อาณาจักร ฮาร์ดี้ 1945 ตอนที่ 168 วางแผนรายการ
ตอนที่ 168 วางแผนรายการ
ในสามวันนี้ฮาร์ดี้ได้คิดค้นรายการมากกว่า 20 รายการ
พร้อมกับที่เขาวางแผนผังการออกอากาศอย่างง่ายไว้ด้วย
มันเป็นเพราะเขานั้นชอบสถานีโทรทัศน์เอบีซีมากจริงๆ เขาจึงอยากทำให้มันเป็นที่นิยมให้ได้
หลังจากเขียนรายละเอียดเสร็จ เขาจึงเรียกฟ็อกซ์ อิริน่า และเอ็ดเวิร์ดที่เป็นผู้จัดการของเอชดีพิคเจอร์มาพบ
ฮาร์ดี้พูดกับเอ็ดเวิร์ดว่า "เอ็ดเวิร์ด ตอนนี้เอชดีฟิล์มได้จัดตั้งแผนกผลิตรายการโทรทัศน์สำหรับบริษัทออกอากาศเอบีซีไว้แล้ว และฉันก็คิดรายการที่อยากจะทำไว้ให้ด้วย ซึ่งการผลิตรายการเหล่านี้จะต้องใช้คนจำนวนมาก"
ยังไงสถานีโทรทัศน์ก็ต้องมีรายการออกฉายอยู่ตลอด และฮาร์ดี้ก็มีบริษัทภายนตร์
มันจึงเป็นข้อได้เปรียบของเขา
ซึ่งเขาวางแผนที่จะเปลี่ยนบริษัทภาพยนตร์ให้เป็นบริษัทผลิตรายการให้กับสถานีโทรทัศน์โดยเฉพาะ
เพราะในอนาคตบริษัทใหญ่ๆ ก็ทำแบบนี้เหมือนกัน
แน่นอนว่ารวมถึงพาราเมาท์ วอร์เนอร์ ดิสนีย์ ยูนิเวอร์แซลด้วย
ฮาร์ดี้ยังรู้ด้วยว่าในปี 1948 หรือในปีหน้า ฮอลลีวูดจะออกกฎหมายตัวใหม่มา
กฎตัวใหม่นั้นก็คือการให้บริษัทภาพยนตร์และโรงภาพยนตร์แยกออกจากกัน
ทำให้กฎหมายตัวนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อบริษัทภาพยนตร์ใหญ่ๆ
และบริษัทภาพยนตร์รายใหญ่ในฮอลลีวูดทั้งแปดแห่งจะไม่มีความรุ่งโรจเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง
ในปีต่อมาบริษัทภาพยนตร์ใหญ่ทั้งแปดแห่งได้ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมโทรทัศน์ และมีบริษัทหนึ่งชื่ออาร์เคโอ พิคเจอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ได้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นบริษัทออกอากาศโดยตรง
ดังนั้นตั้งแต่ต้นจะเห็นว่าฮาร์ดี้ไม่ได้ให้เอชดีพิคเจอร์จัดจำหน่ายภาพยนตร์ด้วยตัวเอง
แต่เป็นเอ็มจีเอ็มที่เป็นคนดำเนินการทั้งหมด
"ฉันอยากให้นายลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ไปว่าเอชดีพิคเจอร์ต้องการรับสมัครพนักงานจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ผู้กำกับ นักเขียนบท คนวางแผน วิศวกรแสงสว่าง คนทำอุปกรณ์ ช่างแต่งหน้า และก็นักแสดงจำนวนมากด้วย"
"ครับ บอส!" เอ็ดเวิร์ดตอบ
ฮาร์ดี้มองไปที่ฟ็อกซ์และอิริน่าอีกครั้ง "ฉันได้วางแผนการออกอากาศของรายการมาแล้ว มาดูกันว่ามันเป็นยังไง"
…
‘ 'ข่าวสามสิบนาที' รายการนี้จะเริ่มตั้งแต่เวลา 7 โมงเช้าของทุกวัน มันจะเป็นการออกอากาศข่าวจากหนังสือพิมพ์ต่างๆ รวมทั้งข่าวในประเทศและต่างประเทศครั้งละ 30 นาที ซึ่งจะมีการออกอากาศอีกครั้งในเวลา 12.00 นาฬิกาและเนื้อหาก็จะไม่ซ้ำกัน’
แน่นอนว่าสถานีโทรทัศน์ทุกสถานีจะมีข่าวแบบนี้ ซึ่งฮาร์ดี้ยังไม่มีความคิดที่จะซื้อบริษัทหนังสือพิมพ์ในเวลานี้
เพราะในความคิดของเขาก็คือการรอซื้อบริษัทหนังสือพิมพ์รายใหญ่ในอนาคต
เพื่อที่จะเอาข่าวสารจากทั่วทุกมุมโลกมาให้กับสำนักงานใหญ่และคัดแยกให้กับสถานีโทรทัศน์ทันที
แผนที่สองคือรายการทอล์คโชว์
และที่เขาคิดออกตอนนี้ก็คือ 'ทูไนท์โชว์'
มันจะเป็นรายการทอล์คโชว์ที่มีพิธีการอยู่แล้วหนึ่งคน และอีกคนจะเป็นคนดังที่ถูกเชิญมา
ซึ่งแขกรับเชิญอาจเป็นดาราหนัง นักร้อง นักแสดงโอเปร่า นักกีฬา นักการเมือง นักวิทยาศาตร์
หรือแม้แต่ประธานาธิบดี
ซึ่งฮาร์ดี้เขียนประโยคพิเศษหนึ่งใส่ไว้ในนี้ว่า 'ถ้ามีโอกาสให้เชิญไอน์สไตน์มาเข้าร่วมทอล์คโชว์ให้ได้'
///WTF
หลังจากอิริน่าอ่านแผนการดำเนินรายการจบ ดวงตาเธอก็ส่องประกายอย่างมาก
"บอสค่ะ! ให้ฉันเป็นพิธีกรรายการนี้ได้ไหม?"
