SN-ตอนที่ 36 เคลียร์ภารกิจทดสอบ (2)
บิ๊กอาร์ม ได้ปล่อยเสียงคำรามออกมาดังลั่นขณะที่มันพุ่งเข้าไปในค่ายทั้ง 4 โดยมันได้ง้างกรงเล็บของมันพร้อมกับบุกโจมตีพร้อมกับ อัลฟ่าสไตร์เกอร์
โทรลล์ทั้ง 7 ต่างมองไปที่ บิ๊กอาร์ม และ อัลฟ่าสไตร์เกอร์ พวกมันได้ส่งเสียงคำรามจากนั้นก็พุ่งเข้าหาทั้ง 2 ตัวด้วยความมั่นใจ
“ได้เวลาลงไปช่วยเพื่อนแล้ว” อัลดิช ได้หย่อน กีสต์ ลงไปอย่างมีกลยุทธ์
“เคะ!” กีสต์ ส่งเสียงออกมาขณะที่มันม้วนตัวเพื่อลดความเสียหายจากการตกและร่วงลงมาราวกับปืนใหญ่ โดยมันได้กระแทกเข้าใส่ โทรลล์ จนบดขยี้กะโหลกศีรษะของ โทรลล์ ตัว 1 จนเละ และ จากนี้ก็ทำให้โทรลล์อีกหลายตัวกระเด็นไปข้างหลัง และ พวกมันก็ประหลาดใจกับการปรากฏตัวของกีสต์
การปรากฏตัวขึ้นของ กีสต์ ทำให้ โทรลล์ เหล่านี้คำรามออกมา และ ในตอนนี้ โทรลล์ 3 ตัว ก็พุ่งเข้าใส่ กีสต์ ในขณะที่อีก 3 ตัว ได้พุ่งเข้าใส่ บิ๊กอาร์ม กิซลี่ และ อัลฟ่าสไตรเกอร์
ส่วน อัลดิช เขาไม่ได้ทำการช่วยเหลือ เพราะเขาต้องรักษาค่าพลังชีวิตและมานาไว้ให้มากที่สุด
บิ๊กอาร์มกิซลี่ ได้พุ่งชนเข้ากับโทรลล์และระเบิดพลังการทุบออกมา มันได้ส่งโทรลล์ก้าวถอยหลังออกไป จากนั้น บิ๊กอาร์มกิซลี่ ก็กระโดดเข้าใส่โทรลล์อีกตัวและใช้แขนของมันทุบไปที่ศีรษะของโทรลล์อย่างทารุณ
ทางด้าน อัลฟ่าสไตรเกอร์ ที่ยืนอยู่ระหว่าง บิ๊กอาร์มกิซลี่ และ โทรลล์ตัวที่ 3 มันก็ได้ปลดปล่อยความสามารถของคลื่นกระแทก เพื่อกระแทกใส่โทรลล์อีกตัว จากนั้นมันก็ไปช่วยเหลือ บิ๊กอาร์มกิซลี่ เพื่อไล่ต้อนโทรลล์ที่ถูกโจมตีอยู่ โดยการกัดไปที่ลำคอของมันอย่างรวดเร็ว
“เคะเคะ” กีสต์ที่เห็นฉากที่เกิดขึ้น มันได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาและเล่นกับพวกโทรลล์เหล่านี้ราวกับว่ากำลังเล่นกับของเล่น
บิ๊กอาร์มกิซลี่ หลังจากที่ใช้แขนขนาดใหญ่ของมันจัดการกับโทรลล์ได้แล้วมันก็โยนศพของโทรลล์ที่ไม่มีหัวเข้าไปในกองไฟ
ส่วน อัลฟ่าสไตรเกอร์ ก็ได้ส่งเสียงร้องแหลม และ พยายามที่จะฉีกกระชากคอของโทรลล์อีกตัวออก
ทว่าก่อนที่ อัลฟ่าสไตรเกอร์ จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ บิ๊กอาร์มกิซลี่ ก็ได้พุ่งไปข้างหน้า และ ปัดไปที่ศีรษะของโทรลล์ โดยแขนขนาดใหญ่ของมันได้ตบศีรษะของโทรลล์จนบินลอยไปทันที
สิ่งนี้ทำให้ร่างของ อัลฟ่าสไตร์เกอร์ได้หลุดออกมา ทว่าหลังจากผ่านไปไม่นาน พลังการฟื้นฟูของโทรลล์ก็เริ่มแสดงออกมาให้เห็น
บิ๊กอาร์มกิซลี่ และ อัลฟ่าสไตรเกอร์ ต่างพยายามด้วยกันเพื่อที่จะลากโทรลล์เข้าไปในกองไฟก่อนที่มันจะฟื้นฟูจนเสร็จสมบูรณ์
ส่วน กีสต์ มันก็ได้ทำลายสมองของโทรลล์ที่เหลืออีก 2 ตัวทั้งหมด
แม้ว่าจะถูกกลุ้มรุมแต่ด้วยพลังของกีสต์มันกลับสามารถเอาชนะโทรลล์พวกนี้ได้อย่างง่ายดาย
