ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 79 กู่เยี่ยนหยิน
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 79 กู่เยี่ยนหยิน
แปลโดย iPAT
หลี่ฉิงซานกล่าว “ข้าชื่อหลี่ฉิงซาน ข้าขอทราบนามของพี่สาวได้หรือไม่?” เดิมทีเขาต้องการเรียกนางว่าคุณหนู แต่นางมีสถานะที่สูงสุด นางไม่เหมือนบุตรสาววัยเยาว์ของครอบครัวตระกูลใหญ่ เขาคิดต่อว่าเขาควรเรียกนางว่าท่านหญิงหรือไม่ แต่นางยังดูอ่อนเยาว์ มันไม่เข้ากับการรูปลักษณ์ของนาง
บางทีนางฟ้าอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่เขารู้สึกว่ามันเหมือนการลดระดับตนเองลงหากเขาเรียกนางเช่นนั้น สุดท้ายเขาจึงเรียกนางว่าพี่สาวเช่นเดียวกับนิยายเรื่องตำนานนางพญางูขาวที่เขาเคยอ่าน
ฮัวเฉิงซานรู้สึกชื่นชมหลี่ฉิงซานอยู่ภายใน ครั้งแรกที่เขาพบหญิงผู้นี้ เขาไม่สามารถแม้แต่จะกล่าวประโยคที่เหมาะสมออกมา เขาคิด ‘เด็กหลังเขาผู้นี้ช่างหล้าหาญนัก’
“ข้าชื่อกู่เยี่ยนหยิน รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงเรียกเจ้ามาที่นี่ น้องเล็กฉิงซาน” กู่เยี่ยนหยินสะบัดพัดหยกที่ละเอียดอ่อนในมือของนางเบาๆและเผยรอยยิ้มหยอกล้อ อย่างไรก็ตามสายตาของนางยังมองไปที่อื่น
‘น้องเล็กฉิงซาน?’ หลี่ฉิงซานถูกเรียกว่าเสือดำมาตลอด อย่างไรก็ตามเมื่อไตร่ตรองดูแล้ว เขาพึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหาปีเท่านั้น ในสายตาของนาง บางทีเขาอาจเหมือนน้องชายคนเล็กของนางจริงๆ
ความเศร้าปรากฏขึ้นในดวงตาของฮัวเฉิงซาน
หวังฝูซื่อขมวดคิ้วลึก เขารู้สึกว่าหลี่ฉิงซานไม่คู่ควรกับการถูกนางเรียกว่าน้องเล็ก แต่เขาก็ไม่สามารถกล่าวสิ่งใด เขาคิดต่อไปว่าหากนางไม่ใช่คนเช่นนี้ ตัวเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์นั่งร่วมโต๊ะกับนางเช่นกัน
หลี่ฉิงซานคิดถึงสิ่งที่เขาครอบครองที่ทุกคนรู้และต้องการมีส่วนร่วม แน่นอนว่ามันคือโสมจิตวิญญาณ “ท่านต้องการโสมจิตวิญญาณงั้นหรือ?” หากเป็นกรณีนี้ เขาก็ทำได้เพียงส่งมอบโสมจิตวิญญาณออกไปเท่านั้น มันไม่ใช่เพราะเขาถูกสะกดจิตแต่เป็นเพราะความแข็งแกร่งของเขาไม่เพียงพอ แม้เขาจะตกหลุมรักแต่เขาก็ไม่ได้ตาบอด เขาจะไม่ละทิ้งศักดิ์ศรีของตนไปเพียงเพราะมัน หากกู่เยี่ยนหยินมาเพื่อโสมจิตวิญญาณจริงๆ ความประทับใจที่เขามีต่อนางจะลดลงอย่างมาก
หวังฝูซื่อหัวเราะเสียงดัง ฮัวเฉิงซานก้มตัวหัวเราะด้วยความขบขันยิ่งกว่า
