SN-ตอนที่ 37 เคลียร์ภารกิจทดสอบ (3)
“นี่มันเยี่ยมมาก ตอนนี้ฉันสามารถมองเห็นผ่านความมืดได้อย่างชัดเจน” ไดนาไมท์ เกิร์ล กล่าวพูดขณะที่เธอเดินผ่านทางเดินแคบ ๆ ของถ้ำ ที่ไม่มีแสง โดยภายในมีเพียงเสียงของหยดน้ำที่หยดลงมาจากหินย้อยของเพดานถ้ำเท่านั้น “ฉันไม่แม้แต่จะต้องใช้แว่นตามองกลางคืนอีกต่อไป”
“เจ้าควรจะรู้สึกขอบคุณนายท่านที่ได้มอบร่างกายที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ให้” วาเลร่า กล่าวออกมา “เห้อ เมื่อเทียบกับร่างกายที่เปราะบางของมนุษย์แล้ว หากต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพียงแค่ถูกแทงที่อวัยวะเล็กน้อย ก็จะได้รับบาดเจ็บ และ เลือดก็จะไหลออกมา สิ่งนี้ไม่ต่างไปจากการสูญเสียพลังชีวิตไปโดยตรง”
“อีกอย่าง เพียงแค่กระดูกหักเล็ก ๆ ก็ยังต้องป้องกันไม่ให้เคลื่อนไหวเกินความจำเป็น และ แม้ว่าจะได้รับการรักษาก็ต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนเพื่อรักษาแม้แต่รอยร้าวที่เล็กที่สุด”
“โดยรวมแล้วมันค่อนข้างเปราะบางอีกทั้งยังอ่อนแอ”
“นี่ เธอจะพูดแบบนั้นมันก็เกินไป” ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้ตอบกลับ “ย้อนกลับไปก่อนที่มนุษยชาติจะได้รับการวิวัฒ แน่นอนว่าพวกเราเคยเป็นแบบนั้น แต่หลังจากที่กลายเป็นผู้วิวัฒ มันก็ได้แตกต่างออกไป พวกเราบางคน สามารถต่อต้านอาการบาดเจ็บแม้จะมีรูขนาดใหญ่ที่หน้าอกได้ แม้กระทั่งพวกเราบางคนยังสามารถรักษาอาการบาดเจ็บที่ร้ายแรงที่สุดได้ภายในไม่กี่วินาที”
“แต่เมื่อเทียบกับร่างที่ทรงพลังนี้เจ้าไม่เห็นหรือว่ามันแตกต่างกันขนาดไหน?” วาเลร่า ได้ตอบกลับ “เพราะนี่คือร่างที่ไม่เคยหิว ไม่เหน็ดเหนื่อย และ ไม่เกรงกลัวสิ่งใด”
ไดนาไมท์ เกิร์ล ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักครู่และกล่าวออกมา “นั่นมันก็ถูก เมื่อเทียบกันแล้ว ร่างนี้ค่อนข้างดีกว่าอย่างแท้จริง”
“ใช่แล้ว” วาเลร่าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เพื่อที่จะเข้าสู่อ้อมกอดนิรันดร์ของนายท่านและรับฟังคำสั่งของเขา - ไม่มีอัศวินคนไหนที่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว!”