หลังจากที่บดขยี้สมองของโทรลล์แล้ว กีสต์ก็ได้ก้มศีรษะลงและลากร่างของโทรลล์โยนเข้าไปในกองไฟ
ในเวลานี้โทรลล์ตัวแรกที่ฟื้นฟูเสร็จ มันได้พุ่งเข้ามาและใช้กระบองโจมตีไปที่ด้านหลังของ กีสต์
เพียงแต่ว่าประสาทสัมผัสของกีสต์นั้นไวมาก มันได้หันหลังกลับมาและชกเข้าไปที่ร่างของโทรลล์อย่างรุนแรงจนแขนของมันนั้นทะลุร่าง จากนั้นมันก็อุ้มร่างของโทรลล์ก่อนที่จะโยนมันเข้าไปในกองไฟอย่างรวดเร็วพร้อมกับแขนของมัน
แขนที่หลุดไปของกีสต์ได้งอกออกมาใหม่ภายในช่วงเวลาไม่กี่วินาที
[กำจัด x7 เกรย์โทรลล์!]
[+280 EXP]
[กำจัด x1 หัวหน้าเผ่าเกรย์โทรลล์!]
[+100 EXP]
[แถบ EXP: 240/1200 > 620/1200]
“พวกนายทำได้ดีมาก” อัลดิช กล่าวพูดขณะที่เขาสั่งให้อัลลอยด์อีเกิ้ลพาเขาลงไปที่ค่าย โดย กลิ่นไหม้เกรียมได้ลอยอบอวลไปทั่วอากาศ “พวกโทรลล์ตายหมดแล้ว ถ้าพวกนายต้องการกินเนื้อมัน ก็ทำให้พวกมันปรุงสุกก่อนกินจะดีกว่า”
บิ๊กอาร์มกิซลี่,อัลลอยด์อีเกิ้ล และ อัลฟ่าสไตรเกอร์ ทั้งหมด ต่างนำซากศพของโทรลล์ที่กำลังลุกไหม้ออกมาและเริ่มกินพวกมัน
จากนั้น อัลดิช ก็เข้าไปในเต็นท์ของหัวหน้าเผ่าโทรลล์โดยมี กีสต์ ยืนอยู่ข้างหลังของเขา ในเวลานี้ เขาพบร่างของหัวหน้าเผ่าโทรลล์ที่นอนปวกเปียกอยู่บนพื้น โดยหัวของมันได้ปรากฏอาการเน่าเปื่อย หลังจากถูก โครงกระดูกโจรแทงเข้าไปที่ศีรษะหลายครั้งโดยที่มีตะขาบยักษ์คอยจับเอาไว้
“เอาล่ะ ฉันรู้ว่าพวกอันเดดนั้นไม่รู้สึกเหนื่อย แต่ว่าเจ้าตัวนี้มันได้ตายไปแล้ว” อัลดิช กล่าว “ออกมาจากศพซะ เจ้าตัวนี้แข็งแกร่งพอที่จะนำเข้ามาในฝูงของพวกเราได้”
โครงกระดูกโจรพยักหน้าและโค้งคำนับให้ก่อนจะเดินออกมา ส่วนตะขาบยักษ์ก็ปลดขาของมันออกและคลานไปด้านข้าง
“จงตื่น!” อัลดิช กล่าวขณะที่เขาดีดนิ้ว
ทันใดนั้นร่างของหัวหน้าเผ่าโทรลล์ก็สั่นก่อนที่จะคุกเข่าลงและลุกขึ้นยืน มันถือเป็นยูนิตขนาดใหญ่ที่มีความสูงมากกว่า 3 เมตร และ สูงกว่ากีสต์เล็กน้อย
[1x อันเดด (หัวหน้าเผ่าเกรย์โทรลล์) ฟื้นคืนชีพ]
[ยูนิตที่ควบคุมได้ : 15/18 > 16/18]
อัลดิช หวังว่าหัวหน้าเผ่าโทรลล์จะทิ้งพวกวิญญาณเอาไว้หลังจากฟื้นคืนชีพ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะโชคไม่ดี ทว่าการได้เห็นสิ่งของที่เขาอยากได้อยู่ทางด้านหลังของหัวหน้าเผ่าโทรลล์มันก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาก
นี่คือหีบไม้อีกใบ อัลดิช ได้เดินเข้าไปและเปิดกล่องนี้เพื่อรับชิ้นส่วนชุดเซ็ท ส่วน ร่างกาย และ ส่วนเอว ของเซ็ท [เกรฟรีปเปอร์]
และก็ยังมี - อัลดิช มองไปที่ขวานหินต้องสาปที่หัวหน้าเผ่าโทรลล์ใช้ ตามปกติแล้ว ไอเทมจะไม่ดรอปหลังจากที่โทรลล์ตายและจะจางหายไปพร้อมกับศพของมัน
