MDB ตอนที่ 209 ศิษย์ของภัณฑารักษ์
เนื่องด้วยพลังวิญญาณของเธอเกือบจะฟื้นคืนสมบูรณ์ เซว่เป่าเอ๋อร์จึงร่ายคาถาอาณาจักรวิญญาณอัคคีอีกครั้งกับหมาป่าอัคคีกลายพันธุ์อีกครั้ง เจ้าหมาป่าส่งเสียงร้องโหยหวนขณะที่พุ่งไปข้างหน้า
หลินจินลูบหัวของเสี่ยวฮั่ว ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะพุ่งไปข้างหน้าเพื่อต่อสู้กับเสี่ยวชิง
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวฮั่วไม่ได้เปลี่ยนขนาดของมันหรือเปิดเผยพลังเหนือธรรมชาติใด ๆ มันต่อสู้กับเสี่ยวชิงโดยใช้สถานะเริ่มต้นโดยไม่มีคาถาเสริมประสิทธิภาพใด ๆ จากหลินจิน
ทำไมถึงทำเช่นนั้น?
อย่างแรกเลยมันไม่มีเหตุจำเป็นและสองเขาต้องประหยัดพลังวิญญาณเพื่อใช้ต่อสู้กับหยางเจี๋ยในรอบต่อไป
ถึงตอนนี้ แม้แต่คนโง่ก็ยังสังเกตเห็นว่าหลินจินได้ออมมือในการต่อสู้ครั้งนี้ ในขณะเดียวกัน เซว่เป่าเอ๋อร์ได้ใช้เทคนิคก่อนหน้าของเธอโดยใช้หมัดวิญญาณไฟเพื่อลอบโจมตีหลินจิน
แต่เสี่ยวฮั่วไม่ใช่หลู่ปา เสี่ยวชิงไม่สามารถหยุดเสี่ยวฮัวได้ในขณะที่ฝ่ายหลังกระโจนเข้ามาเปิดปากและขวางหมัดอันบ้าคลั่ง
“ข้าขอยอมแพ้!” เซว่เป่าเอ๋อร์ประกาศความพ่ายแพ้ของเธออย่างเด็ดขาดทันที
ตั้งแต่เริ่มการแข่งขัน หลินจินไม่ได้ขยับแม้แต่นิ้วเดียวหรือร่ายคาถาใด ๆ เขาเอาชนะเซว่เป่าเอ๋อร์และสัตว์เลี้ยงของเธอได้อย่างง่ายดายด้วยเสี่ยวฮั่วที่อยู่ในสถานะเดิมของมันเท่านั้น
ตรงที่นั่งของเหล่าที่ปรึกษา หลัวเป่ยเหอถึงกับอ้าปากค้าง
เธอรู้ดีว่าถ้าหากเซว่เป่าเอ๋อร์ทุ่มสุดตัว แม้แต่หลัวเป่ยเหอก็ต้องเอาจริงกับเธอ แต่ในการต่อสู้ครั้งนี้ การต่อสู้ของเด็กสาว มันไม่ต่างจากการเล่นของเด็กเลย
นั่นหมายความว่าถ้าเธอต้องต่อสู้กับหลินจิน เธออาจจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้การต่อสู้ใช่หรือไม่?
หลัวเป่ยเหอรู้สึกรำคาญใจ ในขณะที่ท่านยี่ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอกล่าวว่า "ท่านเป่ยเหออย่าเพิ่งขุ่นเคืองไป นี่เป็นเรื่องปกติ ของใหม่มักจะเข้ามาแทนที่ของเก่าตลอดเวลา นี่เป็นสิ่งที่ดี”
หลัวเป่ยเหอเพียงแค่กลอกตาไปที่เขาและพูดว่า “ท่านไม่เห็นหรือว่าหมาป่าอัคคีของเป่าเอ๋อร์สามารถต่อกรกับสัตว์วิเศษระดับสามของหลู่หยุนเหอได้ แถมยังเอาชนะเขาได้ด้วย แต่เธอกลับไม่สามารถสร้างแม้แต่จะขีดข่วนให้กับหลินจินได้เลย!”