“เอ่อ ฉันเกือบลืมไปว่าเธอชอบเขา” ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้พูดขึ้น
“จะ—เจ้าว่าอะไรนะ?” วาเลร่า หยุดพูดด้วยความเขินอายทันที
“ช้าก่อน!” ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้วิ่งไปข้างหน้าของ วาเลร่า และ ยื่นมือออกไปขวางด้านหน้าของเธอ อีกทั้งฝ่ามือของเธอยังจุดประกายไฟสีส้มก่อนที่จะปล่อยพลังระเบิดออกมาจนทำให้ถ้ำนั้นสว่างไสว
ทันใดนั้น เสียงของ ของเหลวที่เผชิญหน้ากับความร้อนระอุ ก็ได้ระเหยขึ้นไปในอากาศ
จากนั้นพวกเธอก็พบเศษซากของชิ้นส่วนเขียวที่เหนียวหนืดกระจายอยู่พื้นที่โดยรอบถ้ำหิน
“พวกนี้คือ?” ไดนาไมท์ เกิร์ล กล่าวออกมาและพบว่าทางเดินเหล่านี้เต็มไปด้วยเมือกสีเขียวที่เป็นสารละลายทันที
โดยเสียงสะท้อนของพวกเธอได้ดังไปทั่วถ้ำ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะระบุว่าพวกเมือกเหล่านี้จะมาจากทางไหน
“ตรงนั้น” วาเลร่า ชี้ไปที่รูบนเพดานที่สไลม์ได้ทำการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว “ข้ามีทักษะเชิงตรวจจับที่ทำให้ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามล่วงหน้า แต่เป็นเพราะว่าข้าฟุ้งซ่านเกินกว่าที่จะป้องกันตัวเองได้ทัน” จากนั้นเธอก็ยกโล่ขึ้นมาตรงหน้าและกล่าวพูดต่อ “ข้าขอโทษ!”
“ไม่หรอก มันเป็นเพราะว่า หัวหน้าก็ได้อธิบายไว้ก่อนแล้วว่าสิ่งที่พวกเราต้องเผชิญก็คือสไลม์ ว่าแต่เธอรู้ไหมว่าสไลม์ที่เป็นเป้าหมายนี่อยู่ที่ไหน?” ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้ตอบกลับ
“อืม ข้ารู้ดีเลย และ รู้ว่าจะต้องใช้เส้นทางไหนเพื่อไปถึงตัวมัน เพราะมันซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกสุดของถ้ำหลัก ยิ่งพวกเราอยู่ในเส้นทางเหล่านี้นานเท่าไหร่ โอกาสที่เมือกเหล่านี้จะโจมตีเหล่าจากมุมต่าง ๆ ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น” วาเลร่า ได้ตอบกลับ
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็เร่งมือกันเลยเถอะ รีบพาฉันไปหาเจ้าลูกบอลสไลม์ตัวนั้น จากนั้นฉันจะได้เป่ามัน แน่นอนว่าฉันจะเหลือพื้นที่จัดการไว้เผื่อเธอด้วย” ไดนาไมท์ เกิร์ล กล่าวออกมา
“ข้าค่อนข้างชื่นชอบความคิดนี้” วาเลร่า ได้ตอบกลับ
แกร๊ก!
ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้หักคอของเธอไปมาและยิ้มทันที “เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเลย!”
วาเลร่า ได้เดินไปข้างหน้า ในขณะที่มี ไดนาไมท์ เกิร์ล เดินตาม โดยระหว่างทางก็มีการโจมตีของพวกตัวเมือก 2-3 ตัวพุ่งออกมา แต่พวกมันก็ได้ถูก วาเลร่า ป้องกันเอาไว้ด้วยโล่ของเธอ และ ในเวลาเพียงไม่กี่นาที พวกเธอทั้ง 2 ก็ได้เข้าสู่พื้นที่ถ้ำหลัก ที่เป็น เวทีวงกลม และ ตรงกลางก็มีสไลม์ยักษ์อยู่
สไลม์ตัวนี้มีลักษณะเป็นของเหลวสีเขียวที่มีฟองจำนวนมากและมีดวงตาสีเหลืองกลมหลายดวงห้อยอยู่ภายในของเหลว โดยพวกมันคล้ายกับดวงตาที่จ้องเขม็ง แต่ถึงแม้ว่าสไลม์จะดูอ่อนแอ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ
แต่ทว่าขนาดตัวของมันก็สูงใหญ่กว่า 6 เมตร โดยมันมีขนาดใหญ่มากพอที่จะกลืนรถทั้งคันเข้าไปได้เลย ในเวลานี้ มันได้ตอบสนองต่อการบุกรุกของ วาเลร่า และ ไดนาไมท์ เกิร์ล โดยการยิงกระสุนเมือกออกไป
“หลบข้างหลังข้า!” วาเลร่า ได้กระแทกโล่ไปด้านหน้าและร่ายทักษะ [Bone Guard] ทำให้กระดูกได้งอกออกมาจากโล่ของเธออย่างรวดเร็ว โล่กระดูกนี้ แม้ว่าจะโดนกระสุนเมือกที่มีฤทธิ์เป็นกรดเข้าไป มันก็ไม่เป็นอะไร
แต่สไลม์ยักษ์ไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ มันได้พุ่งออกไปเป็นแนวตรงทันที ร่างขนาดใหญ่ของมันได้พุ่งชนเข้ากับโล่กระดูกอย่างรุนแรง
วาเลร่า ได้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อยันกระแสเมือกเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง “ยิ่งเข้าใกล้มันก็ยิ่งทำให้ข้าเสียเปรียบ! ข้าไม่สามารถจัดการมันด้วยการโจมตีทางกายภาพได้ ที่เหลือต้องฝากเจ้าแล้ว!”
