บทที่ 801 อธิการบดี(ตอนฟรี)
บทที่ 801 อธิการบดี
“แน่นอน ฉันจะไป” จี้เฟิงตอบเสียงเรียบ “ในเมื่อคนเจี๋ยเผิงแสดงให้เห็นอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาชื่นชอบความรุนแรงมากขนาดไหน ถ้าฉันไม่ไปก็คงจะเสียหน้าแย่!”
“แต่นายไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมศิลปะการต่อสู้ ทางมหาวิทยาลัยคงไม่ยอมให้นายขึ้นเวทีประลองกับซาซากิคนนั้นหรอก” เซียวหยูซวนกล่าว “หรือต่อให้นายขึ้นเวทีประลองได้จริงๆ ซาซากิคนนั้นก็ดูเก่งมากเลย นายแน่ใจหรือเปล่าว่าจะเอาชนะเขาได้?”
“หยูซวน.. เธอรู้มั้ยว่าในประวัติศาสตร์ชาติเราตั้งแต่สมัยสงคราม มีบุคคลในตำนานมากมายที่พร้อมยอมตายในสนามรบ ไม่ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งมากแค่ไหนก็ตาม ... เห็นแบบนี้ฉันก็มีไอดอลในใจนะ!”
“ไอดอล? นายเรียกบุคคลในสมัยสงครามโลกว่าไอดอลเหรอ? แล้วนายชอบใครล่ะ?” เซียวหยูซวนถามยิ้มๆ
“จริงๆแล้วก็มีหลายคนนะ พวกเขาล้วนเป็นคนกล้าหาญ และเคยผ่านสงครามต่อต้านเจี๋ยเผิงมาแล้วทั้งสิ้น แต่คนที่ฉันชื่นชมมากที่สุดคือนายพลซุนxx!” จี้เฟิงยิ้ม
“ฉันก็เคยได้ยินชื่อนี้เหมือนกัน ดูเหมือนว่าหลังจากนั้นเขาก็กลับไปที่ไต้หวัน” เซียวหยูซวนทำท่าครุ่นคิด “แต่ถ้าจำไม่ผิด ตอนจบของเขาดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาถูกจับ...”
“ใช่ เพราะเรื่องกบฏ” จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่ว่าตอนจบของเขาจะเป็นเช่นไร แต่สิ่งที่ฉันชื่นชมคือสิ่งที่เขาทำ ในช่วงสงครามต่อต้านเจี๋ยเผิง มีนายพลหลายคนได้ดิบได้ดีหลังจากจบสงคราม แต่พวกเขากลับหวาดกลัวเมื่อต้องต่อสู้!! แต่นายพลคนนี้แตกต่างออกไป ครั้งหนึ่งเขาเคยฝังชีวิตมากกว่า 1,000 ชีวิต ทุกชีวิตล้วนเป็นชาวเจี๋ยเผิงที่มีส่วนร่วมในสงครามที่หยานจิง!” จี้เฟิงกล่าวด้วยแววตาที่เป็นประกาย “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เลือดต้องล้างด้วยเลือดเท่านั้น! ฉันชื่นชมเขาที่สุด!”
ใบหน้าที่สวยงามของเซียวหยูซวนอดไม่ได้ที่จะซีดลงเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอได้ฟังเรื่องน่าหวาดกลัวจากใบหน้าที่เป็นประกายของจี้เฟิง
“จริงๆแล้วไม่ใช่แค่เขา แต่บรรพบุรุษของเราหลายคนก็ได้ต่อสู้กับชาวเจี๋ยเผิงจนตัวตาย!” จี้เฟิงพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง
“สรุปว่านายจะไปใช่มั้ย?” เซียวหยูซวนเข้าใจเจตนาของจี้เฟิงอย่างชัดเจนแล้วในตอนนี้ และเมื่อดูจากสีหน้าท่าทางของเขา ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดา ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่มีน้ำเสียงที่หนักแน่นขนาดนี้อย่างแน่นอน
“ใช่แล้ว!” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย “ฉันอยากจะไปดูว่าชาวเจี๋ยเผิงพวกนั้นมันจะแสดงความเก่งกาจได้มากขนาดไหน โดยเฉพาะคนที่ชื่อซาซากิ ฉันอยากรู้ว่าเขาจะเอาอะไรมาจัดการกับเพื่อนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของเรา!”
