Ep.373 - แก้ไขสถานการณ์
3/3
Ep.373 - แก้ไขสถานการณ์
คนที่มาชุมนุมพากันแยกย้าย
ฮังอวี่เรียกรวมตัวจ้าวหมิง ฉูเทียนหัว และลุค
แม้ทั้งสามจะมีสถานะเป็นขุนนางแล้วก็จริง
แต่ฉูเทียนหัวและจ้าวหมิงยังคงเป็นลูกน้องของฮังอวี่ ส่วนลุคเมื่อเผชิญหน้ากับเจ้าของสามดินแดน จำเป็นต้องทำตัวสงบเสงี่ยม ยอมมาพบแต่โดยดี
เมืองหุบเขาเดียวดายยังคงเป็นจุดสนใจหลัก
ชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของฮังอวี่ในหมู่มนุษย์ในแวคน้เดียวดายสูงส่งเกินไป!
มังกรครามดูดซับประชากรมนุษย์กว่าครึ่งในแคว้นเดียวดายเป็นของตัวเอง
ในช่วงเวลาสั้นๆ สำนักกระบี่วิญญาณแห่งนิวยอร์กไม่คาดหวังว่าจะไล่ตามเขาทัน
ต่อให้สหรัฐผู้อยู่เบื้องหลังทุ่มทรัพยากรมากแค่ไหน ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม
ตัวแทนทั้งสามของสำนักกระบี่วิญญาณก็กระจ่างแจ้งแก่ใจเช่นกัน ดังนั้นแม้พวกเขาจะได้รับดินแดนเป็นของตัวเอง แต่ก็ยังไม่กล้าคิดแข็งข้อ
ฮังอวี่กล่าว “เท่าที่ผมรู้ ภายในเขตอำนาจของเมืองธารทะเลทราย มีดินแดนเล็กๆอยู่ประมาณ 30 แห่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วดินแดนเหล่านั้นกระจัดกระจายเป็นสามสี่กลุ่ม กลุ่มละเจ็ดถึงแปดดินแดน”
ฉูเทียนหัวกล่าว “หมายความว่าถ้าตอนนี้พวกเราคุมพื้นที่เล็กได้อีกสี่แห่ง ก็เท่ากับครอบครองพื้นที่ทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ ถูกไหม?”
“ถูกต้อง” ฮังอวี่มองคนอื่นๆ ก่อนหยุดสายตาลงที่ลุค “ตราบใดที่พวกเราร่วมมือกันอย่างจริงใจและสามัคคี กองกำลังจากภายนอกไม่มีทางทำร้ายพวกเราได้ง่ายๆ!”
ลุคกล่าวทันที “ฮัง ฉันรู้ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล ชาวอเมริกันและสำนักกระบี่วิญญาณไม่ใช่คนงี่เง่าไม่รู้เรื่องรู้ราว! พวกเรามีความเข้าใจชัดเจนถึงความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า!”
ดังนั้นการให้ความร่วมมือกับฮังอวี่จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ฉูเทียนหัว จ้าวหมิงต่างก็พยักหน้า
อันที่จริงด้วยขุมกำลังของมังกรคราม พวกเขาสามารถเลือกไม่มอบดินแดนให้กับพวกลุคก็ได้ ยังไงซะสำนักกระบี่วิญญาณก็ต่อกรกับมังกรครามไม่ไหวอยู่แล้ว
แต่เพื่อผลประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันก็เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีว่ามังกรครามมิใช่เผด็จการ ฮังอวี่จึงตัดสินใจทำให้คนอื่นได้เห็นความหวังว่าตัวเองก็มีโอกาสขึ้นเป็นขุนนางได้เช่นกัน
ฮังอวี่พยักหน้าด้วยความพอใจ “ดินแดนทั้งสี่ของเรากลายเป็นหนึ่ง การเติบโตของดินแดนไม่ใช่แค่ทวีคูณเป็นสี่เท่า เพราะระหว่างสองดินแดนจะมีพื้นที่รอยต่อที่ไม่มีเจ้าของอยู่ หากนับรวมพื้นที่เหล่านั้นเข้าไป จะเท่ากับว่าดินแดนในแคว้นเดียวดายที่มนุษย์ครอบครองเพิ่มเป็นสิบเท่า!”
