SN-ตอนที่ 28 ทำลายแก๊ง (1)
===
“อีกนิดเดียวก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ฮ่าฮ่า” แบรนท์ กล่าวพูดขณะที่พา อัลดิช และ วาเลร่า ก้าวไปข้างหน้า ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ปลายโถงทางเดินที่มีแสงสลัว เหลือเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นก่อนที่จะถึงห้องเทคโนโลยีที่สว่างไสว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนของแก๊ง 2 คนก็ได้รับคำสั่งให้หยุดทำงานและซ่อนตัวอยู่ใต้เคาน์เตอร์และโต๊ะทำงานจนกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะจบลง
“ตรงนั้น เข้าไปในประตูนั่น” แบรนท์ พูดขณะที่ชี้ไปที่ทางเข้าห้องเทคโนโลยีที่เปิดอยู่ “บอส เองก็อยู่ที่นั่นด้วย นายสามารถเจรจากับเขาได้ ฉันพนันได้เลยว่า นายจะได้รับการปฏิบัติอย่างดีเลยล่ะ”
“เข้ามาเถิด เราไม่กัดหรอก แม้ว่าพวกเราจะเป็นโจรปล้นสะดมและทำธุรกิจมืด แต่เราก็ขโมยจากพวกที่ร่ำรวยภายในเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบเท่านั้น”
“สำหรับพวก ดัดส์ 2 คน พวกเรามีแต่ความเอื้ออาทรเท่านั้น” บอสได้กล่าวพูด เขาถูกระบุว่าเป็นหัวหน้าแก๊งนี้ อีกทั้งเขายังถือปืนกลหอกพลังงาน ที่มีที่มาจาก กุงเนียร์ หอกในตำนานที่ชาวนอร์ส เทพโอดิน ใช้
เขายืนอยู่ที่ด้านหลังของประตูหลายเมตรด้วยรอยยิ้ม อีกทั้งยังอยู่ในตำแหน่งที่ดูเหมือนจะเป็นเหยื่อล่อด้วย แต่ไม่เห็นลูกน้องทั้ง 5 คนที่ถือกระบองดักรออยู่ที่ข้างประตู
ดวงตาปีศาจ ที่อยู่ภายในห้องเทคโนโลยี ได้เฝ้าดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งตัวแรกถูกวางไว้ด้านนอก และ อีกตัวคอยสอดส่องจากภายใน
“ใช่ เข้าไปข้างในเถอะ” แบรนท์ ยิ้มอย่างหิวกระหาย และ โบกมือให้ อัลดิช และ วาเลร่า เดินเข้ามา
“ดูเหมือนว่าบอสของพวกนายจะเอื้อเฟื้อพวกเรามากเลยนะ” อัลดิช กล่าวพูดออกมา
“หือ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ก็เพราะบอสนั้นชอบคุยธุรกิจกับพวกลูกค้า เขาให้ความสำคัญกับลูกค้ามากนะรู้มั้ย”
“ฉันไม่ได้ถาม” อัลดิช กล่าว พร้อมกับร่าย [ระเบิดกลายอายพลังงานเชิงลบ] ให้กับตัวเอง พลังงานสีเขียวได้ไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา และ ปกคลุมไปด้วยรัศมีบาง ๆ ที่ทำให้มองเห็นได้ นับจากนี้เป็นเวลา 10 วินาที อัลดิช จะได้รับ ค่าสถานะเวทย์มนตร์ 20% ในด้านความแข็งแกร่ง ความคล่องตัว และ ความเข้าใจ ในกรณีของเขา นี่เป็น ค่าโบนัสสถานะ
[-15 มานา]
[มานา : 55/84 > 40/84]
**[หมายเหตุผู้เขียน: อัลดริชดื่มขวดมานาไป 2 ชาร์จก่อนหน้านี้]**
[ความแข็งแกร่ง : 11 > 17]
[ความคล่องตัว : 10 > 16]
[ความเข้าใจ : 10 > 16]
อัลดิช ได้เอื้อมมือไปจับ กะโหลกชุบโครเมียมของ แบรนท์ โดยนิ้วของเขาได้เจาะไปที่กะโหลกศีรษะจนทำให้มันบิดเบี้ยวไปด้วยรอยแตกอย่างรวดเร็ว
“อั๊ก-ไอ้เวรนี่!?” แบรนท์ ได้ตะโกนออกมา
“ฉันจะไปทางซ้าย เธอไปทางขวา” อัลดิช กล่าวออกมา