“ไม่ว่านายจะไปดูเฉยๆ หรืออาจต้องขึ้นไปต่อสู้ก็ตาม นายต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่งนะ!” เซียวหยูซวนกล่าว “แต่ฉันไม่ไปด้วยนะ ฉันไม่สะดวก!”
จี้เฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ซาซากิแล้วก็พวกเจี๋ยเผิงคนอื่นๆ ไม่ก่อเรื่องก่อน ฉันก็จะไม่ทำอะไรพวกเขา!”
“อืม แบบนี้ดีที่สุดแล้ว!” เซียวหยูซวนพูดพลางยื่นผ้าขนหนูจี้เฟิง “เช็ดหน้าเช็ดตัวให้สะอาดแล้วไปเตรียมตัวได้แล้ว”
จี้เฟิงรับผ้าขนหนูมาเช็ดหน้า แต่ภายในใจของเขารู้สึกขุ่นมัวอยู่เล็กน้อย
ไม่มีอะไรอื่น ยังคงเป็นเรื่องของสองคนนั้น ไอ้วาตานาเบะและไอ้เกาต้าซง พวกมันคือภัยคุกคามและมีเจตนาไม่ดีต่อเซียวหยูซวน จี้เฟิงจะไม่ปล่อยพวกนั้นไปง่ายๆอย่างนี้แน่!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก่อนที่จะขับรถกลับมาบ้าน ใบหน้าที่มืดมนของซาซากิได้ปลุกจิตสังหารในจิตใจของจี้เฟิงให้ตื่นตัวขึ้น
ในขณะนั้น จี้เฟิงรู้สึกเหมือนกับว่าเขาได้กลับไปอยู่ในช่วงมัธยม มันเป็นในตอนที่ซูหม่า ลูกชายของรองผู้บริหารเขตเอาเรื่องถงเล่ยมาข่มขู่เขา
พฤติกรรมของ วาตานาเบะและซาซากิกระตุ้นความโกรธในจิตใจของจี้เฟิงได้สำเร็จ
เพื่อไม่ให้เซียวหยูซวนและถงเล่ยต้องกังวล จี้เฟิงไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก เขาพูดเพียงแค่ว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ล้ำเส้น เขาก็จะไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน
จากนั้นเขาก็ขับรถไปที่สหพันธ์มหาวิทยาลัย
“Rrrrr~!!”
ในขณะที่จี้เฟิงขับรถอยู่ เสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาชะลอรถและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู และพบว่าเป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจหยิบหูฟังไร้สายออกมาแล้วสวมมันก่อนจะกดรับสาย “ใครครับ?”
“ขอโทษที นั่นใช้เบอร์ของนักศึกษาจี้เฟิงหรือเปล่า?” เสียงในสายดังขึ้น จี้เฟิงรู้ได้ทันทีว่าคนที่อยู่ปลายสายค่อนข้างมีอายุ เสียงของคนแก่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แม้เสียงของคนผู้นี้จะหนักแน่นแต่ยังมีความสั่นเครือแฝงอยู่เล็กน้อย
“ครับ ผมจี้เฟิง นั่นใครเหรอครับ?” จี้เฟิงถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ในขณะเดียวกันมือของเขาก็จิ้มกดไปที่โทรศัพท์สองสามครั้งอย่างรวดเร็ว และหน้าจอก็ปรากฏขึ้นทันที
[เริ่มการติดตาม... กำลังตามหาสัญญาณ กรุณารอ... ]
“นักศึกษาจี้เฟิง ฉันชื่อฉางหย่งชิง เป็นอธิการบดีของสหพันธ์มหาวิทยาลัย” คำตอบกลับของอีกฝ่ายทำให้จี้เฟิงตกตะลึง
ฉางหย่งชิง?
จี้เฟิงจำชื่อนี้ได้ทันที นี่คือชื่อของอธิการบดีของสหพันธ์มหาวิทยาลัยจริงๆ
เขายิ้มและพูดขึ้นทันทีว่า “เป็นท่านอธิการฉางนี่เอง ไม่ทราบว่ามีคำสั่งอะไรหรือเปล่าครับ?”