ขุนนางทั้งสามพอได้ฟังต่างแสดงท่าทีตื่นเต้น
ดินแดนกว้างใหญ่ขนาดนี้ มันมากพอแล้วที่จะรองรับการพัฒนาที่เป็นไปอย่างรวดเร็วของทุกคน
หลังจากนี้จะยิ่งมีมนุษย์ทยอยกันเข้ามามากมาย
ขณะที่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในเลเวล 7 8 ซึ่งหากต้องการมีส่วนร่วมในสงครามแย่งชิงดินแดน ยังไงก็ต้องอัพเลเวลไปถึง 10!
ฮังอวี่กล่าวต่อไปว่า “แต่พอมีอาณาเขตใหญ่ขึ้น ก็มีปัญหาบางอย่างตามมาเหมือนกัน เช่นระยะทางเทเลพอร์ตของเมืองมีจำกัด ตามปกติแล้วรัศมีของมันครอบคลุมแค่ในพื้นที่ดินแดนรอบเมืองเท่านั้น ตรงจุดนี้ไม่สะดวกเอามากๆ”
จ้าวหมิงพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ อาศัยแค่จุดเทเลพอร์ตสองสามจุดในดินแดน มันยากที่พวกเราจะยึดครองดินแดนในโซนที่ไม่มีเจ้าของได้อย่างเต็มที่ ”
ฉูเทียนหัวกล่าว “คงจะดีถ้าเราสามารถสร้างแผ่นศิลาเทเลพอร์ตระหว่างเมือง เพื่อขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมทุกส่วนของดินแดน”
ถึงจุดนี้ สายตาของเขามองไปทางลุค
“เท่าที่ฉันรู้ สถาบันวิญญาณแห่งอเมริกา ดูเหมือนว่าจะมีพิมพ์เขียวค่ายกลเทเลพอร์ตขนาดเล็ก”
ลุคเข้าใจสิ่งที่คนจีนกลุ่มนี้กำลังจะสื่อทันที
ที่แท้พวกเขาคิดจะใช้เทคโนโลยีพิเศษของสถาบันวิญญาณ!
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ การมีเครือข่ายเทเลพอร์ตที่ครอบคลุม มันช่วยสะดวกสบายต่อการเดินทางไปมาระหว่างสี่เมืองมาก และเหมาะอย่างยิ่งต่อการยึดครองอาณาเขตรอยต่อที่ไม่มีเจ้าของ
ลุคครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วตอบว่า “สำนักกระบี่วิญญาณและสถาบันวิญญาณเป็นเหมือนคู่ขนาน แผ่นศิลาเทเลพอร์ตเป็นเทคโนโลยีที่มีความลับสูงในด้านยุทธศาสตร์ของประเทศ ฉันไม่กล้ารับประกันว่าจะโน้มน้าวพวกเจ้าหน้าที่กับหัวหน้าแผนกนั้นได้หรือไม่”
ฮังอวี่กล่าว “ต่อให้ไม่มั่นใจ แต่คุณต้องทำให้ดีที่สุด การนำเทคโนโลยีนี้มาสู่แคว้นเดียวดาย มันมีประโยชน์มากต่อการสร้างดินแดนของพวกเรา ผมคิดว่าคุณน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดี”
ลุคพยักหน้าและบอกว่าเขาจะทำให้ดีที่สุด
เจ้าตัวรู้ดี ว่าการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ มันจะเป็นประโยชน์มากต่อสำนักกระบี่วิญญาณและเมืองทรายดำ เขาเชื่อว่าผู้บริหารระดับสูงของสำนักกระบี่วิญญาณจะให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี
หลังจากหารือกันอีกเล็กน้อย ลุคก็ขอตัวจากไป
“นำเจ้ากระบองทองกับฟันแดงมาที่นี่”
เสี่ยวไป๋กับหวังเอ๋อพาอดีตขุนนางทั้งสองเข้ามา
กระบองทองและฟันแดงเมื่อเห็นฮังอวี่ แววตาของพวกมันสะท้อนถึงความหวาดกลัว
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกมันพังทลายลงแล้ว ไม่สามารถแสดงทัศนคติเย่อหยิ่งได้อีกต่อไป เวลานี้แค่อยากมีชีวิตอยู่เท่านั้น
ฮังอวี่กล่าวว่า “พวกนายทั้งคู่ทำตัวว่าง่ายก็จริง แต่ถ้าจะให้ฉันยอมปล่อยไป มันคงดูโง่เอามากๆ ฉะนั้นตอนนี้พวกนายมีทางเลือกแค่อาศัยอยู่ในเมืองหุบเขาเดียวดายในฐานะข้ารับใช้ มีข้อโต้แย้งอะไรไหม?”