ฮาร์ดี้มองไปที่สาวฝรั่งเศสและพูดว่า "พิธีกรของรายการนี้ต้องมีความชำนาญในการสัมภาษณ์ผู้คนและศิลปะในการพูดอยู่บ้าง แถมบางครั้งยังต้องสร้างอารมณ์ขันเพิ่มบรรยากาศอีก เธอคิดว่าเธอสามารถทำมันได้ไหมล่ะ?"
อีริน่ากัดริมฝีปากตัวเอง
"ฉันเชื่อว่าฉันสามารถทำได้ค่ะบอส! บอสช่วยให้โอกาสฉันได้ไหม?" อิริน่าพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
ฮาร์ดี้ยิ้ม "ฮ่าๆ ก็ได้ งั้นต่อไปนี้เธอจะเป็นพิธีกรของรายการและชื่อของรายการก็จะเป็น 'อิริน่าทอล์คโชว์' ดีไหม?"
"ขอบคุณค่ะ! บอส" อิริน่าขอบคุณเขาอย่างตื่นเต้น
ศาสตราจารย์ฟ็อกซ์ก็แสดงความคิดเห็นว่ารายการนี้ดีมากๆ เพราะถ้าพิธีกรทำหน้าที่นี้ได้ดี
มันก็อาจจะทำให้คนคนนั้นกลายเป็นคนดังเลยก็ได้ แถมยังได้พูดคุยกับดารานักวิทยาศาตร์และวุฒิสมาชิกอีก
หากคุณเป็นคนที่มีหัวคิดสิ่งเหล่านี้มันก็คือเครือข่ายที่แข็งแกร่งเส้นหนึ่ง
ฟ็อกซ์มองไปที่อิริน่า และก็คิดว่าเขาได้รู้จักอิริน่าเพิ่มแล้ว
เขาต้องบอกว่าเธอเป็นนักเรียนที่โชคดีมาก เพราะเธอได้รู้จักคนอย่างฮาร์ดี้ก่อนจบการศึกษา
มันทำให้เธอก็กลายเป็นผู้อาวุโสของบริษัทเอบีซีทันทีที่เธอจบการศึกษา
เอาล่ะ! ช่างมันแล้วดูแผนการต่อไปดีกว่า...
'เอสเต ลอเดอร์เมคอัพ' มันคือรายการที่จะมีช่างแต่งหน้าฝีมือดีมาสอนเหล่าผู้หญิงแต่งหน้าให้กลายเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ
ฟ็อกซ์มั่นใจว่ารายการนี้จะได้รับการต้อนรับจากผู้ชมที่เป็นผู้หญิงอย่างดีแน่นอน
และเครื่องสำอางแบรนด์เอสเตลอเดอร์ก็จะได้รับการโปรโมททางโทรทัศน์อีกด้วย
"หัวหน้า เราต้องเก็บค่าโฆษณากับเอสเตลอเดอร์ด้วย" ฟ็อกซ์กล่าว
ฮาร์ดี้ยิ้ม
"แน่นอน ยังไงมันก็ต้องจ่ายค่าโฆษณาอยู่แล้ว ถึงแม้ฉันจะเป็นหุ้นส่วนของเอสเตลอเดอร์ก็ตาม"
ฟ็อกซ์คิดว่ามันไม่แปลกเท่าไหร่ที่เขาจะมีหุ้นอยู่ในบริษัทและเก็บค่าโฆษณาของบริษัทที่ตัวเองลงทุน…
เพราะยังไงรายการนี้ก็จะเป็นที่รักของเหล่าผู้หญิงอย่างแน่นอน
เอริน่าหยิบแผนรายการที่มีชื่อว่า 'บาร์บี้สาวน้อยมหัศจรรย์' ขึ้นมาดู
มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหญิงบาร์บี้ที่ได้ช่วยโลกไว้
'โดยเจ้าหญิงบาร์บี้กำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในวันธรรมดา แต่เมื่อโลกอยู่ในอันตรายเธอก็จะหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาและตะโกนว่า 'เจ้าหญิงบาร์บี้แปลงร่าง!' แล้วเจ้าหญิงก็จะกลายเป็นเซเลอร์มูนต่อสู้กับเหล่าร้าย'
///เฮนชิน!
