ตอนที่ 5 เสวี่ยเมิ่งหานที่บิดเบี้ยว?
เสวี่ยเมิ่งหานมองไปที่เจียงมู่และยิ้มจาง ๆ
“ไม่ต้องรีบร้อน จนกว่าประมุขเจียงจะดูแลนิกายหวู่โหย่วได้ก็ยังไม่สายเกินไป”
?
ทำไมข้าถึงถูกบอกให้ดูแลนิกาย?
ตามเนื้อเรื่อง เจ้าควรจะพูดท้าทายข้าว่า 'ข้าไม่ชอบเจ้า' ข้าจะไม่แต่งงานกับเจ้า'
บุคลิกที่ดื้อรั้นของเจ้าหายไปไหน?
เจียงมู่ เอ่ยราวกับจะเตือนนางว่า “เมิ่งหาน เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าอีกไหม”
"ไม่."
“คิดดูอีกที”
“อืม… ของขวัญวันเกิดของท่านราคาแพงมาก มันเสียเงินมากเกินไป”
เสียเงินมาเกินไป!
ให้ตายเถอะ หรือว่าบุคลิกของเสวี่ยเมิ่งหานก็บิดเบี้ยวด้วย?
เวรเอ้ย หยุดคิดเรื่องนี้ก่อน ข้าต้องทำให้เนื้อเรื่องเดินต่อ
“เพื่อเจ้า เมิ่งหาน ข้ายินดีที่จะทำทุกอย่าง เรามากำหนดวันแต่งงานเถอะ!”
“ประมุขเจียง ท่านควรมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูนิกาย ไม่ใช่ความรักแบบเด็กๆ เช่นนี้”
“เมิงฮั่น ตราบใดที่เจ้าแต่งงานกับข้า นิกายหวู่โหย่วทั้งหมดก็จะเป็นของเจ้า ทำไมเราไม่แต่งงานกันวันนี้เลยล่ะ!”
ข้ากล้าพอไหม?
สุนัขเลียตัวไหนที่กล้าล้มละลายเพื่อเลียบ้าง?
ไม่มีใช่มั้ย?
“ประมุขเจียงต้องล้อเล่น นิกายหวู่โหย่วของท่านมีความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ นิกายของท่านได้ขับไล่การรุกรานของสัตว์อสูรมาหลายครั้ง สมควรได้รับความเคารพจากใต้หล้า เช่นเดียวกับความทุ่มเทของบิดาและมารดาของท่าน เมิ่งหานไม่กล้าและไม่ควรเข้าไปยุ่ง”
“ข้าอนุญาตให้เจ้าเข้ามายุ่ง และหวังว่าเจ้าจะทำอย่างนั้น แต่งงานกันเถอะ!”
“ท่านประมุขเจียงล้อเล่นแล้ว”
“จริง ข้าชอบเจ้า แต่งงานกันเถอะ!”
“ท่านประมุขเจียงล้อเล่นแล้ว”
"แต่งงาน."
“ท่านประมุขเจียงล้อเล่นแล้ว”
"กลาย…"
“ท่านประมุขเจียงล้อเล่นแล้ว”
เชี่ยเอ้ย หัวของเจียงมู่กำลังลุกไหม้
เขาหยุดพูดและเดินตรงไปข้างหน้าจับใบหน้าที่งดยงามของเสวี่ยเมิ่งหาน
แล้วทำท่าจะประทับรอยจูบเข้าที่ริมฝีปากของเสวี่ยเมิ่งหาน
ว้าว!
ห้องโถงตกอยู่ในความโกลาหล
ไม่มีใครอยากเชื่อฉากตรงหน้า
ประมุขนิกายทำตัวดั่งเช่นนักเลงหัวไม้ในที่สาธารณะ?
ยังมีกฎหมายอยู่ไหม!?
เสวี่ยเมิ่งหานรู้สึกทึ่งกับการกระทำของเจียงมู่จนลืมผลักเขาออกไปครู่หนึ่งเพียงแค่จ้องมองไปที่ริมฝีปากที่กำลังใกล้เข้ามาอย่างโง่เขลา
เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ผลักข้าออกไปและบอกว่าเจ้าจะถอนหมั้นสิ!
เจียงมู่ เป็นห่วงนาง
เมื่อปากทั้งสองห่างกันเพียง 0.1 มม.
มีเสียงดังจากข้างหลังนาง
"หยุด!"
ใคร?
เจียงมู่ ปล่อย เสวี่ยเมิ่งหานและหันกลับไปมอง
อ้อ ข้าเกือบลืมเรื่องพระเอกคนนี้ไปเลย เขามาทันเวลาพอดี
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเสวี่ยเมิ่งหานเป็นอะไรและไม่ได้เล่นตามเนื้อเรื่องเดิม
แต่พระเอกอย่างหลิงอ่าวเทียนก็ยังทำตามเนื้อเรื่องเดิม
"เจ้าคือใคร?" เจียงมู่ เข้าไปสู่บทการละครทันทีและถามเขาด้วยสายตาที่หรี่ลง
“ข้า หลิงอ่าวเทียน!” หลิงอ่าวเทียน ก้าวไปข้างหน้าเปล่งรัศมีอันดุดันออกมา
เจียงมู่กอดอกและเชิดจมูกไปที่เขา
“หลิงอ่าวเทียน เจ้าคนบ้านนอกนี่มาได้ยังไง?”
