บทที่ 792 ไม่ธรรมดา!(ตอนฟรี)
บทที่ 792 ไม่ธรรมดา!
“เล่ยซือ ทำไมไม่พูดไม่จา แถมหน้าตายังบูดบึ้งน่าเกลียดได้ขนาดนั้นล่ะ?” จี้เฟิงขมวดคิ้วและมองไปที่จางเล่ย “อะไรทำให้นายโกรธขนาดนี้? เฉินจิ้งยี่ทิ้งนายแล้วเหรอ?”
ในร้านอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสหพันธ์มหาวิทยาลัย หลังจากที่จี้เฟิงและคนอื่นๆในหอมาพบกับจางเล่ย พวกเขาก็มาที่ห้องอาหารเล็กๆของร้านอาหารแห่งนี้โดยมีฮั่นจงเป็นเจ้ามือ และสั่งอาหารมากินกันอย่างง่ายๆ
แต่ใบหน้าของจางเล่ยนั้นบึ้งตึงราวกับว่าทุกคนติดหนี้เขาอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลก เพราะปกติแล้วจางเล่ยเป็นคนที่สนุกสนานเฮฮา หลายคนไม่เคยเห็นจางเล่ยเป็นแบบนี้มาก่อน
“เปล่า ไม่ใช่เรื่องผู้หญิง นายไม่รู้เหรอว่าพี่ชายคนนี้มีเสน่ห์มากขนาดไหน? มีหรือที่ผู้หญิงจะทำให้ฉันเชื่องได้ง่ายๆ เหอะ! เธอไม่กล้าทิ้งฉันหรอก!” จางเล่ยพูดอย่างเคร่งขรึม แต่ก็ยังคงเป็นสไตล์จางเล่ย “นอกจากนี้ ในฐานะผู้ชาย ถ้าผู้หญิงไม่สนใจจริงๆ มันจำเป็นมั้ยที่จะต้องร้องไห้คร่ำครวญ? ฉันไม่ไร้ค่าขนาดนั้นหรอก!”
“แล้วอะไรที่ทำให้คุณหน้าตาบึ้งตึงหงุดหงิดได้ขนาดนี้?” จ้าวไคถามด้วยรอยยิ้ม
“จะอะไรซะอีก ก็ไอ้พวกเวรผีน้อยเจี๋ยเผิงนั่นไง!” จางเล่ยอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ก็ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเขาจะเต็มไปด้วยความโกรธ เขากัดฟันแน่นและพูดต่อไปว่า “ไอ้พวกสารเลวเจี๋ยเผิงมันกล้ามาก ตอนที่พิธีกรเชิญตัวแทนของกลุ่มแลกเปลี่ยนขึ้นมาพูด มีผู้ชายที่ชื่อซาซากิเดินขึ้นมา แล้วแทนที่มันจะเจียมเนื้อเจียมตัวขอบใจพวกเราที่ต้อนรับเป็นอย่างดี แต่แม่งกลับพูดจาอวดดี ท้าทายศิลปะการต่อสู้ของจีน...”
จางเล่ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียด โดยเฉพาะคำพูดของซาซากิ ถึงแม้ว่าเขาจะใส่อารมณ์นิดหน่อย แต่ท่าทางการพูดและใบหน้าที่เย่อหยิ่งจางเล่ยได้เลียนแบบเหมือนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์!
จะเห็นได้ว่าคำพูดของซาซากิกระตุ้นความโมโหของจางเล่ยอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเขาจึงจำมันได้อย่างชัดเจน
ใบหน้าของจี้เฟิงและคนอื่นๆจากที่ตอนแรกยิ้มแย้ม ก็เริ่มบูดบึ้งขึ้นเช่นกัน พวกเขาถูกหยามที่หน้าประตูบ้าน ถูกชี้หน้าแล้วถามว่ามีคนในบ้านที่เก่งพอจะทำให้มันรู้สึกสนุกได้บ้างหรือเปล่า? มันไม่ใช่การท้าสู้อย่างมีมารยาทด้วยซ้ำ มันเป็นการยั่วโมโหที่อวดดีมาก!
“ไอ้พวกสารเลว!” ฮั่นจงยิ้มเหี้ยม “ไม่รู้ว่าคนที่กล้าพูดแบบนี้ในประเทศจีนกลายเป็นศพไปกี่ศพแล้ว!”