“โฮะๆ สั่งอะไรกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเลขาจี้โทรมา ฉันคงไม่รู้ว่าเธอกำลังเรียนอยู่ที่สหพันธ์มหาวิทยาลัย” ฉางหย่งชินหัวเราะ “เป็นอย่างไรบ้าง เธอพอจะมีเวลามาสนทนากับคนแก่คนนี้บ้างไหม?”
จี้เฟิงรู้สึกแปลกใจมากที่จู่ๆ ฉางหย่งชิน อธิการบดีของสหพันธ์มหาวิทยาลัยมาเรียกเขาไปเข้าพบโดยตรงแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่เขาไม่ได้คาดคิด
“ผมสบายดีครับ และผมก็หวังว่าท่านอธิการจะสบายดีเช่นกัน...” จี้เฟิงหัวเราะ “อย่างไรก็ตาม ผมเป็นแค่เด็กที่เรียนแย่คนหนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านอธิการอยากจะคุยกับผมเรื่องอะไรเหรอครับ?”
ในขณะที่พูด เขาก็ยกมือขึ้นมาดูนาฬิกา และพบว่าตอนนี้เป็นเวลา 8.30 น. แล้ว ที่มหาวิทยาลัยน่าจะอยู่ในช่วงเวลาทำงานแล้ว แต่อธิการบดีจะยังมีเวลาว่างมาคุยกับเขาอีกเหรอ?
หรือจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นเมื่อวานนี้?
“ทำไมล่ะ? เด็กหนุ่มอย่างเธอกลัวว่าฉันจะทำอันตรายเธอหรืออย่างไร? โฮะๆๆ” ฉางหย่งชิงหัวเราะ
จี้เฟิงยิ้มทันที “ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นหรอกครับ! ตอนนี้ผมกำลังเดินทางไปที่มหาวิทยาลัย อีกไม่เกิน 15 นาทีก็น่าจะถึง รบกวนท่านอธิการรอก่อนแล้วกันนะครับ หวังว่าคงจะไม่ว่าอะไร”
“มาที่ออฟฟิศแล้วมาหาฉันโดยตรงได้เลย รู้ใช่มั้ยว่าออฟฟิศฉันอยู่ที่ไหน” ฉางหย่งชิงกล่าว
“รู้ครับ อยู่ในอาคารสำนักงาน” จี้เฟิงยิ้ม
“เอาล่ะ แล้วพบกัน!” ฉางหย่งชิงพูดด้วยรอยยิ้มแล้ววางสาย
จี้เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จู่ๆอธิการบดีฉางก็อยากจะคุยกับเขา เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดจริงๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาสงสัยยิ่งกว่าคือการที่อธิการบดีฉางโทรหาเขาด้วยตัวเองโดยตรงแบบนี้เป็นเพราะเรื่องระหว่างเขากับคนเจี๋ยเผิงหรือเป็นเรื่องระหว่างเขากับเซียวหยูซวน?