“ให้เป็น หน้าที่ของฉันเอง” ไดนาไมท์ เกิร์ลได้ตอบกลับ จากนั้นเธอก็เร่งการไหลเวียนของเลือดไปสู่ผลผลิตที่ปลอดภัยที่สุด โดยหัวใจของเธอได้เริ่มเต้นอย่างรวดเร็ว ราวกับเครื่องปฏิกรขนาดเล็ก สิ่งนี้มันทำให้เส้นเลือดของเธอได้กลายเป็นสว่างวาบไปด้วยพลังงานสีส้ม แม้แต่เส้นเลือดในดวงตาของเธอก็ส่องแสงสีส้มออกมาเช่นเดียวกัน “ทันทีที่เธอเปิดโอกาส ฉันจะลบไอ้สารเลวนี่ออกไปจากดาวดวงนี้ในทันที”
“ตอนนี้แหล่ะ!” วาเลร่า ได้ก้าวไปอีก 2-3 ก้าว จนกระทั่ง ใช้โล่โครงกระดูกที่ห่อหุ้มไปด้วย [Bone Guard] ผลักอีกฝ่ายออกไป
ทันใดนั้น ไดนาไมท์ เกิร์ล ก็ปลดปล่อยการโจมตีออกมาโดยการปล่อยประกายไฟระเบิดพุ่งโจมตีใส่ร่างของสไลม์ยักษ์
สไลม์ยักษ์มีปฏิกิริยาตอบโต้โดยฉับพลัน โดยมันได้เลื้อยไปมาและพยายามพุ่งเข้าไปหา ไดนาไมท์ เกิร์ล แทน
แต่ ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้เหวี่ยงแขนของเธอเป็นแนวโค้ง และ มันทำให้จุดประกายสีส้มได้ส่องระยิบระยับ และ เมื่อมันเข้าไปโดนเมือกของสไลม์ยักษ์มันก็จุดประกายระเบิดทันที
หลังจากได้โอกาส ไดนาไมท์ เกิร์ล ก็กระโดดขึ้นไปในอากาศและลอยตัวอยู่เหนือศีรษะของ สไลม์ยักษ์
“บังเกอร์บัสเตอร์!” จากนั้น ไดนาไมท์ เกิร์ล ก็ปรบมือเข้าหากันโดยการปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเธอ
วาเลร่า สัมผัสได้ถึงอันตรายโดยสัญชาตญาณ ดังนั้น เธอจึงได้ยกโล่ขึ้นเพื่อป้องกันและหลบไปข้างหลัง
การระเบิดนี้รุนแรงเป็นอย่างมาก และ มันก็ได้ส่งเสียงที่ดังแสบแก้วหูออกมา จนทำให้ทั้งถ้ำนั้นสั่นสะเทือน แม้แต่ หินย้อยบนเพดานถ้ำก็เริ่มตกลงมาราวกับห่าฝน
วาเลร่า สัมผัสได้ถึงคลื่นกระแทกที่กระทบเข้ากับร่างของเธอ ดังนั้น เธอจึงได้ใช้พละกำลังอันมหาศาลเจาะลงไปในพื้นดิน แต่ถึงกระนั้นแรงสะท้อนก็ยังผลักเธอถอยกลับไปมากกว่า 10 เมตร โดยเธอได้มองผ่านโล่ของเธอด้วยความชื่นชม
ปล่องควันสีดำพลันปรากฏขึ้นในพื้นที่ที่สไลม์ยักษ์เคยอยู่ แม้แต่เพดานบางส่วนก็ยังถล่มลงมาภายใต้แรงระเบิดในครั้งนี้
“ไง ยังคิดที่จะปล่อยพวกเมือกกรดบ้า ๆ นั่นใส่พวกเราอีกมั้ย!” ไดนาไมท์ เกิร์ล กล่าวพูดขณะที่เธอผละตัวออกมา โดยร่างของเธอได้ปรากฏรอยฟกช้ำไปทั่วทั้งตัว ถึงแม้ว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บ แต่เธอก็เผยรอยยิ้มกว้างขึ้นบนใบหน้า
