ยอดยุทธคลิกเดียว!! ตอนที่ 360 ชัยชนะของพิภพราชันย์
(ชดเชยให้ครับ เมื่อวานผมไข้ผมขึ้นปวดหัวจนแปลไม่ได้ นอนซึมทั้งวันต้อง จะลุกขึ้นมาโพสแจ้งยังไม่ไหวเลยครับ วันนี้ดีขึ้นมาแล้วนิดหน่อยเลยแปลต่อจากที่ค้างได้)
ตอนนี้ทั่วทั้งพิภพราชันย์นั้นนิ่งเงียบราวกับป่าช้า ไม่มีแม้แต่กระทั่งเสียงของลมหายใจ
แต่หลังจากไม่กี่วินาทีต่อมา
เฮ้! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! ! !
เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังกึงก้องไปทั่วแผ่นดินพิภพราชันย์ และดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้เมฆหมอกสีดำที่เกาะกุมหัวใจพวกเขาทั้งหมดได้จางหายไปแล้ว ทำให้ทุกคนนั้นดีใจอย่างที่สุด
พวกเขาคิดว่าจะตกตายใต้น้ำมือของกึ่งบรรพชนชะตาชีวิตที่ 8 ไปแล้ว ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะมีตัวตนที่แข็งแกร่งราวกับปีศาจได้ช่วยพิภพราชันย์แห่งนี้เอาไว้
แม้จะมีผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก แต่หากเทียบกับการถูกล้างบางทั้งพิภพนั้นถือว่ายังน้อยกว่ามาก!!
เพราะหากกึ่งบรรพชนชะตาชีวิตที่ 8 ไม่พอใจเขาก็ลบทั้งพิภพนี้ออกไปได้
“เอามานี้!!”
“ฮะๆ สมบัติของแกเป็นของฉันหมดแล้ว!!”
ซู่เสี่ยวไป่โบกมือหนึ่งครั้ง และดึงทรัพย์สมบัติทั้งหมดของกึ่งบรรพชนฮันกังที่เก็บไว้ภายในมิติโลกส่วนตัว เข้ามาเก็บไว้ในมิติของเขาทั้งหมด!
มันคือเหตุผลที่ซู่เสี่ยวไป่กัดไม่ปล่อย เพราะเขาหวังสมบัติของกึ่งบรรพชน
ทำให้ซู่เสี่ยวไป่ทำทุกวิธีทางเพื่อไม่ให้กึ่งบรรพชนฮันกังนั้นระเบิดพลีชีพตัวเอง เพราะหากว่าซู่เสี่ยวไป่หยุดการระเบิดไม่ทัน
เขาจะสูญเสียโชคลาภจำนวนมากในพริบตา!
ร่างของกึ่งบรรพชนฮันกังนั้นโดนผ่าครึ่งจนเสียรูปหมด ทำให้ซู่เสี่ยวไป่รู้สึกเสียดายไม่น้อย เพราะเขาอยากได้ศพสภาพที่สมบูรณ์เพื่อจะหมุนเวียนได้ราคาสูง แต่ตอนนี้เขายังไม่มีวิธีใดที่จะทำได้ นอกเสียจากว่าเขาจะมีขอบเขตพลังเท่ากับกึ่งบรรพชนชะตาชีวิตที่ 9 และทำการผนึกร่างเอาไว้ ก่อนที่จะแยกจิตวิญญาณออกจากพลังงานศักดิ์สิทธิ์ และค่อยๆ ฆ่าจิตวิญญาณนั้นอย่างช้าๆ เพื่อรักษาศพ
“ถึงจะน่าเสียดายเรื่องศพ แต่เจ้านี้ก็ร่ำรวยสมกับเป็นเชื้อพระวงษ์จริงๆ!”
“ดูความมั่งคั่งนี้สิ คิๆๆๆๆ”
เมื่อซู่เสี่ยวไป่ตรวจสอบดูสมบัติมากมายที่เขาดูดมาแล้ว ทำให้ใบหน้าของซู่เสี่ยวไป่ไม่อาจจะหุบยิ้มลงไปได้
สมบัติของกึ่งบรรพชนชะตาชีวิตที่ 1 กับ 2 นั้น ราวกับเศษขี้เล็บของชะตาชีวิตที่ 8
เพียงแค่ศิลาอมตะระดับสูงสุดก็มากจนซู่เสี่ยวไป่ไม่คิดว่าใครมันจะพกศิลามากมายแบบนี้ติดตัวไปไหนมาไหนด้วยมากขนาดนี้ เพราะภายกองสมบัตินั้นมีศิลาอมตะสูงสุดถึง 13 ล้านล้านก้อน!
