ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 82 วิหารเทพแห่งขุนเขา (1)
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 82 วิหารเทพแห่งขุนเขา (1)
แปลโดย iPAT
หลี่ฉิงซานจับดาบดาวหางที่อยู่บนแผ่นหลัง หลังจากดื่มสุราพุทธะ ไม่เพียงพลังปราณของเขาจะเต็มเปี่ยมแต่มันยังแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้า มันเพียงพอที่จะเพิ่มพลังให้กับสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ บางทีดาบดาวหางของเขาอาจแหลมคมขึ้น
อย่างไรก็ตามเขาไม่มั่นใจว่ามันจะสามารถสังหารเฟิงจางในครั้งเดียวได้หรือไม่ สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณของเขาควรจะเหนือกว่าดาบวายุหลายระดับ มันเป็นสมบัติที่แท้จริง แต่หากเขาล้มเหลวในการสังหารศัตรู ข่าวจะแพร่กระจายออกไป เขาจะดึงดูดผู้คนเข้ามาและไม่ใช่เพียงนักสู้ชั้นหนึ่งแต่รวมถึงจอมยุทธ์กำลังภายใน
เขายังไม่สามารถควบคุมสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณชิ้นนี้ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อเขาใช้มัน มันจะดูดพลังปราณทั้งหมดของเขา หากเขาล้มเหลว ความแข็งแกร่งและความเร็วของเขาจะลดลงอย่างมาก เขาจะกลายเป็นเนื้อที่วางอยู่บนเขียง
เมฆดำเลยเข้ามาปกคลุมท้องฟ้าเอาไว้อีกครั้ง ในคืนที่มืดมิด หลี่ฉิงซานเคลื่อนที่ผ่านภูเขาโดยตั้งใจมองหาภูมิประเทศที่ขรุขระและยากลำบาก เขาปีนขึ้นไปบนหน้าผาและกระโดดข้ามหุบเขา
เฟิงจางไล่ล่าเขาอย่างไม่ลดละด้วยดวงตาสีแดงก่ำ มันดูราวกับเขาสามารถมองเห็นได้ในความมืด อย่างไรก็ตามสายตาของเขาไม่ได้ใกล้เคียงสายตาของหลี่ฉิงซานเลย ท้ายที่สุดดวงตาของหลี่ฉิงซานก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยน้ำตาของวัวดำ หากพวกเขาอยู่บนพื้นราบ บางทีเฟิงจางอาจตามทัน
น่าเสียดายที่พวกเขาอยู่บนภูเขา ทักษะหมัดปีศาจพยัคฆ์ช่วยหลี่ฉิงซานได้มาก เขาเคลื่อนที่ผ่านภูมิประเทศที่ซับซ้อนได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อเวลาผ่านไป เฟิงจางก็ไม่สามารถติดตามหลี่ฉิงซานได้อีกต่อไป
หลี่ฉิงซานสร้างระยะห่างออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับพยัคฆ์ที่กำลังล่าสัตว์ เขาซ่อนตัวอยู่ในรอยแยกของหุบเขาที่มีหิมะปกคลุมด้านล่างหน้าผา เขาจับดาบดาวหางไว้ในมือและยังเรียกเสี่ยวอัน ตราบเท่าที่เฟิงจางมา เขาจะออกไป แม้เขาจะล้มเหลวในการฆ่า อย่างน้อยเขาก็จะทำร้ายฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด นั่นจะทำให้เขามีเวลาพักหายใจ จากนั้นเขาจะไล่ล่าเฟิงจางไปจนกว่าฝ่ายหลังจะตาย
ทันใดนั้นเสียงของเฟิงจางก็ดังกังวาลไปทั่วหุบเขา “หลี่ฉิงซาน ข้าจะถลกหนังเจ้าทั้งเป็นและเฉือนเจ้าเป็นชิ้นๆ! ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า!” มันดังมากจนหิมะถล่มลงมาเล็กน้อย
หลี่ฉิงซานตระหนักว่าเฟิงจางจะไม่มาหาเขาในเวลานี้ เขาถอนหายใจด้วยความเสียดาย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้แสแยภัยคุมคามนี้ เขาซ่อนตัวอยู่ชั่วครู่ก่อนจะออกจากรอยแยกของหุบเขา หลังจากยืนยันว่าเฟิงจางไม่ได้ตามมา เขาก็สะบัดหิมะออกจากร่างกายและเดินเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา
หลังจากได้รับแผนที่ ในที่สุดเขาก็รู้ชื่อของภูเขามากมายที่เขาจ้องมองจากระยะไกลมานานมากกว่าสิบปี
มันคือเทือกเขาไร้ขอบเขต
เป็นชื่อที่ดี!