แน่นอนว่าฮาร์ดี้ไม่ได้เขียนเนื้อเรื่องทั้งหมดมา เขาเขียนเพียงไม่กี่คำและก็โทนของเรื่องเท่านั้น ส่วนอื่นจะเป็นหน้าที่ของนักเขียนบทเป็นคนเขียน
ซึ่งตอนนี้เจ้าหญิงบาร์บี้ก้มีสามคนคือ เจ้าหญิงเอวา เจ้าหญิงเทย์เลอร์ และเจ้าหญิงจีน
ดวงตาของอิริน่ากะพริบอย่างสงสัย
เอ็ดเวิร์ดหยิบแผนการอื่นขึ้นมาอ่าน
"อุลตร้าแมน นักรบหุ้มเกราะ คาเมนไรเดอร์ ทั้งหมดคือคนธรรมดาที่สามารถแปลงร่างเป็นนักรบเหล่านี้ โดยจะต่อสู้กับสัตว์ประหลาดและคนเลวที่จ้องจะทำลายโลก มันดูน่าสนใจมากจริงๆ ทว่าการแปลงร่างเป็นอุตตร้าแมนนั้น มันจะสูงหลายสิบเมตร ผมกลัวว่ามันจะต้องใช้อุปกรณ์ประกอบฉากจำนวนมากแน่ๆ ส่วนทิวทัศน์ประกอบฉากนั้นไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่"
ศาสตราจารย์ฟ็อกซ์มองไปที่แผนการหลายอย่าง
"เทเลทับบี้ บาร์บี้ ทั้งหมดนี้ก็คือการ์ตูนสำหรับเด็ก มันจะเหมาะมากกับเด็กอายุตั้งแต่หนึ่งถึงสามขวบขึ้นไป และเราก็แค่หาคนมาสวมบทบาทใส่ชุดทับเข้าไป แถมอุปกรณ์ประกอบฉากก็ไม่เยอะด้วย แต่แค่นี้เราก็สามารถบันทึกได้ถึงสองสามชั่วโมงแล้ว และแน่นอนว่ากลุ่มเป้าหมายของเราก็คือเด็กๆ "
หลังจากเห็นแผนการของฮาร์ดี้แล้ว ศาสตราจารย์ฟ็อกซ์ เอ็ดเวิร์ด และอิริน่าก็ประทับใจกันมาก
“บอส คุณนี่เก่งจริงๆ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าบอสคิดเรื่องเหล่านี้ออกมาในเวลาสั้นๆ ได้ยังไง” เอ็ดเวิร์ดชมเขา
"และสิ่งที่คาดไม่ถึงคือเรื่องเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายน้อยมาก แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่ออกมาในสนใจมากจริงๆ ฉันเชื่อว่ารายการเหล่านี้จะดึงดูดผู้ชมได้จำนวนมากแน่ๆ เมื่อมันผลิตออกมาแล้ว" ศจ.ฟอกซ์กล่าว
"ฉันชอบ 'บาร์บี้สาวน้อยมหัศจรรย์' มากเลย เด็กสาวจะต้องตกหลุมรักเจ้าหญิงบาร์บี้อย่างแน่นอน และก็เชื่อว่าตุ๊กตาบาร์บี้จะขายหมดอีกครั้งแน่ๆ" อิริน่ากล่าว
ในเวลานี้ฟ็อกซ์ก็กล่าวต่อว่า "การวางแผนของหัวหน้าดีมากจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเรามาคิดวางแผงรายการเพื่อเอาไว้รองรับเวลาออกอากาศรายวันกันเถอะ"
ฮาร์ดี้ยิ้ม
"ฉันไม่อยากให้สถานีโทรทัศน์ฉายแค่ 4 -5 ชั่วโมงต่อวัน"
หลังจากพูดจบเขาก็หยิบแผนการอื่นขึ้นมา
"มันต้องมีให้นานกว่านี้!"
หลายคนประหลาดใจ
'การพูดคุยด้านเศรษฐกิจกับผู้เชี่ยวชาญ' รายการนี้จะจ้างคนมาคนหนึ่งและเขาก็เชิญแขกที่คล้ายกับผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ตลาดหุ้นให้ฟัง
ซึ่งมันไม่เคยมีรายการทีวีแบบนี้มาก่อน และถ้ารายการนี้ได้ออกอากาศเมื่อไหร่
ผลกระทบที่จะมีต่อหุ้นที่ถูกพูดถึงก็จะมีแน่ๆ
ตัวอย่างก็ที่แอนดี้พูดถึงนิตยสารเพลย์บอยโดยการที่บอกเกี่ยวกับยอดขาย ทิศทางการเติบโตในอนาคต
ซึ่งคนที่ไม่ได้ตามข่าวเกี่ยวกับเพลย์บอยก็จะคิดว่ามันเป็นบริษัทที่มีผลกำไรที่ดีมาก และผลกำไรนั้นก็ยังเติบโตได้อีกในอนาคต
มันจึงเป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่นักลงทุนจะลงทุนกับเขา และผู้คนก็แห่ซื้อหุ้นทันที
แน่นอนว่ามันก็ไม่ใช่จะใช้ได้แค่กับนิตยสารเพลย์บอย
หากนำไปใช้กับหุ้นตัวอื่นผลที่ได้ก็จะออกมาเหมือนกัน
และถ้าผู้เชี่ยวชาญบอกว่าหุ้นตัวไหนไม่ดี มีข่าวร้ายๆ กับหุ้นตัวนี้
ผู้คนก็จะตื่นตระหนกและขายหุ้นทิ้งทันที มันจะเป็นเหตุทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงเหวอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของผู้เชี่ยวชาญ
ฮาร์ดี้คิดว่าไม่เป็นไรถ้าเขาจะใช้แอนดี้
เขาเคยคิดไว้ว่าระหว่างทำรายการนี้ เขาน่าจะทำเงินได้เยอะ โดยให้ทีมการเงินของแอนดี้ปั่นหุ้นในตลาด
แน่นอนว่ามันจะทำเงินให้เขาได้มากขึ้น
เอ็ดเวิร์ดเห็นพาดหัวรายการอื่นข้างๆ
"ไทม์?"
'เพลง เพลงประกอบภาพยนตร์ วิดีโอเพลง? รายการที่จะออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เพื่อให้ผู้คนได้เพลิดเพลินกับการฟังเพลงและได้ดูภาพในเวลาเดียวกัน'
เอ็ดเวิร์ดเหมือนจะเข้าใจมันนิดหน่อย
"บอส สิ่งนี้มันก็เหมือนกับตอนที่ คุณเอวาการ์ดเนอร์ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ 'นักฆ่าเพชรตัดเพชร' ใช่ไหม?"
