SN-ตอนที่ 30 ปล้นสะดม
[จัดการกลุ่มอันธพาลโอดินสันทั้งหมด 16 คน!]
[+80 EXP]
[แถบ EXP : 5/500 > 85/500]
“นายท่าน พวกเราจะทำลายฐานนี่ไปเลยมั้ย?” วาเลร่า ได้กล่าวถาม
“ยังก่อน พวกเราจะต้องปล้นที่นี่ไปให้ได้มากที่สุด” อัลดิช กล่าว ขณะที่เขามองไปที่ บอสของกลุ่มโอดินสัน จากนั้นเขาก็ค้นตัวของอีกฝ่ายและพบ Eye-Phone, ซิการ์, ไฟแช็ก, กระเป๋าสตางค์และที่สะดุดตาที่สุดคือชุดกุญแจรถ
อัลดิช หยิบกุญแจและโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนที่จะเดินไปหา วาเรล่า “เอาผ้าใบข้างนอกมาพันตัวเขาไว้ เราจะพาผู้ชายคนนี้ไปสอบปากคำปากอย่าง”
“สอบปากคำงั้นหรือไม่?” วาเลร่า ยิ้มออกมา “ข้าชื่นชอบการตั้งคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเห็นคนแสดงอาการเจ็บปวดออกมา”
วาเลร่า ได้คว้าคอเสื้อของบอสกลุ่มโอดินสันและกระโดดขึ้นไปด้านบนผ่านรูบนเพดานที่เธอสร้างขึ้น
อัลดิชมองไปรอบ ๆ และรวบรวมสิ่งมีค่าทั้งหมดที่เขาหาได้ เขาได้หยิบ ชิปเครดิตออกจากลิ้นชักในห้องเทคโนไปให้มากที่สุด เพราะ ชิปเหล่านี้ ผลิตโดย องค์กรเครดิต ซึ่งเป็นธนาคารเครดิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ เมื่อใส่เข้าไปในเครื่องเครดิตหรืออุปกรณ์ส่วนตัวพร้อมกับ CID ก็จะสามารถโอนเครดิตไปยังบัญชีของธนาคารเจ้าของได้โดยตรง
จากนั้นเขาก็ค้นพบกระเป๋าใบใหญ่สำหรับใส่สิ่งของ และ ในนั้นเขาทิ้งปืนพกลูกโม่ ระเบิดมือ และ กล่องกระสุน อีกทั้งยังบรรจุเครื่องกำเนิดสัญญาณและแล็ปท็อป 2 เครื่อง ที่เป็นสิ่งของ 1 ในพวกนักเทคโนลงไป
“จัดเก็บ” อัลดิช กล่าวพูดกับนักเทคโนคนแรกที่เขาฆ่า นั่นก็เพราะ มีวิญญาณดวงนึงลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา เช่นเดียวกับ คนที่ วาเลร่า ฆ่าตายไป ในทางการคำนวณ อัตราการดรอปของวิญญาณเหล่านี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะอัตราการดรอปของวิญญาณคือ 5% แต่ดูเหมือนว่ามนุษย์ทุกคนที่เสียชีวิตจนถึงตอนนี้จะได้ทิ้งวิญญาณเอาไว้ทั้งหมด
หากจะให้เชื่อถือมากขึ้น ก็คงต้องลองมองเกี่ยวกับแนวคิดที่ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีวิญญาณอยู่ในร่างกายจากนั้นทุกสิ่งอย่างก็จะดูลงตัว
นอกจากนี้ การเดินทางนี้ยังทำให้ เลเวลของ อัลดิช เพิ่มขึ้นมาก โดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
จากนั้น อัลดิช ก็มองไปที่ นักเทคโนอีกคนที่มีรูโหว่ตรงหน้าอก
[-5 มานา]
[มานา : 20/84 > 15/84]
อัลดิช ได้ใช้ช่องยูนิตสำหรับนักเทคโนโดยการปล่อยสไตรเกอร์ธรรมดาตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ เขาต้องการบอกลาพวกมันเป็นการส่วนตัวแต่มันเป็นไปไม่ได้ในที่แห่งนี้
หลังจากที่ อัลดิช วิเคราะห์พลังของนักเทคโน มันก็เป็นไปตามที่คาดไว้ นักเทคโนนี้มีพลังเหมือนกับตอนที่เขามีชีวิตอยู่ นั่นก็คือการเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ผ่านร่างกายได้