“พวกนั้นคิดว่าตอนนี้เราอยู่ในช่วงราชวงศ์ชิงตอนปลายหรือยังไง?” จ้าวไคส่ายหัว
ตู้เส้าเฟิงใช้หมัดชกเข้ากับฝ่ามือของตัวเอง แววตาของเขาเปล่งประกายไปด้วยความกระหายในการต่อสู้ บางครั้งก็มีแสงเย็นฉายวาบออกมาจากดวงตาของเขา
“ถ้าฉันบ้ากว่านี้อีกซักหน่อยนะ ฉันคงจะขึ้นไปต่อยแม่งให้ร่วงคาเวทีไปแล้ว ดูสิว่ามันจะยังลอยหน้าลอยตาพูดจาอวดดีได้อยู่อีกรึเปล่า!” จางเล่ยพูดอย่างโกรธเคือง
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวว่า “เราจะไปต่อยใครเพียงเพราะเขาพูดโม้เพียงไม่กี่คำไม่ได้หรอกจริงมั้ย? โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแขกของมหาวิทยาลัย ก็ได้แต่รอดูกันไปว่ามหาวิทยาลัยจะมีท่าทีกับเรื่องนี้ยังไง”
“ลืมมันไปซะ กินข้าวกันดีกว่า ถ้ายิ่งคิดมันจะยิ่งทำให้หมดอารมณ์กิน!” จางเล่ยโบกมืออย่างหมดความอดทน
จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย แต่ในใจเขาก็ค่อนข้างไม่พอใจเช่นกัน การกระทำของเจี๋ยเผิงเรียกได้ว่าอุกอาจ แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาและเพื่อจะสามารถจัดการได้ อย่างมากก็แสดงความไม่พอใจกันเป็นการส่วนตัว ส่วนเรื่องที่จะตัดสินอย่างไรมันเป็นเรื่องของผู้นำมหาวิทยาลัยจะต้องทำ
“มันเป็นแค่กลุ่มแลกเปลี่ยนเล็กๆ ไม่ต้องไปสนใจมากหรอก แม้ว่าพวกนั้นจะเอาชนะทุกคนในมหาวิทยาลัยเราได้จริงๆ ก็คงไม่ได้ทำให้พวกนั้นอยู่ยงคงกระพันหรอกจริงมั้ย?” จี้เฟิงพูดพลางส่ายหัว
“จริง!” จางเล่ยพยักหน้าและกล่าวว่า “มาดูกันว่ามหาลัยจะมีวิธีการจัดการกับเรื่องนี้ยังไง อย่างน้อยก็คงไม่ขี้ขลาดจนทำตัวหงอยอมให้ไอ้พวกเจี๋ยเผิงแพล่มได้ตามใจอย่างวันนี้หรอก ไม่อย่างนั้นจะเอาหน้าที่ไหนมาอธิบายให้พวกเราฟัง!”
“มาๆ กินๆ!”
………………..
ในเวลาเดียวกันแต่ห่างออกไปจากสหพันธ์มหาวิทยาลัยประมาณหนึ่งกิโลเมตรหรืออาจจะมากกว่านั้น มีโรงแรมสามดาวชื่อว่า จินลี่โฮเต็ล และผู้คนจากกลุ่มแลกเปลี่ยนเจี๋ยเผิงก็พักอยู่ที่นี่
ตามแผนเดิมของสหพันธ์มหาวิทยาลัย พวกเขาจัดแจงที่พักสำหรับกลุ่มนักศึกษาแลกเปลี่ยนเจี๋ยเผิงไว้ที่อาคารหอพักที่สร้างขึ้นใหม่
มีครูและเจ้าหน้าที่ไม่มากนักอาศัยอยู่ในอาคารนี้ และเพื่อความปลอดภัยของกลุ่มแลกเปลี่ยนเจี๋ยเผิง ทางมหาวิทยาลัยจึงจัดให้อยู่ในอาคารหลังนี้
แม้ว่าสภาพแวดล้อมของที่นี่จะไม่ได้หรูหราและดีเท่าโรงแรมติดดาวข้างนอก แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเลย
อย่างไรก็ตาม กลุ่มแลกเปลี่ยนเจี๋ยเผิงปฏิเสธที่จะอาศัยอยู่ที่นี่โดยพวกเขาให้เหตุผลว่าเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว และจ่ายค่าโรงแรมที่พวกเขาจะพักด้วยตัวเอง
เพราะแบบนั้น ทางมหาวิทยาลัยจึงต้องจองห้องพักของโรมแรมจินลี่ให้กับพวกเขาด้วยความจนใจ สุดท้ายแล้ว ในฐานะเจ้าบ้าน ก็ไม่อาจปล่อยให้แขกจ่ายค่าที่พักเองได้ เพราะถ้าเรื่องนี้กระจายออกไป มันก็ยากจะที่อธิบาย
หลังจากกลับมาถึงโรงแรมที่พัก กลุ่มแลกเปลี่ยนจากเจี๋ยเผิงก็จัดประชุมสั้นๆขึ้นทันที
กลุ่มแลกเปลี่ยนเจี๋ยเผิงนำโดยรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยเกียวโตชื่อว่า อิจิโร่ วาตานาเบะ เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุ 40 ต้นๆ มีรูปร่างค่อนข้างท้วม พุงป่องและใส่แว่น