"ใช่ มันเป็นแบบนั้นแหละ โดยเราจะทำให้มันเป็นวิดีโอเพลงในอนาคตและนำมาออกอากาศทางโทรทัศน์ให้ได้ ซึ่งจะมีผลต่อการประชาสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับนักร้องและตัวเพลง" ฮาร์ดี้กล่าว
เอ็ดเวิร์ดตระหนักได้ถึงข้อดีของตัวอย่างนี้ทันที
"แล้วถ้าบริษัทบันทึกเสียงของเราออกเพลงใหม่ เราก็ยังสามารถนำมาออกอากาศทางวิทยุพร้อมกับออกอากาศทางโทรทัศน์ได้อีกด้วย แน่นอนว่ามันจะให้ผลของการประชาสัมพันธ์ที่ดีมาก"
"บอส เรื่องนี้ผมคิดว่าเราน่าจะต้องจดลิขสิทธิ์กับมันด้วย" เอ็ดเวิร์ดกล่าว
ทว่าฟ็อกพูดขึ้นมาว่า "ฉันคิดว่าไอเดียทั้งหมดนี้ เราควรจดลิขสิทธิ์กับมันให้หมด เพื่อไม่ให้ถูกลอกเลียนแบบโดยบริษัทออกอากาศอื่น"
ฮาร์ดี้ยิ้ม "แน่นอน และก็แผนรายการทั้งหมดเหล่านี้จะให้เอ็ดเวิร์ดเป็นคนจัดการเรื่องลิขสิทธิ์ถ้ามีใครกล้าคัดลอกรายการของเราก็ฟ้องมันได้เลย โดยตั้งค่าปรับไว้สูงๆ เพื่อทำให้บริษัทออกอากาศอื่นร้องไห้เมื่อโดนฟ้อง"
รายชื่อรายการถัดไปจะเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์
"ในอนาคตบริษัทเอชดีพิคเจอร์จะสร้างภาพยนตร์ซีรีย์ของตัวเองขึ้นมา และฉันก็ได้เขียนบทภาพยนตร์ไว้สองอันพวกคุณลองดูสิ"
พวกเขารับบทภาพยนตร์มา
'My Fairy Wife'
// ชื่อนี้ผมหาไม่เจอจริงๆ
'นักฆ่าเพชรตัดเพชร'
'My Fairy wife' นั้นไม่ใช่ภาพยนตร์ที่มาจากไต้หวัน แต่จะเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับชาวอเมริกัน
ซึ่งมันเคยออกอากาศครั้งแรกในปี 1964 และมีจำนวนตอนทั้งหมด 260 ตอน
มันได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐอเมริกาในปีนั้นและได้รับรางวัลอยู่หลายปีเป็นเวลานาน
เรื่องราวของภาพยนตร์ซีรีย์นี้จะเล่าเกี่ยวกับนักแสดงที่เพิ่งเข้าวงการ โดยที่พระเอกจะได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่พึ่งเข้าสู่วงการ และเขานั้นก็ไล่ตามนักแสดงสาวคนนี้ เพื่อที่จะได้เธอมาเป็นแฟนสาวของเขา
แต่เขานั้นไม่รู้เลยว่านักแสดงสาวคนนี้เป็นแม่มด และครอบครัวของเธอยังเป็นแม่มดที่ใช้เวทมนต์ชั่วร้ายด้วย…
ตัวนางเอกนั้นมาจากสหราชอาณาจักรและเรียกฮอกวอตส์ว่าเป็นบ้านเกิดของเธอ
ซึ่งเธอนั้นชอบฮอลลีวูดและอยากเป็นนักแสดง เธอจึงมาที่ลอสแอนเจลิส
มันจะเกิดเรื่องตลกมากมายในซีรีย์เรื่องนี้ โดยจะเป็นเรื่องราวพระเอกที่ถูกแม่มดหลอก
และแม่มดที่พยายามปกป้องพระเอกจากการโดนคนอื่นหลอก มันจึงให้ความรู้สึกที่หวานแหววในบางครั้ง
ฮาร์ดี้ก็เขียนย่อหน้าสั้นๆ ไว้แล้ว เช่น 'พระเอกไล่ตามนางเอกและที่บนหัวก็มีหมวกแปลกๆ สวมไว้ หรือตอนที่นางเอกโกรธจัด เธอจึงเสกให้พระเอกมีหูที่ใหญ่ขึ้น และพระเอกก็จะไม่รู้เรื่องจึงทำให้ผู้คนมากมายหัวเราะเขา
และเมื่อนางเอกโกรธ
เธอก็จะด่าพระเอกว่ามักเกิ้ล แน่นอนว่าพระเอกนั้นไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
แต่เขาก็คิดว่านางเอกเรียกเขาว่าคนโง่แน่ๆ'
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ‘ตัวประกอบที่กำลังรังแกพระเอกและนางเอกเข้ามาช่วยไว้ โดยการเสกให้กางเกงของตัวประกอบหายไป และแน่นอนว่าตัวประกอบคนนี้จะไม่รู้ตัวเลยว่ากางเกงหายไปแล้ว
แถมยังทำท่าทางหยิ่งพยองอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นตลอดเวลา
ซึ่งผู้คนก็จะมองว่าตัวประกอบคนนี้เป็นคนบ้าหรือเปล่า?’
พวกเขาทั้งสามคนดูบทละครเหล่านี้ และก็คิดว่าถ้ามันถูกสร้างเป็นซีรีย์ทางโทรทัศน์ขึ้นมาแล้ว…
มันก็คงน่าสนใจมากแน่ๆ และเรตติ้งยอดผู้ชมก็บูมขึ้นอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้นฉากหลังของละครเรื่องนี้อยู่ในบ้านและบริษัทภาพยนตร์
ซึ่งสถานที่เหล่านี้พวกเขามีอยู่แล้วและสามารถใช้มันได้เลย
มันน่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะอีกแน่ๆ
สำหรับนักแสดง...
ฮอลลีวูดนั้นไม่เคยมีปัญหาการขาดแคลนนักแสดงอยู่แล้ว และคุณก็สามารถหาอะไรก็ได้ในฮอลลีวูด
……………………
ในสามวันนี้ฮาร์ดี้ได้คิดค้นรายการมากกว่า 20 รายการ
พร้อมกับที่เขาวางแผนผังการออกอากาศอย่างง่ายไว้ด้วย
มันเป็นเพราะเขานั้นชอบสถานีโทรทัศน์เอบีซีมากจริงๆ เขาจึงอยากทำให้มันเป็นที่นิยมให้ได้
หลังจากเขียนรายละเอียดเสร็จ เขาจึงเรียกฟ็อกซ์ อิริน่า และเอ็ดเวิร์ดที่เป็นผู้จัดการของเอชดีพิคเจอร์มาพบ
ฮาร์ดี้พูดกับเอ็ดเวิร์ดว่า "เอ็ดเวิร์ด ตอนนี้เอชดีฟิล์มได้จัดตั้งแผนกผลิตรายการโทรทัศน์สำหรับบริษัทออกอากาศเอบีซีไว้แล้ว และฉันก็คิดรายการที่อยากจะทำไว้ให้ด้วย ซึ่งการผลิตรายการเหล่านี้จะต้องใช้คนจำนวนมาก"
ยังไงสถานีโทรทัศน์ก็ต้องมีรายการออกฉายอยู่ตลอด และฮาร์ดี้ก็มีบริษัทภายนตร์
มันจึงเป็นข้อได้เปรียบของเขา
ซึ่งเขาวางแผนที่จะเปลี่ยนบริษัทภาพยนตร์ให้เป็นบริษัทผลิตรายการให้กับสถานีโทรทัศน์โดยเฉพาะ
เพราะในอนาคตบริษัทใหญ่ๆ ก็ทำแบบนี้เหมือนกัน
แน่นอนว่ารวมถึงพาราเมาท์ วอร์เนอร์ ดิสนีย์ ยูนิเวอร์แซลด้วย
ฮาร์ดี้ยังรู้ด้วยว่าในปี 1948 หรือในปีหน้า ฮอลลีวูดจะออกกฎหมายตัวใหม่มา
กฎตัวใหม่นั้นก็คือการให้บริษัทภาพยนตร์และโรงภาพยนตร์แยกออกจากกัน
ทำให้กฎหมายตัวนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อบริษัทภาพยนตร์ใหญ่ๆ
และบริษัทภาพยนตร์รายใหญ่ในฮอลลีวูดทั้งแปดแห่งจะไม่มีความรุ่งโรจเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป
แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง
ในปีต่อมาบริษัทภาพยนตร์ใหญ่ทั้งแปดแห่งได้ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมโทรทัศน์ และมีบริษัทหนึ่งชื่ออาร์เคโอ พิคเจอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ได้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นบริษัทออกอากาศโดยตรง
ดังนั้นตั้งแต่ต้นจะเห็นว่าฮาร์ดี้ไม่ได้ให้เอชดีพิคเจอร์จัดจำหน่ายภาพยนตร์ด้วยตัวเอง
แต่เป็นเอ็มจีเอ็มที่เป็นคนดำเนินการทั้งหมด
"ฉันอยากให้นายลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ไปว่าเอชดีพิคเจอร์ต้องการรับสมัครพนักงานจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ผู้กำกับ นักเขียนบท คนวางแผน วิศวกรแสงสว่าง คนทำอุปกรณ์ ช่างแต่งหน้า และก็นักแสดงจำนวนมากด้วย"
"ครับ บอส!" เอ็ดเวิร์ดตอบ
ฮาร์ดี้มองไปที่ฟ็อกซ์และอิริน่าอีกครั้ง "ฉันได้วางแผนการออกอากาศของรายการมาแล้ว มาดูกันว่ามันเป็นยังไง"
…
‘ 'ข่าวสามสิบนาที' รายการนี้จะเริ่มตั้งแต่เวลา 7 โมงเช้าของทุกวัน มันจะเป็นการออกอากาศข่าวจากหนังสือพิมพ์ต่างๆ รวมทั้งข่าวในประเทศและต่างประเทศครั้งละ 30 นาที ซึ่งจะมีการออกอากาศอีกครั้งในเวลา 12.00 นาฬิกาและเนื้อหาก็จะไม่ซ้ำกัน’
แน่นอนว่าสถานีโทรทัศน์ทุกสถานีจะมีข่าวแบบนี้ ซึ่งฮาร์ดี้ยังไม่มีความคิดที่จะซื้อบริษัทหนังสือพิมพ์ในเวลานี้
เพราะในความคิดของเขาก็คือการรอซื้อบริษัทหนังสือพิมพ์รายใหญ่ในอนาคต
เพื่อที่จะเอาข่าวสารจากทั่วทุกมุมโลกมาให้กับสำนักงานใหญ่และคัดแยกให้กับสถานีโทรทัศน์ทันที
แผนที่สองคือรายการทอล์คโชว์
และที่เขาคิดออกตอนนี้ก็คือ 'ทูไนท์โชว์'
มันจะเป็นรายการทอล์คโชว์ที่มีพิธีการอยู่แล้วหนึ่งคน และอีกคนจะเป็นคนดังที่ถูกเชิญมา
ซึ่งแขกรับเชิญอาจเป็นดาราหนัง นักร้อง นักแสดงโอเปร่า นักกีฬา นักการเมือง นักวิทยาศาตร์
หรือแม้แต่ประธานาธิบดี
ซึ่งฮาร์ดี้เขียนประโยคพิเศษหนึ่งใส่ไว้ในนี้ว่า 'ถ้ามีโอกาสให้เชิญไอน์สไตน์มาเข้าร่วมทอล์คโชว์ให้ได้'
///WTF
หลังจากอิริน่าอ่านแผนการดำเนินรายการจบ ดวงตาเธอก็ส่องประกายอย่างมาก
"บอสค่ะ! ให้ฉันเป็นพิธีกรรายการนี้ได้ไหม?"
ฮาร์ดี้มองไปที่สาวฝรั่งเศสและพูดว่า "พิธีกรของรายการนี้ต้องมีความชำนาญในการสัมภาษณ์ผู้คนและศิลปะในการพูดอยู่บ้าง แถมบางครั้งยังต้องสร้างอารมณ์ขันเพิ่มบรรยากาศอีก เธอคิดว่าเธอสามารถทำมันได้ไหมล่ะ?"
อีริน่ากัดริมฝีปากตัวเอง
"ฉันเชื่อว่าฉันสามารถทำได้ค่ะบอส! บอสช่วยให้โอกาสฉันได้ไหม?" อิริน่าพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
ฮาร์ดี้ยิ้ม "ฮ่าๆ ก็ได้ งั้นต่อไปนี้เธอจะเป็นพิธีกรของรายการและชื่อของรายการก็จะเป็น 'อิริน่าทอล์คโชว์' ดีไหม?"
"ขอบคุณค่ะ! บอส" อิริน่าขอบคุณเขาอย่างตื่นเต้น
ศาสตราจารย์ฟ็อกซ์ก็แสดงความคิดเห็นว่ารายการนี้ดีมากๆ เพราะถ้าพิธีกรทำหน้าที่นี้ได้ดี
มันก็อาจจะทำให้คนคนนั้นกลายเป็นคนดังเลยก็ได้ แถมยังได้พูดคุยกับดารานักวิทยาศาตร์และวุฒิสมาชิกอีก
หากคุณเป็นคนที่มีหัวคิดสิ่งเหล่านี้มันก็คือเครือข่ายที่แข็งแกร่งเส้นหนึ่ง
ฟ็อกซ์มองไปที่อิริน่า และก็คิดว่าเขาได้รู้จักอิริน่าเพิ่มแล้ว
เขาต้องบอกว่าเธอเป็นนักเรียนที่โชคดีมาก เพราะเธอได้รู้จักคนอย่างฮาร์ดี้ก่อนจบการศึกษา
มันทำให้เธอก็กลายเป็นผู้อาวุโสของบริษัทเอบีซีทันทีที่เธอจบการศึกษา
เอาล่ะ! ช่างมันแล้วดูแผนการต่อไปดีกว่า...
'เอสเต ลอเดอร์เมคอัพ' มันคือรายการที่จะมีช่างแต่งหน้าฝีมือดีมาสอนเหล่าผู้หญิงแต่งหน้าให้กลายเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ
ฟ็อกซ์มั่นใจว่ารายการนี้จะได้รับการต้อนรับจากผู้ชมที่เป็นผู้หญิงอย่างดีแน่นอน
และเครื่องสำอางแบรนด์เอสเตลอเดอร์ก็จะได้รับการโปรโมททางโทรทัศน์อีกด้วย
"หัวหน้า เราต้องเก็บค่าโฆษณากับเอสเตลอเดอร์ด้วย" ฟ็อกซ์กล่าว
ฮาร์ดี้ยิ้ม
"แน่นอน ยังไงมันก็ต้องจ่ายค่าโฆษณาอยู่แล้ว ถึงแม้ฉันจะเป็นหุ้นส่วนของเอสเตลอเดอร์ก็ตาม"
ฟ็อกซ์คิดว่ามันไม่แปลกเท่าไหร่ที่เขาจะมีหุ้นอยู่ในบริษัทและเก็บค่าโฆษณาของบริษัทที่ตัวเองลงทุน…
เพราะยังไงรายการนี้ก็จะเป็นที่รักของเหล่าผู้หญิงอย่างแน่นอน
เอริน่าหยิบแผนรายการที่มีชื่อว่า 'บาร์บี้สาวน้อยมหัศจรรย์' ขึ้นมาดู
มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหญิงบาร์บี้ที่ได้ช่วยโลกไว้
'โดยเจ้าหญิงบาร์บี้กำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในวันธรรมดา แต่เมื่อโลกอยู่ในอันตรายเธอก็จะหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาและตะโกนว่า 'เจ้าหญิงบาร์บี้แปลงร่าง!' แล้วเจ้าหญิงก็จะกลายเป็นเซเลอร์มูนต่อสู้กับเหล่าร้าย'
///เฮนชิน!
แน่นอนว่าฮาร์ดี้ไม่ได้เขียนเนื้อเรื่องทั้งหมดมา เขาเขียนเพียงไม่กี่คำและก็โทนของเรื่องเท่านั้น ส่วนอื่นจะเป็นหน้าที่ของนักเขียนบทเป็นคนเขียน
ซึ่งตอนนี้เจ้าหญิงบาร์บี้ก้มีสามคนคือ เจ้าหญิงเอวา เจ้าหญิงเทย์เลอร์ และเจ้าหญิงจีน
ดวงตาของอิริน่ากะพริบอย่างสงสัย
เอ็ดเวิร์ดหยิบแผนการอื่นขึ้นมาอ่าน
"อุลตร้าแมน นักรบหุ้มเกราะ คาเมนไรเดอร์ ทั้งหมดคือคนธรรมดาที่สามารถแปลงร่างเป็นนักรบเหล่านี้ โดยจะต่อสู้กับสัตว์ประหลาดและคนเลวที่จ้องจะทำลายโลก มันดูน่าสนใจมากจริงๆ ทว่าการแปลงร่างเป็นอุตตร้าแมนนั้น มันจะสูงหลายสิบเมตร ผมกลัวว่ามันจะต้องใช้อุปกรณ์ประกอบฉากจำนวนมากแน่ๆ ส่วนทิวทัศน์ประกอบฉากนั้นไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่"
ศาสตราจารย์ฟ็อกซ์มองไปที่แผนการหลายอย่าง
"เทเลทับบี้ บาร์บี้ ทั้งหมดนี้ก็คือการ์ตูนสำหรับเด็ก มันจะเหมาะมากกับเด็กอายุตั้งแต่หนึ่งถึงสามขวบขึ้นไป และเราก็แค่หาคนมาสวมบทบาทใส่ชุดทับเข้าไป แถมอุปกรณ์ประกอบฉากก็ไม่เยอะด้วย แต่แค่นี้เราก็สามารถบันทึกได้ถึงสองสามชั่วโมงแล้ว และแน่นอนว่ากลุ่มเป้าหมายของเราก็คือเด็กๆ "
หลังจากเห็นแผนการของฮาร์ดี้แล้ว ศาสตราจารย์ฟ็อกซ์ เอ็ดเวิร์ด และอิริน่าก็ประทับใจกันมาก
“บอส คุณนี่เก่งจริงๆ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าบอสคิดเรื่องเหล่านี้ออกมาในเวลาสั้นๆ ได้ยังไง” เอ็ดเวิร์ดชมเขา
"และสิ่งที่คาดไม่ถึงคือเรื่องเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายน้อยมาก แต่กลับให้ผลลัพธ์ที่ออกมาในสนใจมากจริงๆ ฉันเชื่อว่ารายการเหล่านี้จะดึงดูดผู้ชมได้จำนวนมากแน่ๆ เมื่อมันผลิตออกมาแล้ว" ศจ.ฟอกซ์กล่าว
"ฉันชอบ 'บาร์บี้สาวน้อยมหัศจรรย์' มากเลย เด็กสาวจะต้องตกหลุมรักเจ้าหญิงบาร์บี้อย่างแน่นอน และก็เชื่อว่าตุ๊กตาบาร์บี้จะขายหมดอีกครั้งแน่ๆ" อิริน่ากล่าว
ในเวลานี้ฟ็อกซ์ก็กล่าวต่อว่า "การวางแผนของหัวหน้าดีมากจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเรามาคิดวางแผงรายการเพื่อเอาไว้รองรับเวลาออกอากาศรายวันกันเถอะ"
ฮาร์ดี้ยิ้ม
"ฉันไม่อยากให้สถานีโทรทัศน์ฉายแค่ 4 -5 ชั่วโมงต่อวัน"
หลังจากพูดจบเขาก็หยิบแผนการอื่นขึ้นมา
"มันต้องมีให้นานกว่านี้!"
หลายคนประหลาดใจ
'การพูดคุยด้านเศรษฐกิจกับผู้เชี่ยวชาญ' รายการนี้จะจ้างคนมาคนหนึ่งและเขาก็เชิญแขกที่คล้ายกับผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ตลาดหุ้นให้ฟัง
ซึ่งมันไม่เคยมีรายการทีวีแบบนี้มาก่อน และถ้ารายการนี้ได้ออกอากาศเมื่อไหร่
ผลกระทบที่จะมีต่อหุ้นที่ถูกพูดถึงก็จะมีแน่ๆ
ตัวอย่างก็ที่แอนดี้พูดถึงนิตยสารเพลย์บอยโดยการที่บอกเกี่ยวกับยอดขาย ทิศทางการเติบโตในอนาคต
ซึ่งคนที่ไม่ได้ตามข่าวเกี่ยวกับเพลย์บอยก็จะคิดว่ามันเป็นบริษัทที่มีผลกำไรที่ดีมาก และผลกำไรนั้นก็ยังเติบโตได้อีกในอนาคต
มันจึงเป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่นักลงทุนจะลงทุนกับเขา และผู้คนก็แห่ซื้อหุ้นทันที
แน่นอนว่ามันก็ไม่ใช่จะใช้ได้แค่กับนิตยสารเพลย์บอย
หากนำไปใช้กับหุ้นตัวอื่นผลที่ได้ก็จะออกมาเหมือนกัน
และถ้าผู้เชี่ยวชาญบอกว่าหุ้นตัวไหนไม่ดี มีข่าวร้ายๆ กับหุ้นตัวนี้
ผู้คนก็จะตื่นตระหนกและขายหุ้นทิ้งทันที มันจะเป็นเหตุทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงเหวอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของผู้เชี่ยวชาญ
ฮาร์ดี้คิดว่าไม่เป็นไรถ้าเขาจะใช้แอนดี้
เขาเคยคิดไว้ว่าระหว่างทำรายการนี้ เขาน่าจะทำเงินได้เยอะ โดยให้ทีมการเงินของแอนดี้ปั่นหุ้นในตลาด
แน่นอนว่ามันจะทำเงินให้เขาได้มากขึ้น
เอ็ดเวิร์ดเห็นพาดหัวรายการอื่นข้างๆ
"ไทม์?"
'เพลง เพลงประกอบภาพยนตร์ วิดีโอเพลง? รายการที่จะออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เพื่อให้ผู้คนได้เพลิดเพลินกับการฟังเพลงและได้ดูภาพในเวลาเดียวกัน'
เอ็ดเวิร์ดเหมือนจะเข้าใจมันนิดหน่อย
"บอส สิ่งนี้มันก็เหมือนกับตอนที่ คุณเอวาการ์ดเนอร์ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ 'นักฆ่าเพชรตัดเพชร' ใช่ไหม?"