“เข้าใจแล้ว นายท่าน” ทันใดนั้น วาเลร่า ก็เผยแววตาสีแดงออกมา
อัลดิช ได้กระโดดเข้าไป โดยถือ แบรนท์ ไว้ทางซ้ายเพื่อใช้เขาเป็นโล่มนุษย์ คนของโอดินสัน 2 คน ที่มีกระบองไฟฟ้า ได้หวดกระบองออกมา แต่ก็โดนเพื่อนของพวกเขาเท่านั้น แบรนท์ พลันตัวสั่นและปรากฏฟองที่มุมปากของเขาทันที
อัลดิช เหวี่ยง แบรนท์ ไปทางพวกที่โจมตีเขา ทำให้อีกฝ่ายเปรียบเสมือนลูกโบว์ลิ่งมนุษย์
จากนั้น อัลดิช ก็เหลือบมองไปทางด้านข้างที่ วาเลร่า อยู่
วาเลร่า ได้โดนไม้กระบองไฟฟ้า โจมตีที่ไหล่ของเธอ กระแสไฟฟ้า ได้ไหลผ่านร่าง เพียงแต่ เธอได้ยิ้มให้กับ คนของโอดินสัน ทั้ง 3 คน ที่ตีเธอด้วยกระบองไฟฟ้า
“แค่นี้? แรงแค่นี้เองหรือไม่? พวกเจ้าทำให้ข้ารู้สึกเจ็บไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย? เธอยังยืนไหวอยู่ได้ยังไง!?” คนของ โอดินสัน ได้พูดขึ้นขณะที่เหวี่ยงกระบองอีกครั้ง
แต่คราวนี้ วาเลร่า ได้คว้ามือของคนของโอดินสันแล้วหักเหมือนกับกิ่งไม้
“อ๊ากกก!” คนของโอดินสันได้คุกเข่าลงพร้อมกับปล่อยกระบองในมือทันที
“ถอยออกไปจากเขาซะ!” คนของ โอดินสัน อีก 2 คนได้พุ่งเข้ามาขณะที่พวกเขาฟาดกระบองเข้าไปและพยายามจะดึงข้อมือของ วาเลร่า ออกจากข้อมือของพี่น้องของเขา เพียงแต่ไม่มีใครสามารถทำให้ วาเลร่า ขยับตัวได้
“น่าสมเพช!” วาเลร่า กล่าวพูดพลางทำสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างเต็มที่ “พวกเจ้าต้องการให้ข้าปล่อยเขาใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ได้”
เสียงกรีดร้องของความเจ็บปวดได้ดังขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ วาเลร่า ฉีกแขนของ คนของโอดินสันออกจากกันในทันที สิ่งนี้ทำให้ เลือดได้ไหลออกมาจากแขนที่แยกส่วนของเขา และ วาเลร่า ก็พาดมันไว้ที่ไหล่ของเธอ ก่อนที่จะใช้มันทุบตี คนของโอดินสัน อีก 2 คน จนทำให้ กะโหลกศีรษะของพวกเขายุบและฆ่าพวกเขาไป
หลังจากนั้น วาเลร่า ก็ได้ดูดซับเลือดที่อยู่โดยรอบมาเติมพลังให้กับ เกราะ [Crimson Furnace] ของเธอ
ในขณะเดียวกัน อัลดิช ก็พยายามปิดฉากคนของโอดินสัน
วาเลร่าสามารถเอาชนะศัตรูได้ด้วยพลังทางกายภาพที่เหนือชั้นของเธอ ในขณะที่ อัลดิช ได้เอาชนะศัตรูด้วยศิลปะการต่อสู้ที่เขาเคยฝึกฝนมาก่อนหน้านี้
เขาได้ถือกระบองขึ้นมาและจับมันอย่างชำนาญก่อนที่จะกระแทกไปที่คอของพวกเขา แม้กระทั่ง จิ้มหลอดลมของพวกเขา หรือ ใช้นิ้วจิ้มตาที่เหลือของพวกเขาออกและจัดการพวกเขาอย่างแม่นยำ
สิ่งนี้ทำให้ โอดินสัน 3 คน ซึ่งรวม แบรนท์ พิการและส่งเสียงคร่ำครวญออกมาบนพื้น แบรนท์ ได้เสียชีวิตลงจากการบีบกะโหลกศีรษะของอัลดิช จากนั้น อัลดิช ก็ฆ่า คนของ โอดินสัน ที่เหลือด้วยการกระทืบคอของพวกเขา สิ่งนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่มีทางลุกขึ้นมาต่อต้านใหม่ได้ และ หลังจากนั้นเขาก็ปิดพลังของเขา
