ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 81 ความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 81 ความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่
แปลโดย iPAT
หวังฝูซื่อชำเลืองมองถุงหินวิญญาณ “ท่านผู้บัญชาการ มันล้ำค่าเกินไป” สุราพุทธะของเขามีค่าไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของมัน เห็นได้ชัดว่ากู่เยี่ยนหยินเรียกเขามาที่นี่เพื่อมอบหินวิญญาณเหล่านี้ให้เขา นี่ทำให้หวังฝูซื่อไม่สามารถอธิบายความรู้สึกสำนึกขอบคุณที่มีต่อนางได้
“เพียงรับมันไป หินวิญญาณเหล่านี้ไม่ถือเป็นสิ่งใดสำหรับข้า” กู่เยี่ยนหยินกล่าวก่อนจะหันหน้าไปทางฮัวเฉิงซาน “เสี่ยวฮัว สิ่งที่เจ้าขาดตอนนี้ไม่ใช่หินวิญญาณ อย่าเพียงบอกคนอื่นให้ใช้เวลาในการฝึกฝนแทนการรังแกเด็ก เจ้าควรใช้เวลากับการบ่มเพาะมากกว่านี้ ท่ามกลางผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสิบแปดคนของข้า มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ยังเป็นจอมยุทธ์กำลังภายใน หากเจ้าไม่สามารถก้าวข้ามภัยพิบัติสวรรค์และสร้างรากฐานที่ถูกต้อง เจ้าก็ยังคงเป็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่งเท่านั้น”
หลี่ฉิงซานไม่แปลกใจเลยที่กู่เยี่ยนหยินรู้ว่าเฟิงจางกำลังโกหก เพียงนั่งอยู่ที่นี่ นางก็รู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองชิงหยางหมดแล้ว ในสายตาของคนทั่วไป นี่เป็นความสามารถที่มีเพียงเทพเซียนเท่านั้นที่ครอบครองได้
ฮัวเฉิงซานหัวเราะคิกคัก “ถูกต้อง ถูกต้อง หัวหน้ากู่ ข้าจะทุ่มเททั้งชีวิตกับการบ่มเพาะอย่างแน่นอน”
ในตอนท้าย กู่เยี่ยนหยินยังหันหน้าไปหาหลี่ฉิงซาน “น้องเล็กฉิงซาน ข้าจะมอบแผนที่นี้พร้อมกับบางคำแก่เจ้า เขตรุ้ยอี้และยุทธภพเป็นเพียงมุมหนึ่งของโลกใบนี้เท่านั้น”
หลังกล่าวจบคำ นางก็ออกเดินทาง แขนเสื้อของนางสะบัดตัวไปตามแรงลมดุจปีกของนกอินทรีย์
ก่อนที่หลี่ฉิงซานจะได้สติ ร่างสีขาวก็หายไปที่เส้นขอบฟ้าเรียบร้อยแล้ว
นางบินได้!
เขาพึมพำคำกล่าวของกู่เยี่ยนหยินและตระหนักว่าหากเขายังอยู่ในเมืองชิงหยางต่อไป เขาจะไม่มีวันได้พบนางอีกเลย
ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ ร่างของเฟิงจางกลับเปียกโชกไปด้วยเหงื่อราวกับเขาพึ่งถูกดึงขึ้นมาจากแอ่งน้ำ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนพึ่งรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจอย่างหนักหน่วง
การแสดงออกของหวังฝูซื่อกลายเป็นเคร่งขรึมและดุดัน
หลี่ฉิงซานพึ่งสังเกตเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นคนที่น่าประทับใจและน่ากลัวเช่นกัน ภายใต้ความสว่างไสวของกู่เยี่ยนหยิน หวังฝูซื่อดูเหมือนลุงข้างบ้านที่ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น แต่เมื่อกู่เยี่ยนหยินจากไป รัศมีของชายชราก็เปล่งประกายราวกับลาวาที่เอ่อล้นออกมาจากภูเขาไฟ