สมาชิกคนอื่นๆของกลุ่มแลกเปลี่ยนนั่งล้อมกันเป็นวงกลมและฟังคำพูดของ รองอธิการบดีอิจิโร่ วาตานาเบะ ซึ่งเป็นผู้นำทีมในครั้งนี้
ในประเทศเจี๋ยเผิง ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมไหน เรื่องลำดับชั้นค่อนข้างซีเรียส โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนที่เกือบจะเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง ซึ่งเข้มงวดมากและไม่สามารถลามปามได้แม้แต่น้อย
มันจึงเป็นเรื่องปกติที่เมื่อครูอาจารย์ดุนักเรียนแล้วนักเรียนจะไม่กล้าขัดขืนหรือโต้เถียง ไม่เช่นนั้นบทลงโทษอาจรุนแรงถึงขั้นถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ดังนั้น นักเรียนเหล่านี้จึงนั่งตัวตรงและฟังการบรรยายของอิจิโร่ วาตานาเบะอย่างตั้งใจ
“วันนี้ฉันจะพูดถึงจุดประสงค์ของการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ ซึ่งก็คือการซึมซับแก่นแท้ของการศึกษาของประเทศจีน และในขณะเดียวกัน ก็ให้สำรวจว่าระดับการศึกษาของพวกเขานั้นห่างจากระดับของเรามากแค่ไหน...” ระหว่างการประชุม อิจิโร่ วาตานาเบะใช้ภาษาเจี๋ยเผิงทั้งหมด ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องปกติหรือทำไปเพราะป้องกันคนอื่นในโรงแรมแอบฟัง
“... จำไว้ว่า หากเป็นการแลกเปลี่ยนทางเทคนิค อย่าพูดถึงเทคโนโลยีเป็นอันขาด ทำได้แค่ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองเท่านั้น เราจะต้องไม่เปิดเผยความลับและความรู้สำคัญที่พวกเราได้ค้นคว้ามาเป็นอันขาด! หากเป็นการแลกเปลี่ยนในด้านอื่นๆ พวกเธอสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนได้อย่างเป็นธรรมชาติ!” อิจิโร่ วาตานาเบะสูดลมหายใจก่อนจะกล่าวอย่างฮึกเหิม “นอกจากนี้ ในการแลกเปลี่ยนด้านศิลปะการต่อสู้ เราสามารถใช้พลังที่แท้จริงของเราเพื่อแสดงให้ชาวจีนเห็นว่าประเทศที่มีอำนาจที่แท้จริงเป็นยังไง!”
“ไฮ้!” นักเรียนทุกคนตอบพร้อมกัน
“ซาซากิกับคาวากิ ไยโกะอยู่ก่อน คนอื่นๆกลับไปพักผ่อนได้!” อิจิโร่ ว่าตานาเบะกล่าว
“ไฮ้!”
ซาซากิและคาวากิ ไยโกะที่อิจิโร่ วาตานาเบะกล่าวถึงคือตัวแทนสองคนของกลุ่มแลกเปลี่ยนนี้ และพวกเขายังเป็นรองหัวหน้ากลุ่มแลกเปลี่ยนด้วย
ซาซากิอายุ 20 ต้นๆ มีหน้าตาหล่อเหลา ผมยาวปิดตาข้างหนึ่งและสวมชุดกีฬาที่เรียบง่าย หากมองจากระยะไกล อาจไม่คิดว่าเขาเป็นผู้ชาย
ส่วนคาวากิ ไยโกะ เป็นเด็กผู้หญิงในวัยยี่สิบต้นๆเช่นกัน เธอมีรูปร่างสูงและมีผมยาว ผิวขาวผ่องเหมือนเหมือนผู้หญิงเจี๋ยเผิงส่วนใหญ่ทั่วๆไป หางตาของเธอเอียงขึ้นไปด้านบนเล็กน้อยเหมือนกับดวงตาของสุนัขจิ้งจอก ทำให้เธอมีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ผู้หญิงเช่นนี้เป็นเหยื่อที่เหมาะสมสำหรับผู้ชายที่มีเจตนาร้าย แค่ดวงตาคู่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะดึงดูดความสนใจและทำให้ผู้ชายคลั่งไคล้
แต่อย่างไรก็ตาม อิจิโร่ วาตานาเบะไม่กล้าที่จะมองเธอ แม้ว่าเขาจะคุยกับเธอ เขาก็ไม่สบตาเธอตรงๆ
ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพียงเพราะว่า คาวากิ ไยโกะผู้นี้ เป็นลูกสาวคนที่สองของตระกูลใหญ่คาวากิ
ถ้าพูดถึงตระกูลคาวากิในเจี๋ยเผิงล่ะก็ เกรงว่าทุกคนคงจะเปลี่ยนสีหน้าทันที ทั้งหมดนี้ก็เพราะที่มาของตระกูลคาวากินั้นน่ากลัวจริงๆ
เมื่อพูดถึงแก๊งยากูซ่าของเจี๋ยเผิง จะมีชื่อหนึ่งที่ต้องติดโผโผล่เข้ามาในหัวของทุกคน ‘แก๊งมายากูจิ!’
