SN-ตอนที่ 33 การเตรียมการที่น่าสยดสยอง
อัลดิช กระจ่ายค่าแต้มสถานะใหม่ทั้ง 5 ของเขาขณะที่เขาเดินผ่านป่าอย่างคล่องแคล่ว เมื่อเทียบกับผู้วิวัฒเขาอาจจะไม่ได้เร็วเท่ากับพวกนั้น แม้แต่พลังทางกายภาพก็อาจจะไม่เท่าด้วย เหตุผลก็เพราะแรกเริ่มเดิมทีจำนวน AC ของเขาก็ไม่ได้สูงมากอยู่แล้ว
ขณะที่ อัลดิช กลับมาพบกับ วาเลร่า เขาก็กระจายค่าสถานะของเขาเสร็จแล้ว
[+2 ความสอดคล้อง,+4 โบนัสค่าความสัมพันธ์]
[+3 เวทย์มนตร์,+6 โบนัสค่าความสัมพันธ์]
[ความสอดคล้อง : 41 > 45]
[+1 ค่าความสอดคล้อง]
[เวทย์มนตร์ : 21 (28) > 27 (34)]
[มานา : 20/66 (84) > 32/72 (90)]
หลังจากที่ อัลดิช ได้สั่งให้ อีวิลอาย ตัวนึงออกสำรวจพื้นที่โดยรอบ เขาก็ต้องการมองดูว่าการสืบสวนการตายของโกสต์ไปถึงไหนแล้ว ขณะนี้ เป็นเวลาเช้าตรู่ของวันอังคาร และ แบล็ควอเตอร์ น่าจะเริ่มค้นหาตั้งแต่บ่ายวันจันทร์แล้ว เพราะ โกสต์ อาจจะใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษที่ไปปาร์ตี้วันอาทิตย์และอาจกลับมาไม่ทัน
หลังจากผ่านไป 1 วัน ดังนั้นความคืบหน้าในการค้นหาจึงไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักเพราะพวกเขาน่าจะค้นหาแต่ภายในสถาบัน และ การค้นหานอกสถาบันน่าจะเริ่มต้นในเช้าวันนี้ นี่ก็หมายความว่า อัลดิช เหลือ เวลาไม่มากแล้ว
เขาได้เดินไปถึงจุดล่าสัตว์ของ วาเลร่า และ พบ ซากศพของตะขาบอุโมงค์ที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ โดย วาเลร่า ได้นั่งอยู่แถวนั้น และ ฮัมเพลงออกมาขณะที่เธอเหวี่ยงขาไปตามจังหวะของเธอ
ส่วน กีสต์ และ ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้นั่งข้างล่าง โดยจ้องมองไปที่กันและกันอย่างระวัง
“หึ่ม แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร แต่ฉันไม่ชอบนายเลย เข้าขั้นเกลียดเลยก็ว่าได้” ไดนาไมท์ เกิร์ล กล่าวออกมา
“เคะ” กีสต์ พลันยักไหล่และหันหลังกลับมา
“หืม? จะบอกว่านายไม่สนใจงั้นหรือไม่!?” ไดนาไมท์ เกิร์ล เริ่มมีน้ำโห เห็นได้ชัดว่าเธอมีแนวโน้มที่จะโกรธได้ง่าย
อัลดิช ตั้งข้อสังเกตุ ไดนาไมท์ เกิร์ล และ ฟิสก์ เขาตระหนักได้ว่าการมอบบุคลิกให้กับพวกอันเดดเหล่านี้โดยยังคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณ จะทำให้พวกเขาดึงบุคลิกตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ออกมาใช้ และ แม้ว่าพวกเขาจะไม่หลงเหลือความทรงจำก่อนหน้านี้ แต่ร่างกายของพวกเขากลับจดจำบางอย่างได้