หลี่ฉิงซานรู้สึกถึงอันตรายโดยสัญชาตญาณ ราวกับมีใบมีดวางอยู่บนลำคอของเขาและสามารถตัดศีรษะของเขาจากร่างได้ในพริบตา เขากัดฟันและกำหมัด ภายใต้แรงกดดันมหาศาล กระดูกของเขาราวกับกำลังส่งเสียงลั่น
เฟิงจางทรุดตัวลงคุกเข่าด้วยเสียงดังก้อง
หวังฝูซื่อไม่ต้องการแม้แต่จะชำเลืองมองเฟิงจางที่ทำตัวน่าละอาย หากเปรียบเทียบกับหลี่ฉิงซาน ทั้งสองแตกต่างกันราวกับขั้วตรงข้าม
“ทิ้งป้ายหมาป่าเหล็กดำไว้และไปซะ!” หากหวังฝูซื่อพบสถานการณ์เช่นนี้ในเวลาอื่น อย่างมากเขาก็จะตำหนิเฟิงจางเท่านั้น แต่การกระทำที่น่าละอายของเฟิงจางต่อหน้ากู่เยี่ยนหยินทำให้หวังฝูซื่อรู้สึกสูญเสียใบหน้า เขาโกรธมาก คนชั้นต่ำผู้นี้คิดว่าตนเองสามารถหลอกลวงตัวตนเช่นกู่เยี่ยนหยินได้จริงๆ
แม้กู่เยี่ยนหยินจะไม่ได้กล่าวออกมาโดยตรงและนางก็ไม่ได้โกรธแต่เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจเพียงครั้งเดียวของนางก็ตัดสินชะตากรรมของเฟิงจางไปเรียบร้อยแล้ว
“ท่านผู้คุมกฎ!” เฟิงจางกรีดร้องราวกับถูกฟ้าผ่า
ในหูของหลี่ฉิงซาน เรารู้สึกราวกับได้ยินเสียงคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้าก่อนที่นกจะถูกปล่อยออกจากกรงและตายไป เขาคิดว่าคนผู้นี้เพียงถูกไล่ออก เหตุใดเขาจึงทำหน้าเหมือนพ่อแม่ตาย? นั่นไม่ใช่วิถีของบุรุษ
หลี่ฉิงซานไม่รู้ว่าสิ่งนี้มีความหมายต่อเฟิงจางอย่างไรและไม่เข้าใจความยากลำบากในการเข้าร่วมหน่วยหมาป่าอินทรีย์ ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์สามารถเรียนรู้เคล็ดวิชามากมายที่ไม่ปรากฏในยุทธภพได้จากหอตำราของพวกเขา นอกจากนี้แม้เขาจะพบคนที่แข็งแกร่งกว่าในยุทธภพ แต่คนเหล่านั้นยังต้องสุภาพกับเขา ตระกูลของเขาภาคภูมิใจในอัตลักษณ์นี้ของเขา เมื่ออัตลักษณ์นี้ถูกพรากไป เขาก็จะเป็นเพียงจอมยุทธ์กำลังภายในคนหนึ่งของยุทธภพเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหวังฝูซื่อมีชื่อเสียงเรื่องใจแข็งเหมือนเหล็ก เขาจะไม่กลับคำพูด หากเฟิงจางไม่ปฏิบัติตาม บางทีเขาอาจต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ เขาวางป้ายหมาป่าเหล็กดำลงบนโต๊ะด้วยมือที่สั่นเทาและชำเลืองมองหลี่ฉิงซาน
มันเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้น มันมากพอที่จะถลกหนังและกันกินกระดูกของเขา คนปกติอาจนอนไม่หลับเป็นเวลาหลายเดือนหากพบเห็นสายตาเช่นนี้ แต่หลี่ฉิงซานไม่ใช่คนปกติ เขามองกลับโดยปราศจากความหวาดกลัวหรือความลังเลใจใดๆทั้งสิ้น หลังจากผ่านเรื่องทั้งหมด พลังใจของเขาก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับก่อนหน้าอีกต่อไป
ท้ายที่สุดเฟิงจางก็ต้องถอนสายตาจากเขาและรีบร้อนจากไป
หวังฝูซื่อกล่าว “รับไป!”