ท่านยี่ตะลึงกับคำพูดของเธอ จากนั้นเขาก็คิดอย่างรอบคอบก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไป
"ท่านพูดถูก คาถาอาณาจักรวิญญาณอัคคีของเป่าเอ๋อร์ มันเป็นหนึ่งในคาถาที่ทรงพลังที่สุดเท่าข้าเคยเห็นมา ในสถานการณ์เช่นนี้ หมาป่าอัคคีของเธอควรจะเทียบเท่ากับสัตว์วิเศษระดับสามด้วยซ้ำ แต่เธอกลับไม่สามารถทำอะไรกับหลินจินได้เลย ไม่อยากจะเชื่อเลย..."
หลัวเป่ยเหอเหลือบมองและคิดว่า 'ฮึ! เจ้าก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น'
“ดูเหมือนว่าหลินจินจะท้าทายหยางเจี๋ยต่อไปอย่างแน่นอน พูดตามตรงข้าไม่ค่อยสนใจตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้ ข้าต้องการดูว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะดำเนินไปอย่างไร”
แต่ทว่าสิ่งที่เธอคาดหวังไม่เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ เพราะในขณะที่หลินจินกำลังจะท้าทายหยางเจี๋ย ศิษย์อันดับ 6 ได้เข้ามาท้าทายหลินจินแทน
หลินจินไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เนื่องจากเขาอยู่บนสังเวียนและกฎของการแข่งขันได้กำหนดไว้ เขาจึงต้องยอมรับคำท้าจากอีกฝ่าย
ในขณะที่หลินจินเต็มใจที่จะให้เซว่เป่าเอ๋อร์ทดสอบทักษะของเธอ เขาจึงไม่คิดจะเสียเวลาอันมีค่าของเขากับคนอื่นได้
ทางด้านผู้ท้าชิง เขาได้ร่ายคาถาเสริมประสิทธิภาพ 2 อย่างบนสัตว์วิเศษของเขา ก่อนที่มันจะกระโดดขึ้นไปบนสังเวียน
หลินจินไม่ต้องการให้เสี่ยวฮั่วเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงยกมือขึ้นและเรียกใช้ทักษะการกำราบสัตว์วิเศษขั้นกลาง
ในชั่วพริบตา คลื่นพลังลี้ลับประกอบด้วยธาตุทั้งห้าได้พัดไปทั่วสนามประลอง ทำให้สัตว์วิเศษของผู้ท้าชิงหมอบลงบนและสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว
ไม่ว่าจะร่ายเวทย์เสริมประสิทธิภาพมากี่ครั้งหรือจะกระตุ้นด้วยสัตว์เลี้ยงอย่างไร มันก็ไม่มีทีท่าที่จะลุกขึ้นมาเลย
ตรงที่นั่งของเหล่าที่ปรึกษา ดวงตาของเย่หยู่โจวเป็นประกายกับสิ่งนี้ “ไม่แปลกใจเลย ภัณฑารักษ์เป็นคนที่น่าทึ่งจริง ๆ ดังนั้นศิษย์ของเขาก็ต้องไม่ธรรมดาเช่นกัน”
เย่หยู่โจวอธิบายสถานการณ์ให้ไป่เจิ้นคงและหลู่ปิ่นฟัง
ในตอนแรก เขาไม่ต้องการให้ไป่เจิ้นคงรู้รายละเอียดมากเกินไป ท้ายที่สุด มันเกี่ยวข้องกับความเป็นส่วนตัวของภัณฑารักษ์ แต่ตอนนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปิดเผยความลับออกมา
เขาได้รับคำตอบสองแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ไป่เจิ้นคงดูไม่เชื่อ
“พื้นที่ลึกลับ ผู้เชี่ยวชาญนามว่าภัณฑารักษ์ ความสามารถในการยับยั้งสัตว์วิเศษทั้งหมดและเขาเป็นพวกอมตะหรืออย่างไร? นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน? เย่หยู่โจว ข้าดูเหมือนเด็กสำหรับท่านหรืออย่างไร? ท่านกล้าดียังไงมากับพูดเรื่องไร้สาระกับข้าแบบนี้!”