ยังไม่รวมกับสมบัติกับวัตถุดิบล้ำค่าอื่นๆ อีก ทั้งยุทธภัณฑ์ระดับกึ่งบรรพชน และของบางชิ้นที่แม้แต่ในพิภพแห่งนี้ก็ยังไม่เคยปรากฏขึ้นมาด้วยซ้ำ
นี้ถือเป็นโชคลาภก้อนโตสำหรับเขาเลย
“นี่คงเป็นซากวิชาระดับกึ่งบรรพชน……น่าเสียดายที่เราไม่สามารถเก็บเกี่ยวมาได้ ก็ไม่แปลกที่เจ้าของจะทำพันธะกับวิชาเอาไว้ หากเขาตายวิชาคงถูกทำลายทันที”
วิชาระดับกึ่งบรรพชนนั้นมีมูลค่ามากเกินไป ไม่อาจจะปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือคนนอกได้ มันจะเกี่ยวพันธ์กับฐานอำนาจของกองกำลังนั้นหรือพิภพแห่งนั้นทันที
“แต่….ยังดีที่มีวิชาระดับจักรพรรดิอมตะต้อง 16 วิชาให้เป็นของปลอบใจ!”
ซู่เสี่ยวไป่ยิ้มร่าออกมาอีกครั้ง
เพราะวิชาระดับจักรพรรดิอมตะ 16 วิชาเพียงพอแล้วที่จะสร้างวิชาระดับกึ่งบรรพชนได้ 3 วิชา รวมเป็น
วิชาใหม่ได้ 8 วิชา แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
“ยังไม่ต้องรีบเพิ่มระดับความสามารถตอนนี้ ขอให้อีกฝั่งเข้ามาติดแหของเราก่อน หึๆๆ แล้วค่อยเก็บปลาตัวใหญ่ๆ อื่นที่จะเข้ามาอีกอย่างไม่ขาดสาย!”
แววตาของซู่เสี่ยวไป่ฉายออกถึงความเจ้าเล่ห์
เพราะนอกจากกึ่งบรรพชนฮันกังแล้ว เขาพูดเองว่าเป็นเชื้อพระวงษ์ หรือเป็นหนึ่งในราชวงศ์สักอย่าง แปลว่าจะต้องมีตัวตนที่ทรงพลังอยู่อีก แล้วตอนนี้จ้าวพิภพทั้ง 6 ที่อยู่รอบๆ ก็ถูกเขาเก็บหมดแล้ว เหลือเพียงจ้าวพิภพยักษ์ที่เขาจะใช้เป็นเหยื่อล่อปลาตัวใหญ่ ให้มาติดเบ็ดอีก
และตอนนี้ซู่เสี่ยวไป่เหลือแค่ลงมือเขาก็สามารถผนวกทั้ง 7 พิภพเข้าไว้ด้วยกันได้แล้ว
เมื่อพิภพสุขาวดีได้พื้นที่มากขึ้นมีดินแดนมากขึ้นจะขยาย และเติบโตเป็นพิภพระดับร้อยภพ หรือจะเปลี่ยนเป็นอีกชื่อคือมหาพิภพสุขาวดี
“งั้นตอนนี้ เราต้องดูก่อนว่าข้อความที่เจ้านี้ส่งออกไปหาจ้าวพิภพของมันจะจริงอย่างที่มันว่าไหม ว่าไอ้ท่านจ้าวพิภพของมันจะมาล้างแค้นให้?”
“หากมีเวลามากพอ เราจะบุกยึดพิภพมหาภูผาก่อน และบุกรุกเข้าไปในพิภพสวรรค์ที่ละเล็กที่ละน้อย ก่อนที่จะผนวกรวมทุกดินแดนเข้ามาอยู่ใต้อาณัติของเราทั้งหมด!”
มุมปากของซู่เสี่ยวไป่ยกสูงขึ้นเล็กน้อย
ข้อดีของการมีดินแดนมากมายใต้การปกครองนอกจากจะขยายอำนาจและชื่อเสียงออกไปแล้ว มันจะสามารถสร้างความร่ำรวยให้กับซู่เสี่ยวไป่ได้ด้วย
เพราะเขาจะเก็บส่วยหรือภาษีจากทุกดินแดนได้!