หลี่ฉิงซานเก็บแผนที่เอาไว้อย่างระมัดระวัง แม้มันจะไม่สามารถใช้ในการบ่มเพาะหรือสังหารศัตรู แต่มันก็ทำให้เขาเข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น
แม้เขาจะเป็นกบในบ่อน้ำ แต่วันหนึ่งเขาจะพิสูจน์ว่ากบตัวนี้สามารถกระโดดออกจากบ่อน้ำและกางปีกบินขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้า
ประสบการณ์ที่น่าอับอายครั้งนี้ไม่ได้ทำลายความมั่นใจในตัวเขา ตรงข้าม มันทำให้ความทะเยอทะยานในหัวใจของเขายิ่งแข็งแกร่งขึ้นและตั้งเป้าหมายได้ไกลขึ้น
ฮัวเฉิงซานเผยรอยยิ้มแต่ในใจของเขามีคำบางคำ ‘ความไม่รู้คือความสุข วันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจว่าตนเองอยู่ห่างจากนางมากเพียงใด แม้เจ้าจะเต็มไปด้วยพรสวรรค์ พบการเผชิญหน้าโดยบังเอิญ หรือทำงานอย่างหนัก เจ้าก็ไม่มีทางเข้าใกล้นางได้’
“และนี่” หวังฝูซื่อหรี่ตามองป้ายหมาป่าเหล็กดำ
หลี่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจ เขาหยิบป้ายหมาป่าเหล็กดำขึ้นมา ความเย็นจากป้ายเหล็กทำให้เขารู้สึกสบายไปทั้งตัว
ป้ายชิ้นนี้ถูกหลอมขึ้นมาจากเหล็กดำ มันช่วยให้ผู้ถือครองสามารถรวบรวมจิตใจและป้องกันผลกระทบย้อนกลับจากความผิดพลาดในการฝึกฝน ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เขากลายเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่คนในยุทธภพหวาดกลัวไปแล้ว ทั้งหมดนี้เกิดจากวิธีที่กู่เยี่ยนหยินปฏิบัติต่อเขา
หวังฝูซื่อเก็บโต๊ะเก้าอี้และเตาผิงเข้าไปในกระเป๋าใบเล็กที่เอวของเขาก่อนจะยืนขึ้น “ตอนนี้เจ้ายังไม่ถือเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่สมบูรณ์ จงไปรายงานตัวกับจ้าวจื่อป๋อที่เมืองเจียผิง!” หลังกล่าวจบคำ หวังฝูซื่อก็หยิบกระบองเหล็กออกมาและโยนขึ้นไปในอากาศ จากนั้นชายชราก็กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนกระบองเหล็กที่ลอยค้างอยู่ตรงนั้น
ฮัวเฉิงซานตบไห่หลี่ฉิงซานและมองเขาราวกับกำลังอธิษฐานขอให้เขามีสุขภาพที่แข็งแกร่ง เขากล่าวเพียงคำเดียว “วิ่ง!”
กระบองเหล็กของหวังฝูซื่อพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าและทิ้งเส้นแสงเอาไว้เบื้องหลัง
“ตาแก่หวัง รอข้าด้วย!” ฮัวเฉิงซานก้าวข้ามระยะทางหลายสิบเมตรในครั้งเดียวและหายตัวไปในชั่วพริบตา
ก่อนที่หลี่ฉิงซานจะรู้สึกทึ่งกับวิธีการอันน่าอัศจรรย์เหล่านี้ จิตสังหารที่รุนแรงก็พุ่งเข้าโจมตีเขาแล้ว เฟิงจางวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับสุนัขบ้า
หลี่ฉิงซานไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเฟิงจางที่บ้าคลั่งในเวลานี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของฮัวเฉิงซานด้วยการใช้เคล็ดวิชาหมัดปีศาจพยัคฆ์ออกวิ่งทันที
เขากระโดดขึ้นสู่อากาศขณะที่ดาบสายลมอันแหลมคมกวาดผ่านตำแหน่งเดิมของเขาก่อนจะตัดต้นสนขนาดใหญ่ขาดเป็นสองส่วน ลำต้นของมันค่อยๆเลื่อนลงและทรุดตัวยลงกับพื้นในที่สุด
หลี่ฉิงซานชำเลืองมองและรู้สึกตกใจกับสิ่งนี้ นี่อาจไม่ได้เกิดจากความสามารถของเฟิงจางเท่านั้นแต่เป็นเพราะดาบวายุของเขา กล่าวได้ว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมกองกำลังผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์น่าประทับใจมาก มันไม่สามารถเปรียบเทียบกับสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณครึ่งๆกลางๆที่อยู่ในมือของนักสู้ชั้นหนึ่งหรือนักสู้ชั้นสองของยุทธภพ
ตามคำบอกเล่าของวัวดำ สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณทุกชิ้นมีพลังพิเศษบางอย่างเป็นของตัวมันเอง ดาบที่สามารถปล่อยดาบสายลมออกมาควรเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณระดับต่ำหรือกระทั่งสูงกว่านั้น