เขาเดินขึ้นไปบนยอดเขาและมองเทือกเขาที่ทอดตัวยาวออกไปอีกครั้ง ตอนนี้เขาไม่รู้สึกเหมือนคนหลงทางอีกต่อไป เขาเห็นสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในระยะไกล เมื่อเขามุ่งหน้าไปหามัน เขาพบว่ามันไม่ใช่หมู่บ้านแต่เป็นวิหารร้างของเทพแห่งขุนเขา นอกจากห้องโถงหลัง โครงสร้างอื่นพังไปแล้ว อย่างไรก็ตามอย่างน้อยมันก็ทำให้เขามีที่พักหลบลม
เขาไม่กลัวความหนาวเย็น แต่การอยู่ในโลกแห่งหิมะและน้ำแข็งทำให้พลังปราณของเขาถูกกัดกร่อน
ภายใต้ความช่วยเหลือจากเสี่ยวอัน เขาพบถ้ำหมี หมีจำศีลในฤดูหนาว มันยังนอนหลับสนิทและไม่ตื่นขึ้น ดังนั้นหลี่ฉิงซานจึงเข้าไปฆ่ามันด้วยหมัดและแบกมันกลับวิหารเทพแห่งขุนเขา
เนื่องจากความแตกต่างด้านเคล็ดวิชา ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเสี่ยวอันจึงไม่แหลมคมเหมือนหลี่ฉิงซาน แต่เด็กน้อยไวต่อกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตมาก แม้แต่หลี่ฉิงซานก็ยังไม่พบถ้ำหมีท่ามกลางหิมะในทันที
ห้องโถงที่กว้างใหญ่มีเพียงความว่างเปล่า แม้แต่แท่นบูชาก็หายไป เป็นไปได้ว่าชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงเก็บมันไปเป็นฟืนแล้ว อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานยังพบรูปปั้นเทพแห่งขุนเขาที่สูงกว่าสามเมตรยืนอยู่บนแท่น มันเป็นรูปปั้นไม้เนื้อแข็งที่ผุพังไปตามกาลเวลาที่ถูกทิ้งไว้
ชาวบ้านอาจไม่กล้านำรูปปั้นไม้ของเทพเจ้าไปเผาเป็นฟืนเพราะยังเกรงกลัว แต่หลี่ฉิงซานไม่กังวลเรื่องนี้ เขาใช้เวลาอยู่กับสัตว์ประหลาดมานาน ทั้งตัวเขาและเสี่ยวอันก็ฝึกฝนทักษะของภูตผีปีศาจ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องบูชาภูตผีหรือเทพเจ้าองค์ใด เขาทุบรูปปั้นไม้ออกเป็นชิ้นๆและใช้มันทำฟืนจุดไฟ จากนั้นเขาก็ถลกหนังและแยกชิ้นส่วนหมี เขาไม่ต้องใช้เครื่องมือใดๆ เพียงใช้เล็บกรีดเบาๆ เขาก็สามารถชำแหล่ะเนื้อหนีได้อย่างง่ายดาย
หัวใจหมีกลายเป็นอาหารเย็นของเสี่ยวอัน หนังหมีถูกวางไว้บนพื้นเหมือนเสื่อ เนื้อหมีวางอยู่บนกองไฟ
เมื่อพูดถึงปีศาจ ปีศาจก็มา วัวดำเดินเข้ามาหาหลี่ฉิงซาน
หลี่ฉิงซานพูดติดตลกว่ามันเหมือนตำรวจในภาพยนตร์ที่มักปรากฏตัวเฉพาะตอนท้ายเรื่องเท่านั้น
วัวดำชำเลืองมองรูปปั้นในกองไฟและพยักหน้าราวกับมันพึงพอใจเป็นอย่างมาก มันถาม “วันนี้เจ้ารู้สึกอย่างไร?”
หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้ารู้สึกเหมือนข้าไม่รู้สิ่งใดเลย ข้าถูกหัวเราะเยาะ ท่านไม่เคยอธิบายเรื่องราวต่างๆให้ข้าฟัง แม้ขาจะได้รับความแข็งแกร่งของเก้ากระทิงและสองพยัคฆ์ แต่ข้าจะเอาชนะคนอื่นๆได้จริงงั้นหรือ? จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งขั้นสองและแก่นแท้ทองคำ พวกมันคือสิ่งใด?”