จี้เฟิงพอจะรู้เรื่องที่เกี่ยวกับอธิการบดีฉางหย่งชิงอยู่บ้าง
เขาเป็นชายชราอายุ 60 ต้นๆ และในปีนี้เขาวางแผนที่จะเกษียณอายุ แต่เพราะว่าเขายืนกรานอย่างหนักแน่นที่จะทำให้ระบบการศึกษาเป็นแบบเปิด เขาจึงนำสหพันธ์มหาวิทยาลัยเข้าสู่ช่องทางการพัฒนาที่รวดเร็วและมั่นคง และในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งเขาก็ทำมันได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นหลังจากที่ได้รับคำสั่งของเบื้องบนให้เขาทำงานต่อไป เขาจึงยังคงดำรงอยู่ในตำแหน่งอธิการบดีของสหพันธ์มหาวิทยาลัย
และฉางหย่งชิงก็เป็นนักวิชาการทางด้านสถาบันวิทยาศาสตร์ด้วยเช่นกัน เขาเป็นผู้จัดการด้านเทคนิค และรู้วิธีการที่จะสอนนักเรียนนักศึกษาซึ่งแตกจากสถาบันการศึกษาหลายแห่งที่ผู้นำส่วนใหญ่มีหน้าที่บริหารและจ้างผู้เชี่ยวชาญมาสอนเพียงอย่างเดียว
ดังนั้นฉางหย่งชิงผู้นี้จึงเป็นบุคคลที่มีเกียรติสูงมากในสหพันธ์มหาวิทยาลัย
แต่สิ่งที่ทำให้จี้เฟิงรู้สึกแปลกใจก็คือในสหพันธ์มหาวิทยาลัย ผู้ที่เป็นอธิการบดีไม่ค่อยได้ออกมาพูดกับนักศึกษาเท่าไหร่นัก ซึ่งแตกต่างจากสถาบันการศึกษาอื่นๆที่ผู้นำมักจะออกมาพูดให้โอวาทอยู่บ่อยๆ
หลังจากผ่านไปสิบนาที จี้เฟิงก็มาถึงมหาวิทยาลัย เขาจอดรถไว้ข้างนอก และเดินตรงไปที่อาคารสำนักงาน
เมื่อจี้เฟิงเคาะประตูห้องทำงานของอธิการบดี เขาก็ได้พบกับฉางหย่งชิง
เมื่อมองแวบแรก ชายชราผู้นี้ไม่ได้แตกต่างมากนักกับชายชราคนอื่นๆในวัยเดียวกัน ฉางหย่งชิงนั้นมีผมหงอกและริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเขาเช่นกัน แต่ร่างกายของเขายังคงดูแข็งแรงมาก ไม่ได้รู้สึกถึงความอ่อนแอเลย
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศรอบตัวของฉางหย่งชินทำให้รู้สึกได้ถึงความหนักแน่นน่าเกรงขาม และความรู้สึกที่สงบนิ่งมาก แตกต่างจากดวงตาที่สดใสของเขา มันทำให้จี้เฟิงรู้ได้ว่าชายชราผู้นี้เป็นคนที่ฉลาดมากอย่างแน่นอน ไม่ได้ธรรมดาเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก
ที่จริงแล้วหากลองมาคิดดูดีๆ การที่ได้มาอยู่จุดนี้ สามารถควบคุมมหาวิทยาลัยใหญ่ได้ขนาดนี้ คงไม่ใช่คนที่ปราศจากความรู้ความสามารถอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าการได้ตำแหน่งมาอาจได้มาด้วยเหตุผลอื่นๆก็ตาม
“สวัสดีครับท่านผู้อาวุโสอธิการ ผมจี้เฟิง” จี้เฟิงกล่าวอย่างสุภาพด้วยรอยยิ้ม
“ในสายตาของเธอ ฉันแก่มากเลยเหรอ?” ฉางหย่งชิงถามด้วยรอยยิ้ม ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของเขาเหมือนกับชายแก่ที่ใจดีมาก
จี้เฟิงยิ้มทันทีและพูดว่า “ไม่แน่นอนครับ คำเรียกของผมมันเป็นเพียงการให้เกียรติ แม้คำเรียกของผมจะไม่ได้เกี่ยวกับหนุ่มหรือแก่ แต่ถ้าชายหนุ่มเป็นอธิการสิครับ ถึงจะแปลก”
“ฮ่าๆๆ” ฉางหย่งชิงหัวเราะขึ้นมาทันที “เจ้าหนู เธอเหมือนกับที่อารองของเธอพูดไว้จริงๆ คำพูดคำจาลื่นเหมือนปลาไหลมาก ฮ่าๆๆ!”
จี้เฟิงรู้สึกละอายขึ้นมาทันที เขาเป็นคนพูดเหมือนปลาไหลเหรอ?
“จี้เฟิง ฉันได้ยินเรื่องความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับกลุ่มแลกเปลี่ยนเจี๋ยเผิงแล้ว” ฉางหย่งชิงชี้ให้จี้เฟิงนั่งลงด้วยรอยยิ้มและกล่าวต่อไปว่า “ฉันรู้ว่าเธอโกรธมาก แต่ลืมเรื่องนี้ไปเถอะ!”
.....จบบทที่ ~801