ในเวลานี้ เธอได้ล้มลงกับพื้น และ มองไปที่ ปล่องควันที่เจาะลึกลงไปหลายเมตรที่เต็มไปด้วยกลุ่มควันจากการระเบิดเมื่อครู่นี้
วาเลร่า ได้กระโดดเข้าไปหา ไดนาไมท์ เกิร์ล อย่างรวดเร็วและป้องกันการโจมตีที่พุ่งเข้าหาอย่างฉับพลันก่อนที่จะช่วยพยุงไหล่ของเธอขึ้นมา
“ได้ไงกัน?” ไดนาไมท์ เกิร์ล กล่าวขณะที่เธอยืนขึ้น
“มันยังไม่ตาย” วาเลร่า กล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปพร้อมกับโล่ของเธอ ก่อนที่จะเอื้อมมือออกไปคว้าจับเอาหินมรกตขนาดเท่ากับลูกแตงโมออกมา นี่ก็คือแกนกลางของสไลม์ จากนั้นเธอก็โยนมันลงไปบนพื้นและทบุมันด้วยโล่ของเธอเอง
แกนสีเขียวที่แต่เดิมเรืองแสงมัน ความสว่างของมันก็ได้พลันหายไป และ ภายในแกนสีเขียว ก็มี - ดวงตาแห่งอาซอธ ตกลงมา
“เห้อ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉัน” ไดนาไมท์ เกิร์ล กล่าว “เจ้าสิ่งเมื่อครู่นี้มันเกือบทำให้ใบหน้าที่สวยงามของฉันต้องเป็นแผลแล้ว”
“ใบหน้าที่สวยงาม? เอาเถอะ ข้าขี้เกียจที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าแล้ว ยังไงเจ้าก็ช่วยข้าไว้ก่อนหน้านี้ ข้าเองก็รู้สึกขอบคุณเจ้าเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไร เจ้าก็แข็งแกร่งมากทีเดียว”
“การที่พลังการโจมตีของเจ้าเพียงพอที่จะจัดการ ไจแอนท์สไลม์ เลเวล 15 ได้ในการโจมตีเดียว สิ่งนี้มันก็เป็นการพิสูจน์พลังของเจ้าแล้ว”
“และเมื่อคิดถึงพลังการทำลายล้างแบบหมู่ด้วยแล้ว ข้าชักจะเริ่มชื่นชอบเจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ” วาเลร่า ได้ตอบกลับ
“ฉันคิดว่าแขนของฉันนั้นหักรวมไปถึงซี่โครงเลย” ไดนาไมท์ เกิร์ล กล่าวออกมา จากนั้นเธอก็เอามือแตะหน้าอกเพื่อปิดการใช้พลังของเธอ มันทำให้ หัวใจของเธอนั้นหยุดส่องแสง “ก่อนหน้านี้หลังจากใช้พลังฉันยังเกือบมีอาหารหัวใจวายอยู่เลย แต่ตอนนี้มันไม่มีอะไรที่จะกวนใจฉันอีกต่อไปแล้ว”
“เธอพูดถูก การเป็นอันเดด ก็มีประโยชน์ในตัวของมัน และ ฉันคิดว่าฉันสามารถพัฒนาพลังของฉันไปสู่อีกระดับนึงได้”