พวกเขาได้ทะเลาะกันอยู่ทางด้านที่มีตะขายอุโมงค์อยู่จำนวนมาก โดยตะขาบพวกนี้มีขนาดใหญ่เกือบเท่ากับหมี และ เพียงพอที่จะโอบรัดและกลืนกินมนุษย์ทั้งเป็นได้เลย
“ทั้ง 2 คน เงียบเดี๋ยวนี้ นายท่านมาแล้ว” วาเลร่า ได้กล่าวพูดขึ้น เธอได้โดดลงมาจากศพของตะขาบและคุกเข่าโค้งคำนับอย่างสง่างามราวกับอัศวินที่กำลังทำความเคารพเจ้านายของตนเอง
“เคะ” กีสต์ ได้โบกมือทักทาย อัลดิช
“ยินดีต้อนรับกลับมา หัวหน้า” ไดนาไมท์ เกิร์ล พูดพร้อมกับยืนกอดอก
อัลดิช พยักหน้าให้กับพวกเขา สำหรับตอนนี้ เขาไม่ได้ปิดกั้นตัวตนของพวกเขา เพราะการปล่อยให้พวกเขามีลักษณะเช่นนี้กลับเป็นประโยชน์อย่างน่าเหลือเชื่อ นั่นก็เพราะพวกเขาสามารถตัดสินใจและต่อสู้ได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่ ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้ฝึกฝนการทำงานเป็นทีม
นอกจากนี้ อัลดิช ยังค่อนข้างชื่นชมบทสนทนาก่อนหน้านี้
ในขณะนี้ วาเลร่า ได้ใช้ถุงมือของเธอชี้ไปที่ด้านข้าง ซึ่งมันเป็นตะขาบที่ตัวใหญ่เป็นอย่างมาก
มันมีลำตัวสีแดง ซึ่ง อัลดิช จำได้ในทันทีว่า นี่คือ ตะขาบเกราะแดง หรือก็คือมันน่าจะเป็นผู้นำของฝูงตะขาบกลายพันธุ์เหล่านี้ มันมีลำตัวยาวมากกว่า 6 เมตร และ เพียงพอที่จะตัดผ่านร่างกายของผู้คนได้ด้วยขากรรไกรล่างสีทองของมัน
บนร่างของมันมีรอยบุบขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ศีรษะและเปลือกของมันก็แตกละเอียดเป็นชิ้น ๆ นี่สามารถบ่งบอกได้ว่ามันได้เสียชีวิตภายใต้การโจมตีที่หนักหน่วงอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไอ้สารเลวนี่ทำไว้แสบจริง” ไดนาไมท์ เกิร์ล กล่าวออกมา จากนั้นเธอก็ถ่มน้ำลายใส่ศพ ก่อนที่จะยกแขนขึ้น และ เผยให้เห็นบาดแผลที่ด้านข้างของเธอ ซึ่งมันได้เผยอวัยวะภายในของเธอออกมา “รู้งี้ฉันน่าจะระเบิดมันทิ้งซะตั้งแต่ตอนแรก”
“เคะ” กีสต์ พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
เพียงแต่ในเวลานี้ ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้ถอนหายใจออกมา “เออ ฉันรู้แล้วน่า คราวหลังฉันจะไม่ประมาทอีกแล้ว”
“เคะ?” กีสต์ ยกไหล่ขึ้นอีกครั้ง
ในเวลานี้ อัลดิช ได้เดินไปที่ร่างของตะขาบเกราะแดงและเอามือวางบนหัวของมัน “จงตื่น!”