ในฐานะจ้าวพิภพการเก็บภาษีก็เป็นส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งไม่ใช่งั้นหรอ
“ท่านลุง!!”
เสียงที่ฟังดูไพเราะเสนาะหูกังวาลใสขึ้น จนไปถึงหูของซู่เสี่ยวไป่ เขาหันกลับมามองตามต้นเสียง ก็เห็นตั๋นไทไป่เฮ่ากำลังยิ้มร่าให้กับเขา พร้อมกับโบกมือน้อยๆ ไปมา ภาพนี้ทำให้ซู่เสี่ยวไป่รู้สึกอบอุ่นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
“ลูกไป่…”
ซู่เสี่ยวไป่พูดเบาๆ ก่อนจะเหาะลงไปหา
……
พริบตาเดียว ก็ผ่านไปหลายวันหลังจากเหตุการบุกรุกพิภพราชันย์
ในพิภพแห้งแร้ง ตอนนี้ดินแดนพฤษาเหล็ก และดินแดนราตรี ทั้งหมดกำลังนำกองทัพเข้าเผชิญหน้ากันในจักรวาลท่ามกลางดวงดาวมากมาย
เป็นสงครามระดับจักรพรรดิรู้แจ้ง
หากเทียบกับศึกที่เกิดขึ้นในพิภพราชันย์แล้วสงครามนี้ดูเล็กน้อยมาก แต่สำหรับพวกเขาเหล่านี้แล้ว เป็นการต่อสู้ที่ต้องแลกกันด้วยชีวิต และทุกอย่างที่มี!
“พวกสาระยำเอ๊ย! เจ้าบ้านั้นมันคิดอะไรอยู่ ถึงจะสู้กันที่นี่ใกล้ช่องมิติกาลเวลาแบบนี้?”
“หากพลาดพลั้งเพียงนิดเดียวได้โดนดูดเข้าไปในช่องมิติกาลเวลาแน่”
จักรพรรดิโกลาหลของดินแดนพฤษาเหล็กพูดขึ้น
ถึงปากจะบ่นด่า แต่ในแววตาของเขาที่จ้องมองเข้าไปในช่องมิติกาลเวลานั้นเต็มไปด้วยความกลัว
เขาเห็นกระแสมิติและกาลเวลาถูกดูดเข้าไปราวกับเป็นหลุมน้ำวนขนาดใหญ่ หากมีใครสักคนหลุดเข้าไปร่างนั้นได้แหลกละเอียดแน่
ช่องมิติกาลเวลานั้นได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกินอาณาเขตของดินแดนทั้งสองเข้าไป ทำให้เกิดศึกสงครามนี้ เพื่อพวกเขาจะแย่งชิงทรัพยากร และอาณาเขตกัน เพื่อชดเชยกับที่โดนช่องกาลเวลาดูดกลืนไป
แต่ไม่คิดว่าจะมาเปิดศึกกันตรงนี้ เหมือนจะเป็นแผนของผู้ปกครองดินแดนพฤษาเหล็กที่ต้องการสู้ที่นี่เพื่อกันไม่ให้ถูกยึดอาณาเขต
อย่างไรก็ตาม ทุกคนนั้นต่างรู้ดีว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายแค่ไหน และพวกเขาเลี่ยงที่จะเข้าใกล้เด็ดขาด เพียงแค่จ้องมองช่องมิติกาลเวลานี้ก็ทำให้พวกเขารู้สึกใจสั่นขึ้นมาแล้ว
เพราะกลัวว่าหากพวกเขากำลังจะหนีด้วยช่องมิติ อาจจะถูกช่องมิติกาลเวลานี้ดูดเข้าไปได้ และถูกบดเป็นก้อนเนื้อ!
“ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่!”
“บางที่ท่านมหาจักรพรรดิอาจจะรู้ว่าพวกเราไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือได้ เลยใช้ช่องมิติกาลเวลาในการสร้างข้อได้เปรียบในการต่อสู้ในครั้งนี้”
“แต่ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่จะได้เปรียบหรือเสียเปรียบจากการใช้ช่องมิติกาลเวลานี้”
“ช่างหัวช่องมิติกาลเวลา ตอนนี้ข้าพร้อมจะฆ่าพวกมัน—-”
หวูบ!!!