“ถูกต้อง และ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมีชีวิตนิรันดร์ ลองนึกสภาพว่าเจ้าได้มีชีวิตอย่างนิรันดร์ไปพร้อมกับคนที่เจ้ารับใช้ มันไม่มีพรใดประเสิรฐไปมากกว่านี้อีกแล้ว” วาเลร่า ได้สะบัดกรดออกจากโล่กระดูกของเธอ จากนั้นเธอก็กล่าวออกมา “ตอนนี้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากนายท่านก็ถือว่าสำเร็จลุล่วงแล้ว”
“ทำได้ดีมากทั้ง 2 คน” อัลดิช กล่าว ขณะที่เดินเข้าไปในถ้ำพร้อมกับกองทัพอันเดดที่อยู่เบื้องหลังเขา
“นายท่าน นี่คือดวงตาแห่งอาซอธ” วาเลร่าได้คุกเข่าลงต่อหน้าอัลดิช และ เงยหน้าขึ้นมอง
อัลดิช มองดูสิ่งของขนาดเท่าลูกเบสบอลที่เหี่ยวย่นในมือของ วาเลร่า ด้วยสิ่งนี้ เขาจะสามารถสร้างอาวุธที่ทรงพลังที่สามารถนำพาเขาไปสู่ภารกิจทดสอบขั้นที่ 2 และ อาจถึงขั้นที่ 3 ด้วยซ้ำ
“ขอบคุณทุกคนมาก” อัลดิช กล่าวออกมา “ทุกคนทำได้ดีกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก”
อัลดิช ได้จับ ดวงตาแห่งอาซอธและเก็บมันเข้าช่องเก็บของ ของเขา
[1x ได้รับ ดวงตาแห่งอาซอธ]
[กำจัด 1x ไจแอนท์สไลม์เขียว!]
[+150 EXP]
[แถบ EXP: 620/1200 > 770/1200]
จากนั้น อัลดิช ก็จับมือวาเลร่าให้เธอลุกขึ้นยืนทันที
“พวกเรายังต้องสู้กันอีกจำได้ไหม?” อัลดิช กล่าวออกมาพร้อมกับจ้องมองไปที่ตัวจับเวลาที่เหลือ 30 นาที “ดังนั้นนี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาคุกเข่า”
จากนั้น อัลดิช ก็มุ่งหน้าไปที่ตรงหุบตรงมุมถ้ำและเคาะมันด้วยไม้เท้าของเขาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ได้รับชิ้นส่วนหัวของชุดเซ็ท [เกรฟริปเปอร์]
[1x ได้รับชิ้นส่วนหัวของชุดเซ็ทเกรฟริปเปอร์]
อัลดิช มองไปที่เหล่าอันเดดของเขา โดยธรรมชาติแล้วพวกมันกำลังรอรับฟังคำสั่งของเขาอยู่ แม้แต่ กีสต์ ก็จ้องมองมาที่เขาอย่างมีความหวังเช่นเดียวกัน ทางด้าน ไดนาไมท์ เกิร์ล เธอได้ยืนกอดอกรอ ส่วน วาเลร่า เธอก็รีบจับมือของอัลดิชไว้อย่างโหยหา
โดยทั่วไปแล้ว ทุกคนอยู่ในสถานะที่พร้อมที่จะสู้ต่อได้ และ [กลิ่นอายแห่งความตาย] ของอัลดิช ก็กำลังรักษาความเสียหายที่พวกเขาได้รับ
“การต่อสู้ศึกสุดท้ายนี้จะเป็นการต่อสู้ที่ยากที่สุดของภารกิจนี้ มันคือการต่อสู้กับบอสลับ” อัลดิช กล่าวออกมา “ส่วนเหตุผลที่ฉันรักษาพลังชีวิตและมานาเอาไว้ ก็เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเผชิญหน้าสิ่งนี้”