[-5 มานา]
[มานา : 32/90 > 27/90]
ตะขาบเกราะแดงได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาทันที โดยขาที่แหลมคมจำนวนมากของมันได้สั่นสะเทือนและมันก็ได้พลิกร่างกลับมาด้วยเท้าของมัน
“เห้อ!” ไดนาไมท์ เกิร์ล ได้ถอนหายใจออกมา
[+1 อันเดด (ตะขาบยักษ์เกราะแดง) เลเวล 11 ฟื้นคืนชีพ]
[ยูนิตที่ควบคุมได้ : 10/13 > 11/13]
“แล้วศพของนกอินทรี และ หมี ที่ฉันขอให้เธอมองหาเล่า?” อัลดิช กล่าวถาม
“เอาออกมาเร็วเข้า!” วาเลร่า กล่าวพูดขณะที่เธอชี้ไปที่ กีสต์
“เคะ” กีสต์ ได้อ้าปากกว้าง จนท้องของมันได้ขยายออก ก่อนที่จะคายซากศพของนกและหมีแขนใหญ่ออกมา แม้ว่าพวกมันจะเปียกโชกไปด้วยน้ำลาย แต่พวกมันกลับถูกรักษาสภาพร่างไว้เป็นอย่างดี น่าจะคล้ายกับตอนที่ ไดนาไมท์ เกิร์ล ถูก กีสต์ เก็บรักษาไว้ในท้อง
“ชวนอ้วกชะมัด” ไดนาไมท์ เกิร์ล ขณะที่เธอมองไปที่ กีสต์
“ทำดีมาก” อัลดิช ตอบกลับ จากนั้น เขาก็เดินไปที่ หมี และ นกอินทรี พร้อมกับพูดขึ้น “จงตื่น”
หลังจากที่หมีฟื้นคืนชีพ และ รอคูลดาวน์ของ สกิล [ปลุกอันเดด] คูลดาวน์เสร็จ เขาก็ร่ายไปที่ นกอินทรี ต่อ
[-10 มานา]
[มานา : 27/90 > 17/90]
[อันเดด (บิ๊กอาร์ม กิซซี่) เลเวล 8 ฟื้นคืนชีพ]
[อันเดด (อัลลอยด์-อีเกิ้ลวิง) เลเวล 7 ฟื้นคืนชีพ]
[ยูนิตที่ควบคุมได้ : 11/13 > 13/13]
อัลดิช เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ อันเดดบิ๊กอาร์ม กิซซี่ ที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับร่างของ กีสต์ แม้ว่ามันจะอ่อนแอกว่ามาก แต่พลังของมันก็อยู่ที่แขนขนาดใหญ่ของมัน โดยแขนของมันสามารถระเบิดพลังการโจมตีที่รุนแรงออกมาได้ จนแม้แต่ กีสต์ ก็ยังได้รับความเสียหายหากโดนเข้าไป
ส่วน อัลลอยด์อีเกิ้ล มันเป็นนกอินทรีขนาดใหญ่พอที่ อัลดิช สามารถขี่ได้สบาย ปีกของมันเป็นเหล็กที่มีชั้นสีที่เงาและเป็นประกาย อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นที่สามารถเคลื่อนที่ไปในอากาศได้
อัลดิช ได้ขึ้นไปบน อัลลอยด์อีเกิ้ล เพื่อทดสอบ และ พบว่ามันสามารถยกเขาขึ้นไปในอากาศได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเขาเดาว่า มันอาจจะสามารถให้ วาเลร่า นั่งด้วยก็ได้
“สุดยอด!” วาเลร่า ได้ปรบมือทันที “นายท่านสามารถโบยบินไปบนท้องฟ้าได้อีกครั้ง แม้ว่ามันจะไม่ใช่ ฟรอสต์ดราก้อน เหมือนก่อนหน้านี้ แต่ข้าหวังไว้ว่าที่โลกนี้จะมีมังกร เพราะการได้เห็นท่านขี่มังกรท่ามกลางภูเขาที่สูงตระหง่านมันทำให้ข้ารู้สึกเคารพและเลื่อมใสเป็นอย่างมาก”
อัลดิช จำสัตว์ขี่ของเขาจาก Elden World ที่ได้ตอนเลเวล 100 ได้ มันเป็น ฟรอสต์ดราก้อน ซึ่งเป็นสัตว์ขี่อันเดดที่ทรงพลังและแข็งแกร่งมากที่สุด
“ตอนนี้ยังไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้” อัลดิช กล่าว “จำภารกิจทดสอบแรกของเราได้หรือไม่ ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเราต้องไปท้าทายมันแล้ว”
“เพราะเลเวลของเราถึงข้อกำหนดในการเข้าสู่ภารกิจทดสอบแรกแล้ว”
วาเลร่า ที่ได้ยิน เธอได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างมีความสุข ก่อนที่จะวางหมวกลงและจับโล่กระดูกของเธอเอาไว้แน่น “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปลุยกันเลยเถอะ!”
=
อัลดิช ได้นำ อันเดด ทั้งหมดของเขา รวมถึง ฟิสก์ ติดตามไปด้วยโดยเขากำลังมุ่งหน้าไปที่ป้ายสัญลักษณ์ทางเข้าสู่ เน็กซัส โดยระหว่างทางเขาได้ให้ อีวิลอาย คอยสำรวจพื้นที่และลาดตระเวณพื้นที่โดยรอบ กระทั่ง สั่งให้ อีวิลอายอีกตัว คอยสอดส่องพื้นที่ใกล้เคียงของแบล็ควอเตอร์โดยตรง
จากนั้น อัลดิช ก็มองไปที่ กองทัพอันเดด ของเขาที่เติบโตมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ โดยพวกมันได้มีความหลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อ จนกระทั่ง เขาได้ดึงรายชื่อลิสต์ของพวกมันออกมา
อันเดดที่ได้รับเลือก : วาเลร่า จากโลกใต้พิภพ เลเวล 15
อันเดด (อดัม) เลเวล 3
อันเดด (เอเลเน่) เลเวล 3
อันเดด (อัลฟ่า สไตร์เกอร์) เลเวล 7
อันเดด (บิ๊กอาร์ม กิซซี่) เลเวล 9
อันเดด (ตะขาบยักษ์เกราะแดง) เลเวล 11
อีวิลอาย1 เลเวล 7
อีวิลอาย2 เลเวล 8
โครงกระดูกโจร เลเวล 7
โครงกระดูกนักธนู เลเวล 7
อันเดด กีสต์ เลเวล 17
อันเดด ไดนาไมท์ เกิร์ล เลเวล 12
อันเดด ฟิสก์ เลเวล 3
>>>
อัลดิช ได้โบกมือไปข้างหน้า ทันใดนั้น โครงกระดูกนักธนูก็มาคุกเข่าลงต่อหน้าของเขา
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานายทำงานได้ดีมาก แต่ตอนนี้ได้เวลาที่จะพักผ่อนแล้ว” อัลดิช ได้ปลดปล่อยการควบคุมโครงกระดูกนักธนู โดยมันได้แยกส่วนออกและกลายเป็นกองกระดูกที่พังทลายโดยตรง
“[สร้างอันเดด]” อัลดิช กล่าวออกมา ก่อนที่เขาจะเข้าสู่ภารกิจทดสอบ เขาจำเป็นจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้มากที่สุด ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะสร้างอันเดดที่ตรงกับระดับปัจจุบันของเขาซึ่งก็คือ 10
เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างมันในเน็กซัส ดังนั้นเขาจึงคิดจะสร้างมันขึ้นมาตอนนี้
อย่างไรก็ตาม เขามีมานาเหลือเพียงแค่ 17 หน่วย และ [สร้างอันเดด] ก็ใช้มานา 10 หน่วย ทว่าเขาไม่ได้รู้สึกเสียดายเลย
อัลดิช รู้ดีเกี่ยวกับภารกิจทดสอบเพราะเขาเล่นผ่านมันมาหมดแล้ว เขารู้ทุกเส้นทางลับและของที่ซ่อนไว้ภายในนั้น ซึ่งเป็นผลให้เขาสามารถเตรียมความพร้อมล่วงหน้าได้
ด้วยเหตุนี้ อัลดิช จึงสร้าง แกส ออกมา เพราะมันมีประโยชน์อย่างมากในการช่วยเหลือในการเคลียร์ภารกิจทดสอบในครั้งแรก
เมฆแห่งความมืดได้คละคลุ้งกระจายอยู่ข้างหน้าของ อัลดิช มันได้หมุนวนจนกลายเป็น ลูกบอลทรงกลมที่มีควันสีดำปลดปล่อยออกมา อีกทั้งกลิ่นอายของควันเหล่านี้ยังเยือกเย็นอย่างหาที่เปรียบมิได้
[สร้าง แกส เลเวล 10 ]
แกส เป็นอันเดดที่ไม่สามารถโจมตีได้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ของมันก็คือ ความสามารถในการสร้างกลิ่นอายของควันรอบ ๆ ตัวซึ่งสามารถบดบังร่างของพวก อันเดด ไว้ข้างในได้ แต่การบดบังนี้แตกต่างจากการล่องหนเพราะใครก็ตามที่เข้าใกล้ควันเหล่านี้มากพอจะมองเห็นอันเดดที่อยู่ข้างในได้ แต่โดยรวมแล้วมันก็ทำหน้าที่คล้ายกับการล่องหน
นอกจากนี้มันยังมีทักษะที่สามารถใช้งานได้เช่น [เขตแดนวิญญาณ] โดยมันจะใช้ควันของมันหยั่งรากลึกลงไปและก่อตัวเป็นสนามพลังที่ช่วยเพิ่มการต้านทานการโจมตีของธาตุจากภายนอกในขณะที่อยู่ภายใน อีกทั้งเหล่า อันเดด ยังได้รับค่าสถานะ [ร่างแข็ง] ที่เป็นพาสซีฟที่ช่วยทำให้พวกเขามีความทนทานต่อความเสียหายทางกายภาพได้อีกด้วย
“หะ?” ฟิสก์ได้เคาะกระบังหน้าของตนเองอย่างหม่นหมอง เขามองไปที่โทรศัพท์ที่เขากำลังเล่นเกมอยู่และพบว่าเฟรมเรทของมันได้ตกอย่างรวดเร็ว “เกิดอะไรขึ้น!? บ้าเอ้ย ฉันใกล้จะทำลายสถิติแล้ว บ้าจริง!”
