดลิลี่แน่น เธอประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน ทำเพียงเงยหน้ามองฉัน
สีหน้าของลิลี่กำลังเผยความสับสน คล้ายกับไม่เข้าใจพฤติกรรมของฉัน
ไม่บอกดีกว่า
ข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเรากำลังจะกระโดดลงไป เธอไม่ควรจะรับรู้
ฉันมัดเชือกเซฟตี้ติดกับตัวลิลี่เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน
“มีอะไร? เจ้าคิดจะทำอะไร? อย่างน้อยก็ช่วยอธิบาย…”
ฉันกอดลิลี่ที่กำลังกระวนกระวาย และกระโดดลงไปทั้งอย่างนั้น
“อ๊าาาาา! ว๊าาาาาก!”
ลิลี่ตกใจจนแทบสติแตก ฉันสัมผัสถึงแรงบีบจากฝ่ามือเธอ
ก้มมองอยู่สักพัก ฉันเหยียดแขนออกไป
คำวิงวอนของนักบุญหญิงที่ถูกสลักไว้บนฝ่ามือ ส่องแสงสว่างซีดจาง
จนกระทั่งได้เห็นสายรุ้งรวมตัวกันด้านล่าง ฉันเริ่มยิ้มออก
พวกเราตกลงไปในไบฟรอสต์ ปลายทางคือเมืองที่กำลังตามหา
* * *
ดูเหมือนพวกเราจะหมดสติไปชั่วขณะ ฉันลืมตาและพบว่าร่างกายเปียกโชก ส่วนลิลี่ยังคงปิดตาสนิท
ฉันจ้องเส้นผมที่กำลังปลิวไสวของเธออยู่สักพัก
…ปลิวไสว?
ฉันเพิ่งตระหนักได้ว่า พวกเรากำลังอยู่ใต้น้ำ
ท่ามกลางบรรยากาศใต้น้ำที่มีแสงสว่างสีม่วง ฉันสูดลมหายใจยาวสุดปอด และรีบปิดปากสนิทจนแก้มป่อง
จากนั้นก็ฉุกคิดได้ว่า
หายใจ?
เมื่อยืนยันว่าที่นี่หายใจได้ตามปกติ ฉันกวาดสายตาไปรอบตัว
สาหร่ายทะเลสีเขียวโยกเอนพลิ้วไหว ปลากลุ่มใหญ่แหวกว่ายผ่านไป
วาฬสเปิร์มยาวหลายสิบเมตรกำลังลอยตัวในแนวตั้งโดยไม่ขยับเขยื้อน ราวกับมันตายไปแล้ว
เคยได้ยินมาว่า พวกวาฬมักนอนกันแบบนี้
สถานที่ที่วาฬเชื่อว่าปลอดภัยจนกล้าหลับอย่างสบายใจ
ใต้ทะเลลึก
ตอนแรกคิดฉันว่ารอบๆ มีเพียงน้ำทะเลและหินยักษ์ตะไคร่เกาะ
แต่เมื่อสายตาเริ่มปรับตัว ฉันจึงเห็น
ตอนแรกคงมองได้ไม่ชัดเพราะแสงสีม่วงจ้าเกินไป
ที่นี่คือเมือง
เมืองที่มีชื่อว่า ‘ห้ามลืม’ แต่สุดท้ายก็ถูกลืม
ทิวทัศน์ของมหานครกระจายอยู่เบื้องหน้า หินตะไคร่น้ำ ปลากินซากที่ว่ายไปตามก้นทะเล และช่องความร้อนใต้ดินที่พ่นฟองอย่างต่อเนื่อง
เมืองบาดาลกลมกลืนเข้ากับสิ่งเหล่านี้
แม้จะเป็นทะเลลึก แต่ก็มอบบรรยากาศอบอุ่น
จากนั้นก็เห็น
ใจกลางเมือง ฉันเห็นสิ่งที่น่าจะเป็นปราสาท
“…ยักษ์?”
ลิลี่ที่ได้สติกลับมา กล่าวขณะว่ายเข้าหาฉัน
สตรีผู้หนึ่งกำลังนั่งหลับบนบัลลังก์ ภายในเสื้อผ้าคล้ายกับมีฟองอากาศ
มองผิวเผินดูไม่ต่างจากคนปกติ แต่ขนาดตัวของเธอ มหึมาจนฉันเข้าใจผิดคิดว่าเป็นปราสาทในตอนแรก
ตำแหน่งของใบหูถูกแทนด้วยครีบ
ยักษ์จากโบราณกาล ผมสีทองยาว
ดวงตาของเธอปิดสนิทด้วยท่าทีผ่อนคลาย หลับใหลโดยในอ้อมแขนกำลังกอดปลาวาฬ
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (3/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel