ตอนที่ 10 ซูสือตายไปแล้ว
เมืองเฟิงซา
เมืองนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ติดกับทะเลทรายตะวันตก และได้รับการตั้งชื่อนี้เพราะลมกับทรายที่พัดผ่านตลอดปี
เดิมทีมันอยู่ภายใต้เขตอำนาจของราชวงศ์ แต่ทั้งตะวันตกเฉียงใต้ถูกแทรกซึมโดยสำนักมาร และเจ้าเมืองก็หลงเหลือแค่ชื่อ
มันไม่ใช่การพูดเกินจริงว่าสถานที่นี้ไร้กฏหมาย
ใจกลางเมือง ที่พำนักของสำนักมาร
ภายในโถง ฝูงคนนั่งอยู่ทั้งสองฝั่ง แต่ที่นั่งบนสุดกลับว่าง
“มันก็ห้าวันมาแล้วและยังไร้ข่าวของซูสือ?”
“ยัง ข้าส่งคนไปหาเขาแล้ว แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาอยู่หรือตาย!”
“ข้าคิดว่าเขาอาจตายไปแล้ว!”
“ข้าไม่รู้ว่าเขาไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงกล้าไปหาจ้านชิงเฉิงด้วยตัวเอง?”
“เขาอาจบ้าไปแล้ว!”
“ฮึ่ม เด็กที่พึ่งพาตระกูลเพื่อขึ้นตำแหน่ง เขาจะไปโทษใครได้ที่รนหาที่ตายเอง?”
ฝูงชนพึมพำ
ซูสือไม่ได้แข็งแกร่ง แต่เขาสามารถกลายเป็นผู้นำเมืองเฟิงซาได้เพราะตระกูลซู
แน่นอน นี่ไม่ได้รับการยอมรับนักในสำนักมาร
ยิ่งไปกว่านั้น แผนการของเขาทุกรอบล้วนล้มเหลว เมืองไม่อาจทนรับความพ่ายแพ้ได้อีก
ชื่อเสียงของเขาตกต่ำ
มีหลายคนในเมืองที่หวังให้เขาตาย
ตอนนี้ ชายร่างกำยำค่อยๆเดินเข้ามา
ทั้งโถงเงียบสงัด
ชายกล้ามโตคนนี้เหมือนมังกร พลังปราณกับเลือดพลุ่งพล่านเหมือนหอคอยเหล็กกล้า แผ่แรงกดดัน
รองแม่ทัพเมืองเฟิงซา
ราชาสิงโต ซือเหมิง!
ซือเหมิงกวาดมอง ไม่ว่าเขาจะมองใคร คนผู้นั้นจะปิดปากสนิท
เขาพยักหน้าพอใจและพูด“ข้าเพิ่งได้รับข่าวจากสำนักว่าแม่ทัพซูสือตายแล้ว ข้าจะดูแลเมืองเฟิงซาเองนับจากนี้ไป”
พอได้ยิน ทั้งโถงก็เงียบ ตามด้วยเสียงปรบมือ
“ดี!”
“มันสมควรแล้ว!”
“เมืองเฟิงซาตกต่ำเพราะซูสือมานาน!’
“ด้วยแม่ทัพซือ เมืองเฟิงซาจะต้องกลับมารุ่งโรจน์เป็นแน่!”
ไม่ว่าพวกเขาจะจริงใจไหม ฝูงชนก็ยังปรบมือ ซึ่งไว้หน้าซือเหมิงมาก
ซือเหมิงหน้าแดง
เขารอวันนี้มานานนม
การอยู่ในอาณาจักรแก่นทองคำขั้นต้น แต่ต้องฟังคำสั่งจากเด็กอาณาจักรก่อตั้งรากฐาน มันทำให้หัวใจเขาเต็มไปด้วยความเกลียดและโกรธ
แต่ซูสือคือแม่ทัพมารที่ได้รับการแต่งตั้งโดยท่านผู้นำ ต่อให้เขาจะไม่พอใจ เขาก็ทำอะไรไม่ได้
แต่ด้วยความแปลกใจ คนโง่นี่กลับกล้าไปท้าทายจ้านชิงเฉิง!
“เอาล่ะ”
ซือเหมิงประสานมือและกดแน่นเข้ากับหน้าอก”ชีวิตและความตายของแม่ทัพซูยังไม่เป็นที่แน่ชัด ข้าแค่รับผิดชอบชั่วคราว และถ้าแม่ทัพซูหวนกลับมา ตำแหน่งนี้ควรยังต้องส่งกลับคืนให้เขา’
เหนือสิ่งอื่นใด เขายังต้องทำเพื่อรักษาหน้า
“อย่าพูดเช่นนั้นเลย การกลับมาของเขามีแต่จะนำหายนะมา!”
ชายผิวเข้มพูด“จ้านชิงเฉิงคือหัวหน้าศิษย์ของศาลาเทียนจี อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งฝ่ายธรรมะ!การฆ่าเขาไม่ต่างอะไรจากการบีบคอไก่”
ซือเหมิงไม่พูดอะไร แต่รอยยิ้มมีแต่จะกว้าง
ชายคนนั้นกระแอมลำคอและพูด“ในเมื่อแม่ทัพซือได้มาแทนตำแหน่งของซูสือ งั้นคฤหาสน์ของซูสือก็จะเป็นของท่าน ทุกคนคงไม่มีปัญหาสินะ?”
“ไม่มีขอรับ”
“แน่นอนว่าไม่’
มันชัดเจนว่าชายผิวเข้มคือคนของซือเหมิง
แม้กระทั่งก่อนพบศพของซูสือ ฝ่ายนี้ก็ได้คิดถึงทรัพย์สินไว้แล้ว
แต่ไม่มีใครจะยืนหยัดคัดค้าน
ใครจะกล้ายั่วยุซือเหมิงเพื่อคนตาย?
นี่คือความเป็นจริง
ชายผิวเข้มยิ้ม“แม่ทัพซือ ในเมื่อเราไม่มีอะไรจะทำกัน เราควรไปดูบ้านใหม่ของท่านกันก่อนดีหรือไม่?”
ซือเหมิงอยากเห็นมันมานานแล้ว เขาพยักหน้า“ไปดูเสียหน่อยก็ดี”
“เชิญ”ทั้งสองออกห้องโถงไป ทิ้งฝูงชนให้จ้องตากัน
..
คฤหาสน์ของซูสือตั้งอยู่ใจกลางเมือง
มีห้าประตู เจ็ดทางเข้าและลานใหญ่โต มันคือคฤหาสน์โดยแท้
แต่ตอนนี้ ซือเหมิงอยู่ด้านหน้าประตู
มีเพียงเด็กสาวหน้าตาสะอาดสะท้านที่ยืนตรงประตูและขมวดคิ้ว
“ท่านรองซือ?ท่านมาทำอะไรที่นี่?”
“รอง?”
คำพูดนี้ทำให้ซือเหมิงขมวดคิ้ว
ชายผิวเข้มโกรธ“สามหาว!คนที่ยืนตรงหน้าเจ้าคือแม่ทัพซือ!”
“แม่ทัพ?”
เด็กสาวขมวดคิ้ว“แม่ทัพของเมืองเฟิงซาคือนายท่านของข้า มันจะเป็นท่านได้ไง ซือเหมิง?”
“หึ เจ้ายังไม่รู้สินะ”
ชายผิวเข้มหัวเราะ“ซูสือตายแล้ว กระดูกของเขายังไม่เหลือ!สำนักได้แต่งตั้งแม่ทัพซือมาแทน บ้านกับทรัพย์สินทั้งหมดของซูสือจะกลายเป็นของแม่ทัพซือ!”
“เจ้าพูดอะไรนะ?”
เด็กสาวเหมือนโดนฟ้าผ่า
“นายท่าน..ตายแล้ว?”
ใบหน้าของนางซีด ตัวของนางโอนเอนและแทบล้มลงกับพื้น
ด้วยความลามกในสายตา ชายผิวเข้มกระซิบข้างหูซือเหมิง”แม่ทัพซือ ทาสผู้นี้ควรเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินกระมั้ง?ในเมื่อซูสือตายไปแล้ว งั้นนางก็ควรเป็นของท่าน?’
พอมองใบหน้าสวยของนาง ซือเหมิงก็เลียริมฝีปาก
“สมเหตุสมผล จับนางมาให้ข้า คืนนี้ข้าจะค่อยๆสั่งสอนนางเอง!’
“ขอรับ!”
ชายผิวเข้มแสยะยิ้มและเอื้อมมือไปคว้านาง
พอเจอกับฝ่ามือใหญ่ เด็กสาวไม่ทันได้หลบและได้แต่หลับตาอย่างสิ้นหวัง
แต่ทว่า ฝ่ามือนั้นไม่ได้แตะตัวนาง
เด็กสาวลืมตาอย่างสับสน เห็นแต่ร่างแข็งแกร่งยืนด้านหน้านางและมีเสียงเย็นชาแสนคุ้นเคย
“ซือเหมิง กล้าดียังไงมาแตะต้องผู้หญิงของข้า”