ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 80 กบในบ่อน้ำ
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 80 กบในบ่อน้ำ
แปลโดย iPAT
การแสดงออกของหวังฝูซื่อกลายเป็นน่าเกลียด เมืองชิงหยางอยู่ภายใต้การดูแลของเขา แล้วเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าป้อมวายุทมิฬเป็นสถานที่เช่นไร
ฮัวเฉิงซานกล่าวหลังจากครุ่นคิด “หากข้าจำไม่ผิด สถานที่แห่งนี้อยู่ในรายชื่อของเรา แต่มันอยู่ในระดับต่ำเกินไป เราไม่มีเวลาจัดการมันตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
เฉพาะในอนาคตอันห่างไกลเท่านั้นที่หลี่ฉิงซานค้นพบว่าหน่วยผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มีรายชื่ออาชญากรทั้งหมดอยู่ในมือ มันมีรายละเอียดของกองกำลังที่ทรงอิทธิพลและผลประโยชน์จากความตายของพวกเขารวบรวมไว้ หน่วยหมาป่าอินทรีย์จะส่งคนออกไปจัดการพวกเขาทีละคนตามรายชื่อจากบนลงล่าง นี่คือบัญชีดำที่คนในยุทธภพหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง หากชื่อของพวกเขาติดอยู่ในบัญชีดำ นั่นหมายความว่าพวกเขามีความแข็งแกร่งมากพอ แต่มันก็หมายความว่าชีวิตของพวกเขาใกล้จบสิ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงรายชื่อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานที่เช่นป้อมวายุทมิฬจึงไม่เคยได้รับความสนใจจากหน่วยหมาป่าอินทรีย์
“เจ้าช่างพูดมากนัก” หวังฝูซื่อตำหนิ
เฟิงจางเห็นหลี่ฉิงซานถูกตำหนิ เขามีความสุขมากและรวบรวมความกล้ากล่าว “ท่านผู้บัญชาการ เด็กคนนี้ขโมยโสมจิตวิญญาณและสังหารผู้บริสุทธิ์ เขาไม่เห็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์อยู่ในสายตา...”
“โอ้ เจ้าพยายามโกหกข้างั้นหรือ?” กู่เยี่ยนหยินขัดจังหวะ นางไม่ได้ถามแต่อุทานด้วยความประหลาดใจราวกับเฟิงจางทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมาก
“มะ...ไม่ ขะ...ข้าไม่...” เฟิงจางต้องการกล่าวบางคำแต่เมื่อหวังฝูซื่อมองเขาด้วยใบหน้ามืดครึ้ม เขาก็รู้สึกราวกับถูกบีบคอและไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีก
“ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ของเราอาจไม่ใช่คนใจดีทั้งหมด แต่ไม่มีเหตุผลที่เราจะลดตัวลงไปรับใช้คนในยุทธภพและสร้างคำโกหกเหล่านี้” กู่เยี่ยนหยินส่ายศีรษะและไม่สนใจเฟิงจางอีก นางหันไปพูดกับหวังฝูซื่อ “ตาแก่หวัง เจ้านำแผนที่มาด้วยหรือไม่?”
การแสดงออกของเฟิงจางเหมือนคนถูกมีดแทง ใบหน้าของเขากลายเป็นซีดขาว มันปราศจากสีเลือดอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกันเหงื่ออันเย็นเยียบก็ไหลท่วมร่างของเขา โดยทั่วไปแล้วคนที่ฝึกฝนมาจนถึงระดับเดียวกันกับเขาจะสามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้ค่อนข้างดี ดังนั้นการแสดงออกเช่นนี้จึงแสดงให้เห็นว่าจิตใจของเขาสั่นคลอนมากเพียงใด
“แน่นอน!” หวังฝูซื่อนำแผนที่ขนาดใหญ่ออกมาจากกระเป๋าเล็กๆที่เอว
ดวงตาของหลี่ฉิงซานเบิกกว้าง ‘กระเป๋าโดเรม่อน!’