แก๊งใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดของเจี๋ยเผิง ตั้งแต่ด้านการเงินไปจนถึงโลกการเมือง และทุกๆที่ที่มีผลประโยชน์ จะต้องมีชื่อของแก๊งยามากุจิเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
อันที่จริง มีส.ส.หลายคนในเจี๋ยเผิงที่แอบเป็นสมาชิกของแก๊งยามากุจิ สิ่งนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ายามากุจินั้นทรงพลังมากเพียงใด!
และตระกูลที่ควบคุมแก๊งยามากุจิอยู่ก็คือตระกูลคาวากิ!
ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจว่าทำไมในเจี๋ยเผิงที่เข้มงวดเรื่องลำดับขั้นถึงได้มีพฤติกรรมที่อาจกล่าวได้ว่าผิดปกติเล็กน้อย
อิจิโระ วาตานาเบะผู้ซึ่งเป็นรองอธิการบดีและอยู่ในฐานะหัวหน้ากลุ่มแลกเปลี่ยนมีความเกรงใจคาวากิ ไยโกะมาก ซึ่งมันทำให้เขาดูขี้ขลาดและอ่อนแอ ทั้งๆที่เป็นผู้อาวุโสกว่า เหตุผลก็คือพื้นเพของหญิงสาวคนนี้ยิ่งใหญ่เกินไปจริงๆ
ถ้าหญิงสาวคนนี้ต้องการ เธอสามารถทำให้อิชิโร่ วาตานาเบะผู้นี้ลงจากตำแหน่งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกียวโตเมื่อไหร่ก็ได้ และวันต่อมาร่างของเขาอาจไปอยู่ในคูน้ำซักแห่งหนึ่งในเมือง!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะไม่ให้อิจิโร่ วาตานาเบะเกรงกลัวได้อย่างไร?
ที่สำคัญกว่านั้น อิจิโร่ วาตานาเบะ คือผู้ที่รับผิดชอบกิจกรรมแลกเปลี่ยนการมาเยือนประเทศจีนโดยตรง ซึ่งแน่นอนว่าในความเป็นจริงเขาเป็นผู้รับผิดชอบเพียงในนามเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขามีหน้าที่รับผิดชอบนักเรียนคนอื่นได้ แต่ถ้าเขาต้องการให้ซาซากิและคาวากิ ไยโกะเชื่อฟังคำสั่งของเขา.... อาจจะต้องแลกมากับชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาเท่านั้น
เมื่อมองไปที่คาวากิ ไยโกะที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆซาซากิ อิจิโร่ วาตานาเบะก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวที่หลังคอของเขา
อย่ามองว่าชายหนุ่มรูปหล่อที่เหมือนจะขาดฮอร์โมนเพศชายคนนี้ทำให้เชื่อว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ เพราะความจริงแล้วหากมีใครก็ตามพูดกับเขาแบบนี้ ความตายก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
เพราะซาซากิผู้นี้ก็น่ากลัวมากเช่นกัน!
ว่ากันว่า... ซาซากิเป็นลูกชายคนเดียวของนักฆ่าอันดับหนึ่งของแก๊งยามากุจิ แน่นอนว่าทักษะการต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังและน่ากลัวมากเช่นกัน
ที่สำคัญกว่านั้น ผู้ชายคนนี้มีนิสัยที่ร้ายกาจมาก เคยมีคนในมหาวิทยาลัยกียวโตเยาะเย้ยเขาว่า “ผู้ชายหน้าสวยที่อ่อนแอ” เป็นผลให้คนปากพล่อยคนนั้นถูกซ้อมจนตาย
ต่อหน้าเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สองคนนี้ แม้แต่อิจิโร่ วาตานาเบะ ผู้ซึ่งเป็นรองอธิการบดี ก็ไม่กล้าที่จะดุพวกเขาอย่างไร้เหตุผล!
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่คิดและพูดมันออกมาอย่างระมัดระวัง “ซาซากิ ทำไมเธอถึงไม่ปรึกษาฉันก่อน... ฉันหมายถึงเรื่องการกล่าวบนเวทีของเธอในงานเลี้ยงต้อนรับวันนี้ มีเรื่องอะไรผิดปกติที่ทำให้เธอไม่พอใจรึเปล่า?”
…จบบทที่ 792~❤️