แต่ทว่าของสิ่งนี้กลับตกลงมาบนพื้น และ ดูเหมือนว่าอาวุธที่พวกมอนสเตอร์ใช้จะไม่ได้หายไปเหมือนกับในเกม Elden World
อัลดิช ได้เคาะมันด้วยไม้เท้าของเขา และ ตระหนักว่าเขาสามารถเก็บมันได้ โดยขวานนี้ได้กลายเป็นอนุภาคสีเขียวและไหลเข้าไปในช่องเก็บของ ของเขา
[ได้รับ 1x ขวานหินต้องสาป]
นี่เป็นการค้นพบที่ยอดเยี่ยม
อัลดิช ไม่สามารถใช้มันได้ เพราะเขาไม่ได้มีค่าความแข็งแกร่งเท่าที่จำเป็น แต่วาเลร่านั้นสามารถใช้งานได้ ด้วยความสามารถในการโจมตีของเธอ พร้อมกับโล่โครงกระดูก มันจะทำให้เธอสามารถสร้างความเสียหายและป้องกันได้เป็นอย่างดี
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณสมบัติของขวานที่สามารถสร้างคำสาปให้กับผู้ถูกโจมตีได้ โดยมันจะร่ายเอฟเฟกต์ตายทันทีให้กับผู้ที่มีพลังชีวิตสูงสุดต่ำกว่า 10%
แน่นอนว่า เอฟเฟกต์ตายทันทีนี้สามารถต้านทานได้ด้วยค่าสถานะเวทย์มนตร์ที่สูงมากพอ แต่ในโลกแห่งความจริงใครบ้างจะสามารถใช้เวทย์มนตร์ได้นอกจากอัลดิช?
นี่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครสามารถต้านทานผลกระทบนี้ได้อย่างแน่นอนหรอกเหรอ?
ตอนนี้ อัลดิช เริ่มสามารถกำหนดแผนการจัดการกับ เซ็ท โซลาร์ ได้แล้ว
[กลิ่นอายแห่งความตาย] ของ อัลดิช สามารถลดพลังชีวิตเป็นเปอร์เซ็นต์ของพลังชีวิตในปัจจุบัน และ หลังจากที่เคลียร์ภารกิจทดสอบแล้ว [กลิ่นอายแห่งความตาย] ก็จะเพิ่มระดับขึ้นเช่นเดียวกัน โดยมันจะทำงานเป็นแบบแอ็คทีฟที่เพิ่มอัตราการดูดพลังชีวิต
เพียงแต่ว่า เซ็ท โซลาร์ ก็มีความทนทานเป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่าร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งดั่งหินผา
และในหมู่ยูนิตของ อัลดิช ยังไม่มีใครที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเขาได้
แต่บางที ถ้าเขาสามารถขัดขวาง เซ็ท โซลาร์ ได้ และ ปล่อยให้พลังชีวิตของอีกฝ่ายลดลง จากนั้นก็ประหารชีวิตด้วยคำสาปแห่งความตาย บางทีมันน่าจะสามารถใช้งานได้
แต่นี่ก็ยังคงเป็นแผนที่ไม่สมบูรณ์ ปัญหาคือ อัลดิช จะดักจับเขาอย่างไร? หากเขาสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปเกรงว่า อัลดิช จะเป็นฝ่ายถูกฆ่าเสียมากกว่า
เพียงแต่ว่าคำถามเหล่านี้ อัลดิช สามารถคิดวิธีแก้ปัญหาในภายหลังได้ สำหรับตอนนี้ เขากำลังคิดถึงสถานการณ์ทางฝั่งของ วาเลร่า
โดยเขาได้เริ่มมองผ่านดวงตาของเธอ -
==
วาเลร่า และ ไดนาไมท์ เกิร์ล กำลังยืนอยู่ที่ทางเข้าถ้ำที่มืดสนิท
“ถ้าให้ฉันเดาสิ่งที่พวกเราจะต้องจัดการอยู่ข้างในนี้ใช่มั้ย?” ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้กล่าวถาม
“ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าพวกเราก็คุยกันมาก่อนหน้านี้แล้วหรอกเหรอ?” วาเลร่า ได้กล่าวพูดอย่างเหน็บแนม