แม้ว่า พวกอันเดด จะฟื้นคืนชีพด้วยจิตวิญญาณที่สูญเสียตัวตนดั้งเดิมไป แต่พวกมันก็ไม่ได้สูญเสียพลัง
ซึ่งก็หมายความว่า อัลดิช สามารถใช้นักเทคโนเพื่อความต้องการทางด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นได้ และ เนื่องจากความสามารถในการใช้เทคโนโลยีขึ้นอยู่กับพลังงาน
ดังนั้น อัลดิช จึงได้นำแล็ปท็อปและเครื่องกำเนิดสัญญาณสำหรับการเชื่อมต่อ เน็ต เข้าไปในป่าวาแลนด้วย
ส่วนอย่างอื่น ไม่ได้มีค่าเป็นพิเศษ เพราะพวกมันคือพวก ยาเสพย์ติด อาวุธ และอื่นๆ
หลังจากเก็บเกี่ยววิญญาณที่เหลือและเดินหน้าต่อ เขาก็วางระเบิดหลายจุดในพื้นที่สำคัญต่าง ๆ เพื่อที่จะรื้อถอนพื้นที่แห่งนี้ให้สะอาด
[ได้รับ +15 วิญญาณโอดินสัน]
=
หลังจากนั้น อัลดิช ก็ออกจากฐานทัพของพวกโอดินสัน และ พบ วาเลร่า ที่ยืนอยู่กับบอสของโอดินสัน โดยการสะพายเขาไว้บนไหล่ของเธอ
“ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันต่องั้นหรือนายท่าน?” วาเลร่า ได้กล่าวถาม
“กลับไปที่ป่ากันก่อน ฉันได้รับบางสิ่งที่นี่แล้ว และ ฉันต้องการกลับไปพักผ่อนสักระยะ” อัลดิช กล่าวพร้อมกับเดินไปที่ด้านหลังฐานของโอดินสัน จากนั้นเขาก็พบรถส่วนตัวของบอสกลุ่มโอดินสัน : รถหุ้มเกราะ ARMA AEP (All Environmental Purpose)
ARMA เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงซึ่งมุ่งเน้นการขายเทคโนโลยีทางการทหาร 'ที่เอาไว้ใช้รักษาสันติภาพ' ที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้บริโภคทั่วไป นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการจัดหาอุปกรณ์ให้กับกองกำลังตำรวจ แน่นอนว่า อุปกรณ์เกรดของผู้บริโภคนั้นถูกแบ่งออกเป็นสีเขียว ในขณะที่อุปกรณ์ของพวกกองกำลังตำรวจถูกแบ่งออกเป็นสีน้ำเงิน
ซึ่งรถหุ้มเกราะของบอสนั้นเป็นระดับสีน้ำเงิน โดยปกติแล้วมันมีไว้ใช้สำหรับกองกำลังตำรวจ แต่แน่นอนว่าในตลาดมืดนั้นไม่มีกฏเกณฑ์ใด ๆ
นอกจากนี้มันเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อที่แข็งแรงและสามารถเคลื่อนที่ผ่านป่าวาแลนได้ ด้วยโครงสร้างที่แข็งแกร่ง และ มีความสามารถในการเข้าสู่ 'โหมดโฮเวอร์' ที่โฉบเฉี่ยวยิ่งกว่า ถึงแม้ว่าการเคลื่อนที่จะช้ากว้า แต่มันก็สามารถลอยชายได้อย่างอิสระผ่านช่องว่างของต้นไม้แคบ ๆ ด้วยพื้นผิวที่เล็กและความคล่องแคล่ว
อัลดิช ได้เดินไปปลดล็อกรถด้วยกุญแจที่เขาได้รับมาจากบอสพร้อมกับเปิดฝากระโปรงท้ายทันที
“ใส่ผู้ชายคนนั้นไว้ที่ท้ายรถแล้วปิดท้ายรถด้วยหลังจากเธอทำเสร็จ” อัลดิช กล่าว
“ค่ะ นายท่าน” วาเลร่า ได้ตอบกลับ เธอได้โยนร่างของบอสไปที่ด้านท้ายของรถ ก่อนที่จะจ้องมองไปที่รถหุ้มเกราะโดยเอียงศีรษะมองดูราวกับแมวขี้สงสัย “นี่คืออะไรงั้นหรือ นายท่าน?”