“แกกล้าที่จะแสดงท่าทีตลกขบขันเช่นนี้ต่อหน้านายท่านงั้นหรือไม่!?” วาเลร่า กำหมัดของเธอแน่น เพียงแต่ อัลดิชช ได้ยกมือขึ้นห้ามปรามไม่ให้ วาเลร่า ลงมือ
“เดี๋ยวก่อน” อัลดิช ได้พูดขึ้น จากนั้นเขาก็มองไปที่ แกส ที่ลอยตัวอยู่เหนือเขา และ ส่งมันเข้าไปใกล้ฟิสก์ ยิ่ง แกส เข้าใกล้ฟิสก์มากเท่าไหร่ โทรศัพท์ของ ฟิสก์ ก็ยิ่งทำงานผิดพลาดมากยิ่งขึ้นจนกระทั่งมันปิดเครื่องตัวเองไปในที่สุด
“อย่างงี้นี่เอง” อัลดิช กล่าวออกมา ในตำนาน แกส เป็นที่รู้จักกันในชื่อของวิญญาณแห่งความไม่สงบ เพราะมันคล้ายกับวิญญาณอาฆาตที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากความคิดของศพ แต่ด้วยการมีอยู่ของศิลาที่ฝังอยู่ในร่างของมัน ก็ทำหน้าที่คล้ายกับตัวปลอบประโลมดวงวิญญาณไม่ให้เกิดความอาฆาตจนออกอาละวาด
ดังนั้น ความสามารถของมัน จึงค่อนข้างสอดคล้องกับสิ่งที่มีอยู่เหล่านี้
เห็นได้ชัดว่า ด้วยการปรากฏตัวของมัน มันสามารถรบกวนคลื่นสัญญาณเทคโนโลยีใด ๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น พวก กล้อง หรือ อุปกรณ์บันทึก ล้วนทำงานผิดพลาดทั้งหมด
เหตุผลที่ อัลดิช ไม่ได้เรียก แกส ออกมาก่อนหน้านี้ ก็เพราะว่ามันเปราะบางมาก เฉพาะมีเพียงมันเลเวล 10 เท่านั้น ถึงจะสามารถทนทานได้ดีในรูปแบบของพาสซีฟที่เรียกว่า [ร่างกายที่แข็งแกร่ง] ที่ทำให้มันรอดตายจากการถูกโจมตีหนักได้ 1 ครั้ง แต่ความสามารถที่เพิ่มมาใหม่นี้ เขากลับได้เรียนรู้มันโดยไม่ทันคาดคิด ซึ่งนี่มันทำให้เขาได้รับผลประโยชน์เป็นอย่างมาก
เพราะในโลกสมัยใหม่นี้ ทุกอารยธรรมล้วนมีรูปแบบของการเฝ้าระวัง
อัลดิช ได้บันทึกข้อมูลนี้ไว้ในใจ เพราะทุกครั้งที่เขาจะทำการโจมตีภายในเมือง เขาจะต้องนำ แกส ออกมาด้วย
สำหรับตอนนี้ เขาจะต้องให้ความสนใจเกี่ยวกับภารกิจทดสอบอันแรกก่อน ดังนั้น เขาจึงได้วางมือเหนือป้าย และ แสงจากป้ายก็พุ่งออกมาด้านนอก พร้อมกับหุ่อหุ้มร่างของ อัลดิช และ อันเดด ของเขาเอาไว้
—-------------