แผนที่หนังสัตว์ถูกกางออกบนโต๊ะเล็กๆ มันเรืองแสงออกมา เห็นได้ชัดว่ามันไม่ธรรมดาเช่นกัน
กู่เยี่ยนหยินกล่าว “ส่งพลังปราณเข้าไปและคิดถึงเมืองชิงหยาง”
หลี่ฉิงซานวางมือลงบนแผนที่และนึกถึงเมืองชิงหยาง จากนั้นจุดแสงก็ส่องประกายขึ้นที่มุมหนึ่งของแผนที่ขณะที่ข้อมูลจำนวนมากพุ่งเข้าสู่จิตใจของเขา มันมีทั้งลักษณะภูมิประเทศ จำนวนประชากร และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเมืองชิงหยางทั้งหมด
กู่เยี่ยนหยินกล่าวต่อ “ตอนนี้นึกถึงมณฑลชิงเหอ”
ด้วยความคิดนี้ จุดแสงมากกว่าร้อยจุดก็สว่างขึ้นพร้อมกัน มันดูราวกับกาแล็กซี่ ทุกจุดคือเมือง จุดแสงของเมืองชิงหยางเลือนรางและอยู่ห่างไกล จุดที่สว่างที่สุดอยู่ตรงกลาง มันคือเมืองหลักของมณฑลชิงเหอ
หนึ่งร้อยสิบเจ็ดเมืองครอบคลุมพื้นที่ข้ามผ่านระยะทางหนึ่งพันห้าร้อยกิโลเมตร นี่คือมณฑลชิงเหอ
หลี่ฉิงซานรู้ว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่แต่เขาไม่เคยคาดหวังว่ามันจะใหญ่โตถึงเพียงนี้ เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าของคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านมาก่อน แต่เขาปฏิบัติต่อมันเสมือนนิยายปรัมปราที่กล่าวเกินจริงเท่านั้น เขาไม่เคยคาดหวังว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
เป็นเพียงเวลานี้ที่เขาเข้าใจว่าเหตุใดผู้ว่ามณฑลจึงอนุญาตให้เย่ต้าฉวนดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองชิงหยางทั้งที่เขาไร้ความสามารถ มันเป็นเพราะเมืองชิงหยางเป็นเพียงเมืองเล็กๆที่อยู่ห่างไกลเมื่อเทียบกับมณฑลชิงเหอทั้งหมด ป้อมวายุทมิฬไร้นัยสำคัญโดยสิ้นเชิง
ทางการของโลกใบนี้ไม่เพียงทรงพลังแต่มันทรงพลังจนน่าสะพรึงกลัว เพียงเพราะแผ่นดินกว้างใหญ่เกินไป เขตต่างๆจึงสามารถปกครองตนเองราวกับประเทศเอกราช อย่างไรก็ตามเอกราชไม่ได้หมายถึงเสรีภาพ พวกมันยังอยู่ภายใต้การปกครองจากศูนย์กลาง
ไม่ว่าป้อมวายุทมิฬหรือหมู่บ้านบังเหียนม้าจะสร้างความโกลาหลมากเพียงใด พวกมันก็เป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ หากความโกลาหลเริ่มใหญ่ขึ้น พวกเขาก็จะส่งผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์บางคนออกมาบดขยี้มดปลวกเหล่านี้ การปกครองของทางการบนโลกใบนี้โดยพื้นฐานแล้วเข้มงวดกว่าประเทศหรืออาณาจักรอื่นๆที่หลี่ฉิงซานเคยรู้จักมาทั้งหมด
“ข้าเป็นผู้ดูแลเขตรุ่ยอี้ มันครอบคลุมเก้ามณฑล ครึ่งปีก่อนที่มณฑลอวี้เฉิง นิกายบัวขาวใช้คนทั้งเมืองเพื่อปรับแต่งสมบัติล้ำค่า พลเมืองประมาณสองแสนคนเสียชีวิตในกระบวนการนี้” กู่เยี่ยนหยินดื่มสุราและจะวางจอกลง จากนั้นฮัวเฉิงซานก็เติมสุราให้นางอีกครั้ง
‘สองแสนคน!’ ในสายตาของหลี่ฉิงซาน การสังหารหมู่คนทั้งหมู่บ้านของป้อมวายุทมิฬก็เป็นการกระทำที่ชั่วร้ายมากแล้ว แต่ผู้ใดจะคิดว่ายังมีความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่กว่านับพันเท่าเช่นนี้อยู่ด้วย
หลี่ฉิงซานค้นพบเขตรุ้ยอี้บนแผนที่ มันใหญ่โตกว่ามณฑลชิงเหอนับสิบเท่า
เขตรุ้ยอี้ครอบคลุมพื้นที่เป็นระยะทางมากกว่าหมื่นกิโลเมตร
แม้หลี่ฉิงซานจะไม่มีความรู้ด้านภูมิศาสตร์มากนัก แต่เขาก็ยังเข้าใจว่าที่นี่มีพื้นที่กว้างใหญ่กว่าประเทศจีนทั้งหมด ทันใดนั้นเขาพลันรู้สึกว่ากู่เยี่ยนหยินที่อยู่ตรงหน้าเขากลายเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ที่อยู่ไกลเกินเอื้อม
ราวกับกบในบ่อน้ำที่ชะเง้อมองนกอินทรีย์ที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า สิ่งที่มันทำได้คือใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดเพื่อเงยหน้ามองขึ้นไป
นกอินทรีย์บินอยู่บนท้องฟ้า มันสามารถล่าเหยื่อที่ใหญ่กว่า เหตุใดมันต้องมองลงมาในบ่อน้ำและให้ความสนใจการต่อสู้ระหว่างสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยสองสามตัว? วันนี้มันอาจหยุดอยู่ที่นี่เพียงเพราะบังเอิญเห็นกบที่น่าสนใจตัวหนึ่งเท่านั้น
หวังฝูซื่อถามอย่างระมัดระวัง “ท่านผู้บัญชาการ คราวนี้ท่านมาเพราะนิกายบัวขาวงั้นหรือ?”