“มันถูกเรียกว่ารถ เป็นสิ่งของที่ผู้คนใช้ในการเดินทางไปไหนมาไหน เธออาจจะคิดว่ามันคล้ายกับภูเขาขนาดเล็ก แต่สิ่งนี้คือเครื่องจักรล้วน ๆ” อัลดิช กล่าวขณะที่เขาขึ้นไปนั่งที่เบาะหน้า หลังจากเปิดประตูด้านข้างเสร็จ เขาก็โบกมือให้ วาเลร่า ขึ้นมา
หลังจากที่ วาเลร่า ก้าวขึ้นมาและนั่งข้างอัลดิช เธอก็รู้สึกประหลาดใจกับหน้าจอและปุ่มต่าง ๆ รวมถึงแผงควบคุมที่มีไฟกะพริบรอบตัวของเธอ “ช่างน่าแปลกตาแปลกใจยิ่งนัก มันเกือบจะทำให้ข้านึกถึงอุปกรณ์ของพวกคนแคระ แต่สิ่งของเหล่านั้นต่างใช้เวทย์มนตร์ แต่สิ่งของเหล่านี้ไม่มีพลังงานเวทย์มนตร์ไหลผ่านเลย”
“ตรรกะที่เธอมี ไม่สามารถใช้งานกับที่นี่ได้” อัลดิช ได้ตอบกลับ
“นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไป” วาเลร่า กล่าวออกมา “เดิมข้ามักจะเกลียดพวกควันหรือเสียงคำรามของพวกสัตว์โลหะของพวกคนแคระมาโดยตลอด แต่หลังจากมาลองคิดดู สิ่งที่เรียกว่า เทคโนโลยีนี้อาจจะมีประโยชน์บางอย่าง”
จากนั้น วาเลร่า ก็มองไปที่ กรอบรูปที่เธอกับอัลดิช ถ่ายด้วยกัน โดยเธอได้ยืนพิงอัลดิชและยิ้มกว้างบนใบหน้า และมีบางส่วนของพวกกลุ่มคนของโอดินสันที่อยู่ด้านหลังได้ถูกเบลอเอาไว้
สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของเธอแดงทันทียามมองภาพ
อัลดิช เองก็ยิ้มให้กับ วาเลร่า ก่อนที่เขาจะไขกุญแจเข้าไปในรถและทำให้เครื่องยนต์มีเสียงดัง “เอาล่ะ ได้เวลาออกเดินทางแล้ว”
==
อัลดิช ได้จอดรถลึกเข้าไปในป่าเท่าที่จะทำได้ แต่เมื่อถึงจุดนึง แม้แต่โหมดโฮเวอร์ของรถหุ้มเกราะก็ไม่สามารถผ่านการเจริญเติบโตที่หนาทึบของป่าได้
"น่าเหลือเชื่อ" วาเลร่าพูดขณะออกจากรถ “การขี่นั้นราบรื่นมาก นี่ไม่เหมือนกับการควบม้าเลย และยังมี 'รถ' เหล่านี้อยู่มากมายอีกด้วย โดย ระหว่างทางข้าเห็นรถหลายร้อยคันเคลื่อนตัวไปมาอย่างเป็นระเบียบ”
“ใช่ ยังมีพวก สัญญาณไฟจราจรและข้อบังคับใช้กฏหมายอีก” อัลดิช ได้กล่าวสนับสนุน สิ่งที่แปลกตาก็คือแม้ว่าจะเป็นถิ่นฐานที่ค่อนข้างไร้กฏหมาย แต่บนท้องถนนที่มีการเข้าออกตัวเมืองนั้นก็ได้รับการดูแลโดยตรงจากหน่วยงาน ผู้วิวัฒ และ หน่วยงานบังคับใช้กฏหมาย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะให้การดูแลเป็นอย่างดี
นั่นก็เพราะพวกเขาได้คอยขัดขวางไม่ให้พวก เร่ร่อน คอยปิดกั้นถนนและดักปล้นระหว่างทาง หรือก็คือการป้องกันและปราบปราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนถนนที่ค่อนข้างห่างไกล ภัยคุกคามจากพวกเร่ร่อนเหล่านี้ค่อนข้างสูง
ในเวลานี้ อันเดดของ อัลดิช ได้ออกมาจากต้นไม้และพุ่มไม้และล้อมรอบรถของเขา เขาได้โบกมือให้กับพวกมัน และ รู้สึกสบายใจมากกว่าที่ได้อยู่ท่ามกลางพวกมันเหล่านี้
“ฉันกลับมาแล้ว” อัลดิช กล่าวและพยักหน้าโดยเฉพาะ อดัมกับเอเลเน่ “ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใกล้ เซ็ท โซลาร์ ไปอีกก้าวนึงแล้ว”