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นภายในเวลาเพียง 1 วินาทีครึ่งเท่านั้น ก่อนที่พวกโอดินสันจะได้ทันดึงปืนพกของพวกเขาออกมาเสียอีก
“ประสบความสำเร็จในการทดลอง” อัลดิช กล่าว “ด้วย [ระเบิดกลิ่นอายพลังงานเชิงลบ] และ ศิลปะการต่อสู้ของฉัน ฉันสามารถเอาชนะผู้วิวัฒติดอาวุธได้ แต่ให้ฉันเดา พวกขยะเหล่านี้ ไม่คู่ควรเป็นสิ่งที่ท้าทายด้วยซ้ำ”
“ใช่เลย นายท่าน” วาเลร่า กล่าวพูดอย่างเห็นด้วย หลังจากกระทืบเท้าลงบนศีรษะของคนของโอดินสัน จากนั้น เลือดจำนวนมากก็ไหลออกมาและซึมเข้าสู่ร่างของ วาเลร่า “แม้แต่เลือดของพวกมันก็ยังส่งกลิ่นเหม็น เดิมข้ารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้สูบฉีดเลือดของมนุษย์ที่สดใหม่ แต่เลือดของพวกมันเป็นแค่ของเสีย ที่มีรสชาติเหมือนกับสนิมและโลหะ”
“พวกไซเบอร์เนติกส์พวกนี้ไร้ค่าเกินไป” อัลดิช กล่าว
“ได้ยังไง!? เป็นไปไม่ได้? พวกแกหลีกเลี่ยงเครื่องสแกนมาได้ยังไง!?” บอส พูดขณะที่เล็งปืนหอกไปที่ วาเลร่า และ ยิงออกไป
ปืนพลังงานได้ยิงออกไปและชนเข้ากับเกราะป้องกันเลือดของ วาเลร่า จนการโจมตีได้สลายหายไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
วาเลร่า ได้หันไปทาง นายท่านของเธอ จากนั้นก็จ้องมองไปที่ อีกฝ่าย ดวงตาของเธอได้กลายเป็นสีแดง และ เผยให้เห็นความโหดร้ายออกมาในทันที
“อะ-อะไรกัน!?” บอสได้ก้าวถอยหลังออกไปขณะที่เข่าของเขานั้นสั่น เขากำหมัดแน่น และ เปิดใช้ดวงตาอีกข้างนึง โดยดวงตาข้างนี้ ได้ปล่อยพลังงานสีขาวที่ก่อให้เกิดม่านแสงโปร่งใสออกมาป้องกันเขาทันที “พวกแกสองคนเป็นใครกัน!? พวกฮีโร่งั้นเหรอ!?”
เขามองไปที่ ร่างกายที่เปื้อนเลือดของพวกเขาและกล่าวออกมา “ไม่ สิ่งนี้ไม่ใช่การกระทำของพวกฮีโร่ เป็นวายร้ายงั้นหรือไม่!? หรือว่าพวกแกทำงานให้แก๊งอื่น!?...หากมันเกี่ยวข้องกับเงิน ฉันสามารถจ่ายให้ได้ หากพวกองค์กรไทรเด้นสัญญาอะไรไว้ ฉันสามารถให้สิ่งที่พวกแกต้องการได้!”
อัลดิช ได้กลายเป็นแข็งทื่อทันที “ไทรเด้น?”
เขาได้ยินเสียงตะโกนและเสียงฝีเท้าที่ดังกึกก้องอยู่ข้างหลังของเขา ดูเหมือนว่าคนของโอดินสันจะได้รับการแจ้งเตือนการต่อสู้แล้ว
“วาเลร่า ฉันฝากเธอดูแลทุกคนที่อยู่นอกห้องนี้ด้วย จำไว้ อย่าปล่อยให้มีใครรอดชีวิต” อัลดิชกล่าวออกมา “ส่วนฉันจะจัดการทุกอย่างที่นี่เอง”
รอยยิ้มของ วาเลร่า ได้ขยายเพิ่มมากขึ้น แก้มของเธอได้แยกออกจากกันจนรอยยิ้มแทบจะฉีกไปถึงหู จากนั้นเธอก็เผยฟันแหลมที่คมและดุร้ายออกมา
“ตามประสงค์เลย นายท่าน” วาเลร่า ได้ตอบกลับ น้ำเสียงของเธอได้แสดงให้เห็นถึงความไร้มนุษยธรรม จากนั้นเธอก็หายตัวไปราวกับภาพเบลอ และ เมื่อร่างของเธอหายไป ก็ปรากฏเสียงกรีดร้องขึ้นตามทางเดิน
อัลดิช ได้ปิดประตูห้องเทคโนโลยีที่อยู่ด้านหลังของเขา และ ล็อกมันไว้ จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่ บอสที่เป็นหัวหน้าแก๊งโอดินสัน โดยดวงตาที่เป็นสีเขียวของเขาได้ฉายแววออกมา และ ภายใต้แสงนั้นก็คือความเยือกเย็นที่ยากจะหยั่งถึง