“อันนี้ฉันก็รู้ แต่ความอดทนของฉันค่อนข้างต่ำ ดังนั้นฉันจึงต้องการที่จะสะสางปัญหาโดยเร็วที่สุด” ไดนาไมท์ เกิร์ล กล่าวพร้อมกับเริ่มจุดประกายไฟที่ปลายนิ้วของเธอ
“อะไร อยากจะสู้งั้นหรือไม่?” วาเลร่า ได้ยกโล่ของเธอขึ้นมาด้านหน้า
เพียงแต่ว่า ไดนาไมท์ เกิร์ล จ้องมองไปที่ วาเลร่า เป็นเวลาหลายวินาทีก่อนที่จะสั่นศีรษะ “เปล่า พวกเราไม่ควรเสียพลังไปกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ อันที่จริง ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเธอถึงมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อฉันแบบนี้ หรือว่า เธอคิดว่าฉันชอบหัวหน้า?”
“หึ่ม เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถอ่านใจข้าได้งั้นหรือไม่?” วาเลร่า กล่าวพูดออกมา แต่หลังจากหยุดพูด เธอก็กล่าวเสริม “แล้วมันเป็นความจริงหรือไม่?”
“อันนั้นก็ถูก”
ทันใดนั้น มือของ วาเลร่า ก็กำโล่แน่นในทันที เสียงกำมือของเธอมันแทบจะส่งเสียงบดขยี้ของกระดูกออกมา
“แต่ที่ฉันยอมรับ ไม่ได้หมายความว่าฉันชอบอะไรแบบนั้น ฉันชอบเขาในฐานะหัวหน้า และ ในฐานะผู้นำ แต่ถ้าจะให้มากกว่านั้น ฉันก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปาก” ไดนาไมท์ เกิร์ล ตอบกลับทันที
“หึ่ม นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับนายท่านหรอก เพราะนายท่านนั้นสมบูรณ์แบบ เขาได้นำพาข้าและสมุนจำนวนมากผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน แน่นอนว่ามันเป็นอุปสรรคที่แม้แต่เจ้าก็ไม่อาจจินตนาการได้ เขาเป็นคนฉลาด และ แข็งแกร่ง โดยท่าทีที่ไร้อารมณ์ของเขา ถือเป็นลักษณะที่โดดเด่นสำหรับเขามากที่สุด”
“อา เข้าใจแล้ว เช่นนั้นเธอก็หลงรักเขาใช่หรือไม่? สิ่งนี้มันคงมากกว่าการที่จะคอยเดินติดตามอยู่เคียงข้างใช่ไหม?” ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้กล่าวถาม
“อะ–อะไร? เจ้ากล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง! อัศวินล้วนภักดีต่อเจ้านายของตนเอง และ ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ล้วนเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่สิ่งของต้องห้ามแบบนั้น!” แม้ว่า วาเลร่า จะปฏิเสธ แต่ใบหน้าของเธอก็ปรากฏรอยแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“งั้นเหรอ?” ไดนาไมท์ เกิร์ล กล่าวพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาเถอะ เอาเป็นว่าฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับเขาก็แล้วกัน เพราะถึงยังไงเธอก็มาก่อน อย่างน้อยฉันก็ควรจะเคารพเธอในฐานะผู้อาวุโสหรืออะไรทำนองนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเรามาที่นี่เพื่อต่อสู้กับสไลม์หรอกเหรอ แล้วนี่พวกเรากำลังทำอะไรอยู่?”