=
ต่อมาในคืนนั้น ขณะที่ดวงจันทร์กำลังลอยตัวสูงขึ้น และส่องแสงอ่อน ๆ ท่ามกลางผืนป่า อัลดิช ได้นั่งอยู่ในห้องเล็ก ๆ ขณะที่เขามองดูนักเทคโนที่ฟื้นคืนชีพมาและกำลังทำงานกับแล็ปท็อป โดย แล็ปท็อปนี้ได้เชื่อมต่อเข้ากับเครื่องกำเนิดสัญญาณ - ซึ่งเป็นกล่องสีดำทรงสี่เหลี่ยมที่มีไฟสีเขียวกะพริบ - จากนั้นก็เสียบเข้ากับตัวของนักเทคโนผ่านสายเคเบิล
อัลดิช ได้ยกยิ้มทันที เขากำลังทดลองว่านักเทคโนจะสามารถใช้พลังของพวกเขาในขณะที่เป็นอันเดดได้หรือไม่
ซึ่งนักเทคโนก็กำลังควบคุมพลังของพวกเขาในการควบคุมเทคโนโลยีเหล่านี้
การปรากฏตัวของผู้วิวัฒที่เป็นนักเทคโนนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ที่สร้างอนาคตให้กับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี ต้องบอกว่าแม้จะเป็นยุคปัจจุบัน พวกเขาก็มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้พวกนักเทคโน หากพวกเขาได้ทำงานเกี่ยวกับพวกเทคโนโลยี พวกเขาจะเกือบตกอยู่ในภวังค์แห่งการเรียนรู้อยู่บ่อยครั้ง กระทั่ง เสพติดมัน
ด้วยเหตุนี้ พวกนักเทคโนที่แข็งแกร่งมักจะเป็นที่รู้จักกันในด้านของการหลงใหลในเทคโนโลยีแบบสุดขั้ว กระทั่งความคิดอ่านของพวกเขาก็ยากนักที่คนธรรมดาจะเข้าใจได
เกี่ยวกับพวกนักเทคโนเหล่านี้พวกเขามีความสามารถที่คล้ายคลึงกัน
โดยบางคนสามารถแบ่งปันเทคโนโลยีของพวกเขาและอธิบายได้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร แต่มันก็เป็นกฏที่ทราบกันดีอยู่แล้ว เพราะยิ่งเป็นเทคโนโลยีระดับสูง ความเข้าใจก็จะลดน้อยลง
สิ่งนึงที่ อัลดิช ตั้งข้อสังเกตุก็คือ เขาไม่สามารถมองผ่านดวงตาหรือจิตใจของนักเทคโนได้เมื่อตอนที่อีกฝ่ายเชื่อมเข้ากับแล็ปท็อปด้วยระบบประสาท
ดูเหมือนว่าเขาจะถูกปิดกั้นในขณะที่นักเทคนั้นทำงานอยู่ ซึ่งก็หมายความว่า อัลดิช ต้องให้ความเป็นเอกเทศแก่นักเทคโนในขณะที่พวกเขาทำงาน
“เสร็จแล้ว” จากนั้นนักเทคโนก็ยื่นส่ง CIDs ปลอมให้กับ อัลดิช โดยเครดิตทั้งหมดที่เขาขโมยมาได้ถูกส่งไปยังตัวตนปลอมใหม่ในชื่อ มิสเตอร์บรูซ เวน ซึ่งทำให้เขามีทรัพย์สินคงเหลือประมาณ 10,000 เครดิตในยอดคงเหลือของเขา
แต่นี่ค่อนข้างน้อย เมื่อพิจารณาว่าเขาควรจะได้รับมรดกเครดิตหลายล้าน แต่ทว่า อัลดิช ก็ไม่ต้องการเครดิตมากมายขนาดนั้น เขาแค่ต้องการเครดิตที่เพียงพอต่อการใช้เข้าออกสถานที่ต่าง ๆ ของเมืองต่าง ๆ
“ต่อไปโทรศัพท์” นักเทคโนได้เสียบโทรศัพท์ของโกสต์ และ ของบอส เข้ากับ พอร์ตของแล็ปท็อป ก่อนที่จะเริ่มทำการแก้ไขดัดแปลงพวกมัน โดย รหัสการเข้าถึงพวกนี้ค่อนข้างเข้าใจได้ยาก สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจเทคโนโลยีอย่าง อัลดิช
โดยนักเทคโนได้สแกนเนื้อหาของโทรศัพท์เพื่อดูข้อมูลที่ อัลดิช ต้องการ