กระบองทองรีบกล่าว “พวกเราพ่ายแพ้ต่อท่านขุนนางแล้ว ในฐานะผู้แพ้ พวกเราไม่กล้าขัดความประสงค์ของท่านขุนนาง”
“นั่นเป็นคำตอบที่ดี พูดตามตรง พวกนายไม่มีกองกำลังอีกแล้ว ถ้าหลบหนีก็กลายเป็นโจร แต่ถ้ายอมรับใช้ฉันด้วยใจจริง ในอนาคตพวกนายอาจได้ขึ้นเป็นขุนนางอีกครั้ง ทั้งยังมีโอกาสได้ครอบครองสถานะที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม!”
กระบองทองและฟันแดงมองหน้ากัน
“อะไร? นี่พวกนายไม่เชื่อหรอ? นายรู้ถึงตัวตนของเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเราไหม? รู้ต้นกำเนิดที่แท้จริงของเผ่าพันธุ์มนุษย์เรารึเปล่า?”
นี่เป็นจุดที่กระบองทองและฟันแดงสับสนเช่นกัน
ตามข้อมูลก่อนหน้านี้
เผ่าพันธุ์มนุษย์คือเผ่าพันธุ์เร่ร่อนที่หลบหนีออกจากแคว้นทุ่งขจี แต่ดูจากจำนวนประชากรแล้ว พวกเขาไม่เหมือนคนเร่ร่อน เพราะจะมีเผ่าพันธุ์พลัดถิ่นที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เคยมีชื่อมาก่อนในอาณาจักรมังกรโลกา และพวกมันไม่เคยได้ยินชื่อของเผ่าพันธุ์นี้มาก่อนเช่นกัน
ฮังอวี่กล่าวว่า “ฉันคิดว่าพวกนายคงพอจะเดาได้คร่าวๆแล้ว พวกเราคือเผ่าพันธุ์จุติใหม่ในโลกวิญญาณ”
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ!
แม้กระบองทองและฟันแดงจะคาดเดาความจริงข้อนี้ได้รางๆ แต่พวกมันไม่มั่นใจและไม่อยากทำใจเชื่อ เพราะยังไงซะเผ่าพันธุ์จุติมักปรากฏขึ้นในทุกๆ 2000 - 3000 ปีต่อครั้ง
ขณะที่ในโลกวิญญาณมีหลายร้อยหลายพันเขตแดน
แล้วมันจะบังเอิญเกิดขึ้นในอาณาจักรมังกรโลกาได้อย่างไร?
แต่ตอนนี้ความจริงปรากฏอยู่เบื้องหน้า พวกมันคงไม่เชื่อต่อไปไม่ได้
ฮังอวี่กล่าวว่า “ทุกครั้งที่เผ่าพันธุ์จุติปรากฏขึ้น มักนำความโกลาหลและผลกระทบใหญ่หลวงมาสู่โลกวิญญาณ ตราบใดที่เผ่าพันธุ์จุติสามารถหยั่งรากลึกในโลกวิญญาณได้ เมื่อนั้นสิ่งมีชีวิตในระดับตำนานหลายตนก็จะถือกำเนิดขึ้นจากพวกเขา หรือกระทั่งนำมาซึ่งการถือกำเนิดของเทพเจ้า”
“เพราะงั้นพวกนายคงเข้าใจ เป้าหมายและความทะเยอทะยานของพวกเราไม่หยุดแค่ดินแดนเล็กๆไม่กี่แห่ง แต่จะครอบครองทั้งดินแดนของเมืองธารทะเลทราย ครอบครองทั้งตำแหน่งผู้ครองแคว้นในโลกวิญญาณหรือกระทั่งตำแหน่งราชาแห่งอาณาจักรมังกรโลกา!”
“คิดว่าพวกเราจะสนใจแค่เมืองเล็กๆสองสามเมืองนี้หรือ? รู้ไว้เถอะว่าต่อให้พวกนายเป็นแค่คนต่ำต้อยไร้ชื่อเสียง แต่ตราบใดที่ซื่อสัตย์และภักดีต่อฉัน มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่พวกนายจะได้ขึ้นเป็นขุนนางอีกครั้งในอนาคต”
เจ้าฟันแดงและกระบองทองพอได้ยิน จิตใจของพวกมันเริ่มร้อนรุ่ม
หากเผ่าพันธุ์นี้เป็นเผ่าพันธุ์จุติจริงๆ แล้วเรื่องที่ฮังอวี่พูดไม่ใช่คำคุยโว ทุกสิ่งอาจเป็นไปได้จริงๆ!