"ใช่ มันเป็นแบบนั้นแหละ โดยเราจะทำให้มันเป็นวิดีโอเพลงในอนาคตและนำมาออกอากาศทางโทรทัศน์ให้ได้ ซึ่งจะมีผลต่อการประชาสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับนักร้องและตัวเพลง" ฮาร์ดี้กล่าว
เอ็ดเวิร์ดตระหนักได้ถึงข้อดีของตัวอย่างนี้ทันที
"แล้วถ้าบริษัทบันทึกเสียงของเราออกเพลงใหม่ เราก็ยังสามารถนำมาออกอากาศทางวิทยุพร้อมกับออกอากาศทางโทรทัศน์ได้อีกด้วย แน่นอนว่ามันจะให้ผลของการประชาสัมพันธ์ที่ดีมาก"
"บอส เรื่องนี้ผมคิดว่าเราน่าจะต้องจดลิขสิทธิ์กับมันด้วย" เอ็ดเวิร์ดกล่าว
ทว่าฟ็อกพูดขึ้นมาว่า "ฉันคิดว่าไอเดียทั้งหมดนี้ เราควรจดลิขสิทธิ์กับมันให้หมด เพื่อไม่ให้ถูกลอกเลียนแบบโดยบริษัทออกอากาศอื่น"
ฮาร์ดี้ยิ้ม "แน่นอน และก็แผนรายการทั้งหมดเหล่านี้จะให้เอ็ดเวิร์ดเป็นคนจัดการเรื่องลิขสิทธิ์ถ้ามีใครกล้าคัดลอกรายการของเราก็ฟ้องมันได้เลย โดยตั้งค่าปรับไว้สูงๆ เพื่อทำให้บริษัทออกอากาศอื่นร้องไห้เมื่อโดนฟ้อง"
รายชื่อรายการถัดไปจะเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์
"ในอนาคตบริษัทเอชดีพิคเจอร์จะสร้างภาพยนตร์ซีรีย์ของตัวเองขึ้นมา และฉันก็ได้เขียนบทภาพยนตร์ไว้สองอันพวกคุณลองดูสิ"
พวกเขารับบทภาพยนตร์มา
'My Fairy Wife'
// ชื่อนี้ผมหาไม่เจอจริงๆ
'นักฆ่าเพชรตัดเพชร'
'My Fairy wife' นั้นไม่ใช่ภาพยนตร์ที่มาจากไต้หวัน แต่จะเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับชาวอเมริกัน
ซึ่งมันเคยออกอากาศครั้งแรกในปี 1964 และมีจำนวนตอนทั้งหมด 260 ตอน
มันได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐอเมริกาในปีนั้นและได้รับรางวัลอยู่หลายปีเป็นเวลานาน
เรื่องราวของภาพยนตร์ซีรีย์นี้จะเล่าเกี่ยวกับนักแสดงที่เพิ่งเข้าวงการ โดยที่พระเอกจะได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่พึ่งเข้าสู่วงการ และเขานั้นก็ไล่ตามนักแสดงสาวคนนี้ เพื่อที่จะได้เธอมาเป็นแฟนสาวของเขา
แต่เขานั้นไม่รู้เลยว่านักแสดงสาวคนนี้เป็นแม่มด และครอบครัวของเธอยังเป็นแม่มดที่ใช้เวทมนต์ชั่วร้ายด้วย…
ตัวนางเอกนั้นมาจากสหราชอาณาจักรและเรียกฮอกวอตส์ว่าเป็นบ้านเกิดของเธอ
ซึ่งเธอนั้นชอบฮอลลีวูดและอยากเป็นนักแสดง เธอจึงมาที่ลอสแอนเจลิส
มันจะเกิดเรื่องตลกมากมายในซีรีย์เรื่องนี้ โดยจะเป็นเรื่องราวพระเอกที่ถูกแม่มดหลอก
และแม่มดที่พยายามปกป้องพระเอกจากการโดนคนอื่นหลอก มันจึงให้ความรู้สึกที่หวานแหววในบางครั้ง
ฮาร์ดี้ก็เขียนย่อหน้าสั้นๆ ไว้แล้ว เช่น 'พระเอกไล่ตามนางเอกและที่บนหัวก็มีหมวกแปลกๆ สวมไว้ หรือตอนที่นางเอกโกรธจัด เธอจึงเสกให้พระเอกมีหูที่ใหญ่ขึ้น และพระเอกก็จะไม่รู้เรื่องจึงทำให้ผู้คนมากมายหัวเราะเขา
และเมื่อนางเอกโกรธ
เธอก็จะด่าพระเอกว่ามักเกิ้ล แน่นอนว่าพระเอกนั้นไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
แต่เขาก็คิดว่านางเอกเรียกเขาว่าคนโง่แน่ๆ'
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ ‘ตัวประกอบที่กำลังรังแกพระเอกและนางเอกเข้ามาช่วยไว้ โดยการเสกให้กางเกงของตัวประกอบหายไป และแน่นอนว่าตัวประกอบคนนี้จะไม่รู้ตัวเลยว่ากางเกงหายไปแล้ว
แถมยังทำท่าทางหยิ่งพยองอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นตลอดเวลา
ซึ่งผู้คนก็จะมองว่าตัวประกอบคนนี้เป็นคนบ้าหรือเปล่า?’
พวกเขาทั้งสามคนดูบทละครเหล่านี้ และก็คิดว่าถ้ามันถูกสร้างเป็นซีรีย์ทางโทรทัศน์ขึ้นมาแล้ว…
มันก็คงน่าสนใจมากแน่ๆ และเรตติ้งยอดผู้ชมก็บูมขึ้นอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้นฉากหลังของละครเรื่องนี้อยู่ในบ้านและบริษัทภาพยนตร์
ซึ่งสถานที่เหล่านี้พวกเขามีอยู่แล้วและสามารถใช้มันได้เลย
มันน่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะอีกแน่ๆ
สำหรับนักแสดง...
ฮอลลีวูดนั้นไม่เคยมีปัญหาการขาดแคลนนักแสดงอยู่แล้ว และคุณก็สามารถหาอะไรก็ได้ในฮอลลีวูด
……………………