ในขณะเดียวกัน อัลดิช ก็พยักหน้าให้กับความสำเร็จในการทดสอบครั้งที่ 2 : การทดสอบเกี่ยวกับความแตกต่างของ อันเดด และ ผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพวกมัน
แม้จะมีความแตกต่างกัน แต่นักเทคโนก็ได้ยอมจำนน อัลดิช อย่างเต็มที่
เขาต้องการทดลองว่าง อันเดด สามารถแสดงออกถึงบุคลิกลักษณะของพวกมันได้มากน้อยเพียงใด และ มันจะขัดขวางคำสั่งของ อัลดิช หรือไม่
ดังนั้นเขาจึงได้จัดตั้งกลุ่มการล่าขึ้นมาซึ่งประกอบไปด้วย กีสต์,ไดนาไมต์ เกิร์ล และ วาเลร่า เพื่อเดินตรวจยามรอบป่าเพื่อล่า วาแลน โดยธรรมชาติแล้ว ก็คือให้พวกเขา ฟาร์ม EXP มาให้ นอกจากนี้ เขายังได้มอบคำสั่งให้ กีสต์ และ ไดนาไมต์ เกิร์ล ทำตามคำสั่งของ วาเลร่า อีกด้วย
กีสต์ และ ไดนาไมต์ เกิร์ล มีสัญญาณของการไม่ชอบพอซึ่งกันและกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจและปฏิบัติตามคำสั่งของอัลดิช จนทำให้ อัลดิช รู้สึกทึ่งในการทำงานของพวกเขา
ด้วยการจัดการกลุ่มคนของโอดินสัน และ กลุ่มล่าที่สามารถล่าวาแลนได้อีกหลายตัวทำให้ อัลดิช ได้ไปถึงเลเวล 9 ได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
เขาเริ่มตระหนักได้ว่า เมื่อเขามีพวกอันเดดจำนวนมาก เขาจะสามารถสร้างประสบการณ์จากที่ใดก็ได้ในหลาย ๆ ที่ เพราะ อันเดด ของเขาไม่มีขอบเขตหรือการจำกัดเวลา สิ่งนี้จะช่วยทำให้ การเติบโตของเขาเป็นแบบทวีคูณ และ นี่คือจุดเริ่มต้นของเส้นทางของเขา
เขาได้ลงแต้มค่าสถานะ 5 แต้ม ไปใน ค่าสถานะความสอดคล้องในทันที สิ่งนี้ทำให้เขามีช่องยูนิตพิเศษเพิ่มขึ้นอีก 2 ช่อง
[+5 ความสอดคล้อง,+10 โบนัสความสัมพันธ์]
[ค่าความสอดคล้อง : 31 > 41]
[ขีดจำกัดยูนิต : 10 > 12]
อัลดิช สั่งให้ วาเลร่า ช่วยมองหาศพของ อีเกิ้ลวิง และ บิ๊กอาร์ม เพื่อนำมาเพิ่มกองทัพอันเดดของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อีเกิ้ลวิง ที่เป็นที่น่าสนใจสำหรับ อัลดิช เนื่องจากมันมีขนาดใหญ่มากพอสำหรับเขาที่จะใช้เป็นพาหนะทางอากาศได้
“เอาล่ะ ผมตรวจสอบโทรศัพท์เหล่านี้เสร็จแล้ว และ ปลดล็อกไฟล์พร้อมกับโฟลเดอร์ที่ล็อกไว้หมดแล้ว ที่เหลือก็คือให้คุณตั้งชื่อมัน” นักเทคโนกล่าว “แล้วคุณต้องการอะไรอีกหรือไม่ หัวหน้า?”
“หืม” อัลดิช ครุ่นคิดเกี่ยวกับข้อมูลที่เขาต้องการสักครู่ก่อนที่จะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคร่ำครวญ
เสียงสั่นไหวได้ดังเข้ามาในหูของเขา สิ่งนี้ทำให้ อัลดิช เหลือบไปมองและพบว่า บอส กำลังกลิ้งไปมาและส่งเสียงร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวดและความกลัว หลังจากที่เขาตื่นจากฝันร้าย
“บางทีเขาอาจจะรู้ว่าฉันควรจะมองหาอะไรเพิ่มเติมก็ได้” อัลดิช กล่าวขณะที่เดินไปทางบอสและวางเท้าลงบนหน้าอกของอีกฝ่ายทันที
“ได้เวลาตั้งคำถามแล้ว”
นักเทคโนยกนิ้วให้กับ อัลดิช และ กล่าวออกมา “ครับหัวหน้า หากคุณต้องการอะไรโปรดเรียกหาผม”
====