“อื้ม ข้านึกออกแล้ว”
“ไม่กี่วันก่อนเมิ่งหานได้พบกับชายหนุ่มชุดดำในเทือกเขาสัตว์อสูร”
“ข้าคิดว่าชื่อหลิงเทียนอะไรนี่แหละ”
“งั้นเจ้าชื่อหลิงอ่าวเทียนสินะ?”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกและหยิ่งผยอง ราวกับว่าไม่สนใจ
“เป็นเล้าจื๊อเอง แล้วยังไงล่ะ” หลิงอ่าวเทียนตอบกลับอย่างเย็นชา
เจียงมู่ชี้ไปที่เขา “เมิ่งหานเป็นคู่หมั้นของเปิ้นจงผู้นี้! เจ้าคนบ้านนอกหากเจ้ากล้าเข้าใกล้นาง เปิ้นจงผู้นี้จะทำให้เจ้าเสียใจที่เกิดมาบนโลก!”( 本宗 เปิ้นจง เป็นคำเรียกแทนตัวเองของทายาทตระกูลขุนนางหรือนิกาย)
หลิงอ่าวเทียน พ่นลมหายใจ “คู่หมั้น? เจ้าเคยถามไหมว่าเมิ่งหานตกลงที่จะแต่งงานกับเจ้าหรือไม่? ไร้สาระ”
เจียงมู่พูดอย่างโกรธเคือง “ไม่ว่านางจะยอมแต่งงานกับเปิ้นจงหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า เจ้ามีสิทธิอะไรถึงมายุ่ง!?”
หลิงอ่าวเทียน ยังคงหัวเราะเยาะ “เมิงฮั่นเป็นผู้หญิงของเล่าจื๊อ แล้วเจ้าคิดว่าเล่าจื๊อมีสิทธิไหม?”
“สวะ รนหาที่ตาย!!!”
เจียงมู่โกรธจัด ดวงตาที่จ้องมองไปที่หลิงอ่าวเทียนราวกับกำลังลุกไหม้
หลิงอ่าวเทียนหรี่ตาและจ้องไปที่เจียงมู่ที่โกรธจัดในขณะที่เขาเยาะเย้ยอย่างชั่วร้ายและกล่าวว่า
“เป็นเพียงประมุขเลวทรามของนิกายที่ตกต่ำ”
“ระดับการฝึกตนก็อยู่เพียงขอบเขตรวบรวมวิญญาณ แถมเจ้ายังยกระดับขอบเขตด้วยการกินโอสถ”
“ขยะอย่างเจ้าจะทำให้เมิ่งหานมีความสุขได้อย่างไร”
“วันนี้เจ้าจะต้องถอนหมั้นกับเมิ่งหาน!”
“มีเพียงข้า หลิงอ่าวเทียน เท่านั้น ที่สามารถมอบทุกสิ่งที่นางต้องการ!”
“และเจ้า เจียงมู่ ไม่คู่ควร!”
หลังจากพูดจบ เขาก็ตั้งท่าต่อสู้และชี้นิ้วไปที่เจียงมู่
เจตนาคือการยั่วยุอย่างชัดเจน
“อ๊ะๆๆๆ ประมุขผู้นี้ต้องการให้เจ้าตาย!!!”
เจียงมู่คำรามราวกับคนบ้าที่เสียสติ และพุ่งเข้าใส่หลิงอ่าวเทียนอย่างบ้าคลั่ง
หลิงอ่าวเทียน ไม่ได้แสดงความอ่อนแอใด ๆ และระดมพลังปราณเพื่อปะทะกับเขาตรงๆ
บูม บูม บูม!
ทั้งสองฝ่ายยกกำปั้นขึ้นและโจมตีใส่กันอย่างดุเดือด แทบจะไม่ป้องกันตัวเอง หมัดของพวกเขากระแทกใส่ร่างของฝ่ายตรงข้าม
เมื่อฝูงชนเห็นดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มกระซิบกระซาบ
บ้างก็ว่าควรพูดว่าสันติเป็นสิ่งสำคัญและควรหยุดพวกเขา
บางคนกินแตงโมและดูอย่างสนุกสนาน
คนอื่นๆ ก็มองดูการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสอง
อย่างที่รู้กันดีว่าดินแดนฉางหลิงเคารพศิลปะการต่อสู้และมีขอบเขตการฝึกตน 6 ขั้น
รวบรวมวิญญาณ, ทะเลปราณ, หวนคืนสู่ต้นกำเนิด, หลอมสุญตา,แดนสุญตา และเทพยุทธ
พวกเขาสามารถมองออกว่า
ขอบเขตการฝึกตนของหลิงอ่าวเทียนเหมือนกับของเจียงมู่ พวกเขาอยู่ในขอบเขตรวบรวมวิญญาณ
แต่เจียงมู่เป็นถุงฟางที่มีชื่อเสียง (ถุงฟาง หมายถึง คนไร้ความสามารถ)
ระดับการฝึกตนขอบเขตรวบรวมวิญญาณทั้งหมดของเขานั้นได้มาจากการกินโอสถไปเป็นจำนวนมาก และเขาไม่สามารถแม้แต่จะเอาชนะผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมวิญญาณธรรมดาได้
เขาอ่อนแอมาก
ในทางกลับกัน หลิงอ่าวเทียน แตกต่างออกไป
แม้เขาจะอยู่ที่ขอบเขตรวบรวมวิญญาณเช่นกันแต่พลังที่เขาแสดงออกมาอาจเทียบได้กับขอบเขตทะเลปราณ!
ดังนั้น.
ไม่มีการสงสัยผลการต่อสู้ครั้งนี้
แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นหลิงอ่าวเทียนที่จัดการเจียง ….. เอ๊ะ?
อะไร!
พวกเขาสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