เย่หยู่โจวก็โกรธเช่นกัน “ไป่เจิ้นคง ท่านสามารถเลือกที่จะไม่เชื่อก็ได้ แต่ภัณฑารักษ์เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบมา แล้วอีกอย่างท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับเทพหลิงหนานหรือไม่?”
ไป่เจิ้นคงตกตะลึง ชายชราอย่างเขาคงรู้จักเทพหลิงหนานที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน ประมาณ 50 ปีที่แล้ว เทพทั้งห้านี้ปกครองทั่วทั้งทวีปใต้ทั้งหมด
“ใช่ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับพวกเขา แล้วมันทำไม?” ไป่เจิ้นคงถาม
เย่หยู่โจวยิ้มเยาะ “ถ้าเป็นเช่นนี้ ท่านคงต้องรู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหน แค่มาดามผีเด็กเพียงคนเดียวก็สามารถทำลายล้างหลายประเทศได้อย่างง่ายดาย
ข้าได้มีโอกาสต่อสู้กับเธอ แม้ว่าข้าจะมีความได้เปรียบในการร่ายคาถา แต่มังกรทะลวงเมฆาของข้าก็ไม่อาจต่อกรกับสัตว์วิเศษของเธอได้
หากต้องต่อสู้จนตายกันไปข้าง ข้าอาจสร้างความเสียหายร้ายแรงบางอย่างให้กับเธอได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ข้าคงตายด้วยน้ำมือของเธอไปก่อนหน้านั้นแล้ว
สิ่งที่ข้าพบว่าน่าตกใจที่สุดคือความจริงที่ว่ามาดามผีเด็ก ไม่กล้าแม้แต่จะทำอะไรต่อหน้าภัณฑารักษ์และสัตว์เลี้ยงของเธอก็หยุดนิ่งไม่กล้าขยับต่อหน้าเขา”
ไป่เจิ้นคงไม่ได้พูดอะไรในขณะที่กรามของเขาลดลง แม้แต่หลู่ปิ่นที่ฟังอยู่ก็เผยสีหน้าตึงเครียดออกมา
ถ้าไม่ใช่เย่หยู่โจวพูดแบบนี้ เขาอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล
ความจริงที่ว่าคำพูดเหล่านี้มาจากปากของเขาทำให้ทุกอย่างดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
เย่หยู่โจวเรียกจั่วเหวินถังมา “พ่อบ้านจั่ว เจ้าอยู่ที่นั่นในวันนั้นด้วย บอกพวกเขาสิว่าการต่อสู้ของผู้คนจากทวีปกลาสซี่กับภัณฑารักษ์ มันเป็นอย่างไรบ้าง?”
จั่วเหวินถังรู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาชา เขาได้รายงานตามความเป็นจริง เขาไม่กล้าโกหก เขาจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร?
ทันใดนั้น หลู่ปิ่นก็พบรายละเอียดที่สำคัญ
“ท่านกำลังพูดว่าหมาป่าอัคคีระดับสี่ที่ท่านเห็นในวันนั้นคือสัตว์เลี้ยงของหลินจิน?” เขาจ้องไปที่จั่วเหวินถังและคนหลังก็พยักหน้า
เย่หยู่โจวตอบสบาย ๆ ว่า “นั่นเป็นเรื่องปกติเพราะหลินจินเป็นศิษย์ของภัณฑารักษ์ จึงไม่แปลกที่อาจารย์จะช่วยพัฒนาสัตว์วิเศษของศิษย์?”
ปกติ?
พวกเขากำลังพูดถึงการวิวัฒนาการระดับสี่ คงไม่มีใครในอาณาจักรมังกรหยกทั้งหมดทำได้ง่าย ๆ ใช่ไหม?