ผู้นำนิกายบัวขาวเป็นผู้บ่มเพาะปีศาจระดับแก่นแท้ทองคำที่หวังฝูซื่อไม่สามารถต่อกร ผู้บัญชาการกู่เคยนำกองกำลังผู้พิทักษ์หมาป่าเงินต่อต้านนิกายบัวขาวห้าครั้ง แม้พวกนางจะได้รับชัยชนะแต่สมาชิกหน่วยหมาป่าเงินของนางก็เสียชีวิตไปมากกว่าครึ่ง ความแข็งแกร่งของผู้บัญชาการหน่วยหมาป่าทองแดงเทียบเท่ากับสมาชิกหน่วยหมาป่าเงินเท่านั้น
กู่เยี่ยนหยินยิ้ม “ผู้นำนิกายบัวขาวได้รับบาดเจ็บและหลบหนีไปแล้ว ข้ายังหานางไม่พบ มันไม่ง่ายเลยที่จะฆ่าผู้เชี่ยวชาญระดับแก่นแท้ทองคำ” หลังกล่าวจบคำ นางก็หันหน้าไปทางหลี่ฉิงซานและถอนหายใจ เนื่องจากความสามารถที่ไม่เพียงพอของนาง นางจึงไม่สามารถมองทะลุคนตรงหน้า
นอกจากตัวตนเช่นผู้นำนิกายบัวขาว มีผู้คนไม่มากที่ทำให้ผู้บัญชาการกู่ต้องเคลื่อนไหวด้วยตนเอง กู่เยี่ยนหยินหยุดเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “มันคือราชินีแห่งความมืด แมวของนางหายไป นางต้องการให้ข้าตามหามัน”
‘ตามหาแมว!’ หลี่ฉิงซานตกตะลึง เดิมทีเขาคิดว่านางมีเรื่องสำคัญมากที่ต้องจัดการ มันอาจเป็นการจับอาชญากรที่ชั่วร้ายและน่าสะพรึ่งกลัว แต่เขาไม่เคยคาดหวังว่านางจะเดินทางข้ามระยะทางหลายพันกิโลเมตรมาที่เมืองชิงหยางแห่งนี้เพียงเพื่อตามหาแมว
กู่เยี่ยนหยินถอนหายใจ “ข้าอยากสู้กับผู้นำนิกายบัวขาวมากกว่า”
อย่างไรก็ตามหวังฝูซื่อและฮัวเฉิงซานรู้ว่าราชินีแห่งความมืดหมายถึงสิ่งใด มันเพียงพอที่จะทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวที่จะสอบสวนเรื่องนี้ต่อไป หลังจากทั้งหมดเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตัวตนบนจุดสูงสูด มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถเข้าไปแทรกแซง
กู่เยี่ยนหยินยังพึมพำและดื่มสุราต่อไป หลังจากไม่นานสุราในเหยือกก็หมดลงขณะที่ใบหน้าของนางกลายเป็นแดงระเรื่อเหมือนดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ นั่นทำให้นางยิ่งดูทรงเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
กู่เยี่ยนหยินลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ ข้าดื่มหมดแล้ว ข้าจะไม่พูดมากอีก” นางหยิบถุงใบหนึ่งออกมาจากแหวนหยกบนนิ้วของนางและวางมันลงบนโต๊ะ “รับหินวิญญาณเหล่านี้ไว้แทนคำขอบคุณที่ทำให้การบ่มเพาะของข้าราบรื่น! ข้าจะทะลวงขอบเขตเร็วๆนี้!”