วัวดำกล่าว “ตอนนี้เจ้าเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งมากกว่าให้ข้าพยายามอธิบายให้เจ้าฟังแล้วมิใช่หรือ? เจ้าจะรู้ในไม่ช้าว่าความสามารถที่ข้ามอบให้เจ้ามีประโยชน์หรือไม่ สำหรับจอมยุทธ์และแก่นแท้ทองคำ พวกมันเป็นการจัดระดับและติดฉลากของพวกมนุษย์”
หลี่ฉิงซานกล่าว “แล้วข้าไม่ใช่มนุษย์งั้นหรือ?”
วัวดำเพียงเผยรอยยิ้มซึ่งทำให้หลี่ฉิงซานรู้สึกหงุดหงิด เขาคว้าเนื้อหมีและเริ่มกลืนมันลงไป หลายส่วนยังไม่สุกและมีเลือดปนอยู่ แต่เขาไม่รู้สึกว่ามันน่าขยะแขยง ตรงข้าม เขารู้สึกว่ามันมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เพียงไม่นานเขาก็กินเนื้อหมีจดหมด
เขารู้สึกว่าตนเองเป็นมนุษย์ที่ไร้อารยธรรมอยู่บ้าง แต่ตราบเท่าที่เขาสามารถกินดื่ม เขาก็ไม่สนใจสิ่งใด หลังจากทานอาหาร เขาก็เริ่มฝึกฝน เขาค้นพบว่าหลังจากดื่มสุราพุทธะร้อยปี มันทำให้เขาเข้าใกล้ขั้นแรกของหมัดปีศาจพยัคฆ์มากขึ้น อย่างไรก็ตามเขายังไม่สามารถทะลวงขอบเขต
เขาถามวัวดำแต่คำตอบที่ได้รับไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจ หมัดปีศาจวัวมั่นคงและหนักแน่น มันต้องพึ่งพาการฝึกฝนที่ขมขื่น ขณะที่หมัดปีศาจพยัคฆ์ต้องก้าวข้ามการฆ่า
ฆ่า! หลี่ฉิงซานก้มหน้าครุ่นคิด
บนภูเขาที่มืดสนิท แสงสว่างเพียงจุดเดียวสามารถเดินทางไปได้ไกลแสนไกล หลี่ฉิงซานนอนบนหนังหนีโดยถือดาบดาวหางไว้ในมือ เขาให้เสี่ยวอันซ่อนตัวขณะที่เขารอเหยื่ออยู่อย่างเงียบๆ
เขาเปิดเปลือกตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาเห็นเฟิงจางและคนอีกห้าคนได้แก่หัวหน้าหออู๋ เว่ยตันตง ชูซิน ลู่ติงรุ้ย และหวังห่าว ทุกคล้วนเป็นนักสู้ชั้นหนึ่ง พวกเขาปิดล้อมวิหารเทพแห่งขุนเขาเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้หลี่ฉิงซานหลบหนี
เงาจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ พวกเขาคือศิษย์หรือผู้ใต้บังคับบัญชาของคนทั้งห้า มีนักสู้ชั้นสองจำนวนมาก คนที่อ่อนแอที่สุดก็ยังอยู่ในระดับนักสู้ชั้นสาม
หลี่ฉิงซานไม่เคยคิดว่าขณะที่เขารอให้เฟิงจางติดเบ็ด เขาจะดึงดูดผู้คนจำนวนมากเข้ามา แม้เฟิงจางจะบ้าคลั่งเพราะความโกรธ แต่เขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้จักยืมมือผู้อื่น
เฟิงจางเต็มไปด้วยความสุขเมื่อเห็นหลี่ฉิงซาน อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นป้ายหมาป่าเหล็กดำที่เอวของฝ่ายหลัง เขาก็กลายเป็นโกรธจัด คนผู้นี้พรากทุกอย่างไปจากเขา ก่อนที่เขาจะกล่าวสิ่งใด หลี่ฉิงซานก็ชิงกล่าวก่อน “แม้ข้าจะไม่รู้จักชื่อของพวกเจ้า แต่ก่อนหน้านี้พวกเจ้าล้วนเป็นบุคคลที่น่านับถือ เขาสร้างความอัปยศให้กับพวกเจ้า แต่ในพริบตา พวกเจ้ากลับกลายเป็นลูกน้องของเขา พวกเจ้าไม่คิดว่าสิ่งนี้น่าขายหน้างั้นหรือ?”