ไม่ต้องสงสัยเลย
คำพูดเหล่านี้ให้ความหวังกระบองทองกับฟันแดงมาก
“แต่ถ้าฉันรู้ ว่าพวกนายกล้าเคลื่อนไหวลับๆล่อๆ หรือไม่เชื่อฟังคำสั่งของเรา ผลลัพธ์อย่างดีที่สุดที่ต้องเผชิญ คือถูกเนรเทศไปยังชายแดน ตกต่ำไปตลอดกาล!”
เจ้ากระบองทองและฟันแดงถูกข่มขู่โดยคำพูดของฮังอวี่
เข่าอ่อนล้มลงกับพื้น พูดซ้ำๆว่าไม่กล้าขัดคำสั่ง
ฮังอวี่ไม่ได้ซ่อนเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของมนุษย์จากเจ้ากระบองทองและฟันแดง เพราะตาบใดที่พวกมันอยู่ในเมืองหุบเขาเดียวดาย ยังไงก็ล่วงรู้ความลับนี้ได้ไม่ยาก
และการแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องของขุมกำลังมนุษย์ในอาณาจักรมังกรโลกา
ไม่ช้าก็เร็วเผ่าพันธุ์อื่นในอาณาจักรมังกรโลกาย่อมเกิดข้อสงสัย
เผ่าพันธุ์จุติคือสายเลือดใหม่แห่งโลกแห่งวิญญาณ
สายเลือดใหม่มักเปี่ยมล้นไปด้วยพลังงาน
สำหรับขุนนางส่วนใหญ่ในโลกวิญญาณ พวกมันย่อมไม่ต้อนรับขุมกำลังดังกล่าว ไม่อนุญาตให้ปรากฏตัวขึ้นในอาณาเขตของตนเอง
ในอนาคตการต่อสู้นองเลือดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!
กลับมายังเจียงเฉิง
ในที่สุดฮังอวี่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สำหรับอดีตคนไร้ความฝันอย่างเขา การต้องป่าวประกาศต่อหน้าลูกน้องเป็นเรื่องยากจริงๆ โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
“ฮ่ง เจ้านายเหนื่อยมาทั้งวัน ในที่สุดก็ได้กลับมาพักผ่อนแล้ว!” สุนัขวิ่งวนรอบบ้านอย่างมีความสุข “วันนี้เปิ่นหวังจะไปเต้นที่บาร์จนถึงเช้า!”
ฮังอวี่เอื้อมมือไปทางหัวสุนัขที่วิ่งวนจนเกิดเป็นภาพติดตา หยิกหูของมันอย่างแม่นยำ “ยังมีแรงเต้นใช่ไหม งั้นก็รีบไปทำงานซะ!”
สุนัขประท้วง “ฮ่ง เจ้านย เปิ่นหวังก็อยากพักผ่อนเหมือนกัน! ถึงเปิ่นหวังจะเป็นสุนัขที่ไม่มีสิทธิมนุษยชน แต่เจ้านายจะกดขี่เปิ่นหวังแบบนี้ไม่ได้!”
“พวกนายกลับมากันแล้วหรอ ยินดีด้วย!”
ซูหยุนปิงผลักประตูเข้ามาในห้องนอนของฮังอวี่ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เธอติดตามความคืบหน้าของเหตุการณ์ตลอดเวลา
เมื่อเห็นฮังอวี่เก็บกวาดสถานการณ์และยึดครองดินแดน กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่น เธอก็โล่งใจ
“ผมไม่นึกเลยว่าอาจารย์ซูจะเป็นห่วงผมขนาดนี้ น่าปลื้มปริ่มจริงๆ” ฮังอวี่พูดต่อว่า “สถานการณ์ในเน็ตตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
ซูหยุนปิงเพิกเฉยต่อพฤติกรรมหลงตัวเองของฮังอวี่ “ก็จะเป็นยังไงได้อีก มันต้องระเบิดอยู่แล้ว! นายลองเปิดดูเองก็ได้”
ก็นั่นน่ะสิ
ยึดดินแดนสามแห่งได้พร้อมกัน การกระทำครั้งนี้ของฮังอวี่ยิ่งใหญ่จนเรียกได้ว่าระเบิดระเบ้อ!