ตามคำอธิบายของเย่หยู่โจว จึงก็ไม่น่าแปลกใจที่ภัณฑารักษ์จะมีความสามารถนี้ ท้ายที่สุดแล้ว ชายคนนั้นก็สามารถให้วิธีการวิวัฒนาการระดับสี่ถึงห้าได้
สิ่งนี้อยู่เหนืออำนาจของอาณาจักรมังกรหยก และบางทีอาจเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญจากอาณาจักรขนาดใหญ่เท่านั้นที่ทำได้
หลังจากที่เย่หยู่โจวอธิบายเสร็จแล้ว เขาเสริมว่า “ถ้าข้าเลือกได้ ข้าอยากจะขัดแย้งกับแคว้นนาคามากกว่าภัณฑารักษ์ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาสามารถทำได้ พวกแคว้นนาคาไม่มีอะไรควรค่าแก่การกล่าวถึง
ยิ่งกว่านั้นภัณฑารักษ์บอกข้าว่าท่านจะจัดการแคว้นนาคาเอง ท่านคิดว่าคนที่วิวัฒนาการสัตว์วิเศษถึงระดับสี่ได้อย่างง่ายดายจะสามารถเอาชนะพวกเขาไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
ลูกกระเดือกของไป่เจิ้นคงกระดก ดูเหมือนเขาจะตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูกออกมา
สมมติว่าสิ่งที่เย่หยู่โจวพูดเป็นความจริง พวกเขาจะต้องไม่รุกรานภัณฑารักษ์ พวกเขาไม่สามารถแบกรับผลที่จะตามมาได้ ไม่เพียงแค่นั้น แต่พวกเขาต้องแน่ใจว่าชายผู้นี้อยู่เคียงข้างพวกเขาด้วย
อย่างไรก็ตาม มีหลายสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง
“ท่านแม่ทัพลู่ ท่านคิดว่าอย่างไร?” ไป่เจิ้นคงถาม
คำตอบของหลู่ปิ่นมาโดยไม่ชักช้า “ข้าเชื่อเขา”
หลังจากนั้น หลู่ปิ่นไตร่ตรองก่อนจะพูดว่า “ข้าเคยสงสัยแล้วว่าหลินจินต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยช่วยเหลือเขาและตอนนี้ดูเหมือนว่าลางสังหรณ์ของข้าจะถูกต้อง ไม่น่าแปลกใจที่เขาสามารถมอบสูตรยาเม็ดยาเมฆาเหนือวารีให้ข้าได้”
ตอนนี้ ไป่เจิ้นคงไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว เพราะแม้แต่หลู่ปิ่นก็ยังเชื่อ
ในขณะนี้ หลินจินใช้ทักษะกำราบสัตว์วิเศษเอาชนะผู้ท้าชิง ความสนใจของทั้งสามคนถูกดึงกลับไปที่เวทีทันที
เหล่าสาวกต่างคาดว่าชัยชนะคงตกอยู่ในมือของหลินจินอยู่แล้ว แต่พวกเขาไม่คิดว่าเขาจะบรรลุมันได้อย่างง่ายดาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เซว่เป่าเอ๋อร์มองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เธอรู้ดีว่าหลินจินได้ออมมือในการต่อสู้กับเธอก่อนหน้านี้ มิฉะนั้น เธออาจประสบชะตากรรมเดียวกันกับผู้ท้าชิงรายนี้ ซึ่งสูญเสียการควบคุมสัตว์วิเศษของเขาทั้งหมด ตอนนี้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องวิ่งหนีไปด้วยความอับอาย
“ข้าต้องการท้าทายหยางเจี๋ย!”
หลังจากที่หลินจินชนะการแข่งขันนี้ เขาก็ท้าชิงอีกฝ่ายทันที เขาไม่ต้องการให้เสียเวลาและต้องการจบธุระของเขาโดยเร็ว
การเอาชนะหยางเจี๋ยและกลายเป็นผู้ชนะการแข่งขันสาวกคือเป้าหมายของหลินจิน
และไม่มีใครสามารถหยุดเขาไม่ให้บรรลุเป้าหมายนั้นได้