ก่อนที่จักรพรรดิอมตะจากดินแดนพฤษาเหล็กจะพูดจบ เกิดกระแสพลังมหาศาลแผ่ออกมาพร้อมกับรัศมีที่เจิดจ้าอย่างมากออกมาจากช่องมิติกาลเวลา มันได้สร้างความประหลาดใจให้กับกองกำลังจากทั้งสองดินแดนอย่างมาก แสงที่เจิดจ้าแผ่ออกมาเป็นวงกว้างปกคลุมไปทั่วบริเวณ
“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับช่องมิติ!!”
“ข้ามองไม่เห็ยอะไรเลย มันสว่างเกินไป!!”
“สัมผัสของข้าก็ตรวจจับอะไรไม่ได้แล้ว!! เร็วรีบป้องกันตัว!”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันหว่ะเนี่ย!!”
“ถอยก่อน!! ถอย!!”
…..
ทุกฝ่ายรีบถอยหนีทันทีด้วยความหวาดระแวง
หลังจากนั้นสิบวินาที แสงสีขาวที่สว่างจ้าก็จางลง
ทำให้สัมผัสรับรู้ทางจิตวิญญาณและการมองเห็นของทุกคนกลับมาเหมือนเดิม
คนแรกที่ฟื้นตัวเร็วที่สุดคือผู้ปกครองดินแดนราตรีกับดินแดนพฤษาเหล็ก
เมื่อพวกเขามองเข้าไปในช่องมิติกาลเวลาทั้งคู่ก็ต้องตกตะลึงจนแน่นิ่งไป ราวกับคนเห็นผีสางตอนกลางวัน
“นั่นมัน….อะไร”
ผู้ปกครองดินแดนราตรีถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ไม่ผิดแน่…มีใครสักคนกำลังออกมาจากช่องมิติกาลเวลา!!”
ผู้ปกครองดินแดนพฤษาเหล็กนั้นถึงกับนัยน์ตาเบิกกว้าง แววตาสั่นเทา
ถูกต้องแล้ว
พวกเขาไม่ได้ตาฝากพวกเขาเห็นร่างที่เปล่งแสงสีเงินออกมาจากช่องมิติกาลเวลา ตัวตนนั้นกำลังเดินก้าวออกมาราวกับเดินในสวนหลังบ้านไม่ได้รับผลกระทบของช่องมิติกาลเวลาเลยแม้แต่น้อย
ร่างแสงสีน้ำเงินนั้น รูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม รูปร่างไม่สูงใหญ่นักในปากของเขาคาบต้นหญ้าเอาไว้ แต่รัศมีที่เปล่งออกมาจากต้นหญ้าเพียงแค่ใช้ตาดูก็รู้ว่ามันต้องเป็นสมบัติวิเศษแน่นอน!
ตอนนี้มีเด็กหนุ่มในชุดสีเงินกำลังเดินออกมา พร้อมกับบิดขี้เกียจไปมา ราวกับว่าเบื่อหน่ายทุกอย่าง
เมื่อเห็นผู้ที่ออกจากช่องมิติกาลเวลาอย่างชัดเจนทั้งสองผู้ปกครองดินแดนรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล หางคิ้วของพวกเขากระตุกไม่หยุด
ก่อนที่วินาทีต่อมาร่างนั้นก็พุ่งกลับมาปรากฏตัวระหว่างสนามรบ
ผู้ปกครองดินแดนทั้งสองนั้นรีบพุ่งตัวออกไปทันที
“คาราวะผู้สูงส่ง”
“คาราวะผู้สูงส่ง”
ทั้งสองรีบคำนับให้อย่างนอบน้อมทันที และสั่นไปด้วยความกลัว
พวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเขตแดนของเด็กหนุ่มในชุดสีเงินนี้อยู่ในเขตแดนใด แต่เมื่อจ้องมองพวกเขารู้สึกเหมือนตอนที่จ้องมองช่องมิติกาลเวลา
และตัวตนนี้เดินอาดๆ ออกมาจจากช่องมิติกาลเวลาได้อย่างสบายๆ
นั้นแปลว่าเขาต้องแข็งแกร่งอย่างมาก
หากทั้งคู่เดาไม่ผิดอย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่ในเขตแดนบรรพชน!!