“รีบเข้าไปกันเถอะ!”
“อะแฮ่ม ใช่” วาเลร่า ได้ตอบกลับ หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกเธอก็พลันสงบลง “ในตอนนี้ข้าจะถือว่าเจ้าไม่เป็นภัยคุกคามก็แล้วกัน ดังนั้น ก่อนอื่นข้าต้องการที่จะเรียนรู้ความสามารถของเจ้าให้ดีมากยิ่งขึ้น”
“ตกลง” ไดนาไมท์ เกิร์ล ยกมือขึ้น ทันใดนั้นผิวสีซีดของเธอก็ปล่อยประกายไฟสีส้มออกมา อย่างไรก็ตาม แสงสีส้มนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนฝ่ามือของเธอเท่านั้น แต่มันยังได้เรืองแสงผ่านแขนของเธอ รวมถึงหน้าอก ที่ส่องประกายเป็นวงแหวนบางอย่างที่คล้ายกับโลหะ
“สิ่งนั้นคือแกนพลังอะไรทำนองนั้นใช่ไหม?” วาเลร่า กล่าวถาม
“จะเรียกแบบนั้นก็ได้ แต่ของสิ่งนี้ มันไม่ได้มอบพลังวิเศษนี้ให้กับฉัน แต่มันถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมพลังของฉัน” ไดนาไมท์ เกิร์ล ตอบกลับ “ฉันได้รับพลังที่เรียกว่า เลือดระเบิด โดยหัวใจของฉันนั้นทำงานเหมือนกับเครื่องยนต์ และ คอยสูบฉีดเลือกพิเศษที่มีคุณสมบัติในการระเบิดออกมานอกร่างกายของตนเอง”
“ส่วนของตรงหน้าอกชิ้นนี้มันจะช่วยให้ฉันสามารถสูบฉีดหัวใจและทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีมากยิ่งขึ้น”
“แน่นอนว่า ฉันสามารถใช้พลังได้แม้ว่าจะไม่มีมันก็ตาม เพียงแต่พลังการควบคุมของฉันอาจจะลดน้อยลง”
“น่าสนใจ” วาเลร่า กล่าวออกมา “ข้าไม่เคยเห็นเวทย์มนตร์หรือพลังอะไรแบบนี้มาก่อนในโลกของข้า และ นี่ก็คงจะไม่ใช่เวทย์มนตร์ เพราะนายท่านบอกข้าว่า มนุษย์เช่นพวกเจ้าสามารถปลุกพลังพิเศษบางอย่างขึ้นมาได้ แต่การได้เห็นมันด้วยตาของตัวเองก็ทำให้น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก”
“ใช่ อันที่จริง ฉันก็สนใจพลังของเธอเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น พวกมานาหรือเวทย์มนตร์ - เดิมฉันคิดว่ามันไม่มีอยู่จริง อ๋อใช่ ยังมีบางอย่างที่ฉันจะแสดงให้เธอดู” ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้ชี้ไปที่แขนของเธอ จากนั้นพลังงานสีส้มที่เรืองแสงก็ได้ไหลผ่านผิวหนังของเธอเป็นเส้น ๆ “นี่คือเลือดระเบิดที่ไหลออกมาจากหัวใจผ่านเส้นเลือด”
“เมื่อฉันจดจ่อกับมัน มันจะสามารถนำมันออกมาจากฝ่ามือได้ เอ่อ ศัพย์พวกวิทยาศาสตร์มันเรียกว่าอะไรนะ แต่ช่างเหอะ มันคล้ายกับหลักการระเหย โดยฉันจะควบคุมอนุภาคที่ระเหยออกมาและเปลี่ยนให้มันกลายเป็นประกายไฟแบบนี้…”
บนฝ่ามือของ ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้ปรากฏประกายไฟขึ้นหลายจุดพร้อมกัน
“สำหรับสิ่งนี้!”
เธอได้ยกมือขึ้นไปในอากาศให้ห่างตัวของ วาเลร่า จากนั้น ก็สร้างประกายไฟระเบิดขนาดเล็กขึ้น
“อืม” วาเลร่า พยักหน้าอย่างชื่นชม “แล้วสิ่งนี้มันไม่ทำร้ายเจ้าหรืออย่างไร?”
“ไม่เลย” ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้ตอบกลับ “นั่นก็เพราะร่างกายของฉันมีภูมิคุ้มกันต่อความร้อนและผิวหนังของฉันก็สามารถทนการระเบิดได้อย่างดีเยี่ยม”
“ดังนั้น มันจึงทำให้จุดอ่อนในฐานะอันเดดของเจ้าเป็นกลางในทันที เพราะภูมิคุ้มกันธาตุไฟสำหรับอันเดดแล้วเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นอย่างมาก เจ้าจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าของนายท่านอย่างไม่ต้องสงสัย” วาเลร่า ได้ตอบกลับ
“เอ่อ ฉันไม่ชอบที่จะถูกเรียกว่าเป็นสมบัติของคนอื่นแบบนั้น แต่ตราบใดที่ฉันสามารถทำประโยชน์ได้ ฉันก็ยินดี” ไดนาไมท์ เกิร์ล กล่าวออกมา “แต่ทว่า ฉันก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน ก็อย่างที่ฉันพูด เลือดของฉันถูกสูบฉีดเข้าไปในหัวใจ ถ้าฉันสูบมันมากเกินไป มันจะทำให้ฉันเครียดเป็นอย่างมาก”
“โดยอาการนี้มีตั้งแต่เบาจนไปถึงหัวใจวายตายได้”
“ถึงแม้ว่าการสร้างระเบิดจะไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่ฉัน แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกัน”
“อีกอย่าง ถึงแม้ว่าฉันจะบอกว่าตนเองมีภูมิคุ้มกันต่อไฟและผิวของฉันสามารถทนแรงระเบิดได้ แต่ถ้าโดนการระเบิดครั้งใหญ่เข้าไป แม้แต่ฉัน ก็ยังคงได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน”
“แต่ฉันก็มีการโจมตีบางอย่าง ฉันเรียกมันว่า บังเกอร์บัสเตอร์ มันคล้ายกับภูมิคุ้มกันที่ช่วยให้ฉันปลอดภัย โดยมันแข็งแกร่งพอ ๆ กับ บังเกอร์ทั่วไปที่สามารถต้านทาน ทีเอ็นที 4 ตัน ได้”
“ทีเอ็นที?” วาเลร่า กล่าวถาม
“ใช่ แต่ลืมไปเลยว่าเธอมาจากโลกแฟนตาซี ดังนั้นจึงไม่น่าจะรู้จัก ทีเอ็นที พูดให้ถูกก็คือมันคือระเบิดขนาดใหญ่” ไดนาไมท์ เกิร์ล กล่าวออกมา “แต่ ฉันไม่สามารถใช้บังเกอร์บัสเตอร์ได้มากกว่า 1 ครั้ง มิฉะนั้น หัวใจของฉันก็เสี่ยงที่จะหยุดเต้นด้วย นอกจากนี้ คลื่นกระแทกของมันมักจะทำลายแขนขาที่ฉันยิงการระเบิดออกมา”
“แต่เจ้าก็ไม่ได้ตายนี่นา อีกอย่างภาวะหัวใจล้มเหลวมันไม่น่าจะเป็นอะไรที่สำคัญกับเจ้าในตอนนี้” วาเลร่า ได้ตอบกลับ “และก็ ไม่ว่าจะแขนขาหรือกระดูกหัก ก็นับเป็นปัญหาเล็กน้อย”
ไดนาไมท์ เกิร์ล กระพริบตาหลายครั้งทันที “เอ่อ…จริงด้วยสินะ เธอพูดถูก”
ทันใดนั้น ไดนาไมท์ เกิร์ล ก็ยิ้มกว้างอย่างกับคนบ้า “ฮ่าฮ่าฮ่า…ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้ว ฉันล่ะอยากจะจุดระเบิดโดยเร็วแล้ว!”
“ดูเหมือนว่าฉันจะมีแรงกระตุ้นเพิ่มขึ้นมากมายหลังจากที่เธอให้คำอธิบายแก่ฉัน”
“อ่า ความอยากในการสังหารนั้น ข้าเข้าใจเป็นอย่างดี บางทีพวกเราอาจเข้ากันได้ดีกว่าที่คิด” วาเลร่า ยังคงยิ้มออกมา
และเช่นเดียวกัน ผู้หญิงทั้ง 2 คน ก็เชื่อมโยงกันด้วยรอยยิ้ม ที่ไม่ต้องการอะไรนอกจากการทำลายล้าง และ พวกเธอก็เดินเข้าไปในถ้ำมืด