กู่เยี่ยนหยินรู้สึกรำคาญและขบขัน นางเม้มริมฝีปาก “ผู้ใดจะต้องการสิ่งของที่เลอะน้ำลายของเจ้ากัน!” ในสายตาของนักสู้ชั้นหนึ่ง โสมจิตวิญญาณเป็นสมบัติล้ำค่าพอๆกับชีวิตของพวกเขา แต่ในสายตาของนาง มันเป็นเพียงสิ่งของที่ถูกเคลือบด้วยน้ำลายของบางคน
“สุราพร้อมแล้ว” หวังฝูซื่อทุบดินเหนียวที่ปิดผนึกไหสุราขณะที่หลี่ฉิงซานเห็นแสงเล็ดลอดออกมาจากรอยแตกราวกับแอนิเมชั่นในเกมส์ที่เขาเคยเล่นจากชีวิตก่อนหน้า
กลิ่นหอมของสุราลอยอบอวลอยู่ในอากาศ หิมะรอบๆละลายลงอย่างรวดเร็ว ต้นสนที่อยู่ถัดจากพวกเขากลายเป็นสีเขียวขจีอีกครั้ง
หลี่ฉิงซานดมกลิ่นสุราและรู้สึกเหมือนร่างกายของเขาเบาลงเล็กน้อย พลังปราณในร่างของเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เขานึกภาพออกว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นหากเขาดื่มมันเข้าไป มันจะส่งผลดียิ่งกว่าสุราจิตวิญญาณของเขาอย่างไม่สามารถเปรียบเทียบ
ใบหน้าของหลี่ฉิงซานกลายเป็นสีแดง ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นเด็กบ้านนอกผู้โง่เขลาที่พยายามปกป้องเศษเนื้อชิ้นเล็กๆและปฏิบัติต่อมันเหมือนเป็นอาหารชั้นเลิศของโลกใบนี้ เขารู้สึกอับอายมากจนอยากหายตัวไปจากที่นี่ทันที แท้จริงแล้วเขาต้องการให้คนเหล่านี้มาเพื่อโสมจิตวิญญาณมากกว่า
กู่เยี่ยนหยินสูดดมอย่างอ่อนโยนและเผยรอยยิ้ม “สุราพุทธะร้อยปี! เจ้าช่างใจดีนักตาแก่หวัง!”
หวังฝูซื่อกล่าว “ข้าทราบว่าท่านชอบมัน ดังนั้นข้าจึงขอมันมาจากพี่เทียน สถานศึกษาการเกษตรยังเป็นสถานที่ที่หมักสุราได้ดีที่สุดเช่นเคย” หลังจากนั้นเขาก็เทสุราลงในเหยือกและมองไปทางฮัวเฉิงซาน “เหตุใดเจ้าไม่รินสุรา?”
ฮัวเฉิงซานยืนขึ้นและรินสุราสองจอก หวังฝูซื่อกล่าว “แล้วตัวเจ้าเองเล่า?” ฮัวเฉิงซานหัวเราะคิกคักก่อนจะรินสุราให้ตัวเอง
กู่เยี่ยนหยินยิ้ม “โชคชะตานำเรามาพบกัน น้องเล็กฉิงซาน เจ้าควรได้ชิมมันเช่นกัน” อย่างไรก็ตามนางไม่สนใจเฟิงจางที่อยู่ด้านข้างแม้แต่น้อย
หูของเฟิงจางกระตุก เมื่อเขาได้กลิ่นหอมของสุรา หัวใจของเขาราวกับถูกแผดเผาด้วยความปรารถนา โสมจิตวิญญาณไม่สามารถดึงดูดเขาเป็นพิเศษแต่สุราพุทธะเพียงพอที่เขาจะตายเพื่อ
‘เพียงจอกเดียว!’ เพียงจอกเดียวก็จะทำให้เขาสามารถทะลวงผ่านขั้นสองและกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสามได้ทันที อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดกล่าวถึงเขาและเขาก็ไม่กล้าตำหนิกู่เยี่ยนหยินหรืออีกสองคน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงกัดฟันมองหลี่ฉิงซานเท่านั้น
ฮัวเฉิงซานรินสุราและผลักมันเข้าไปในมือของหลี่ฉิงซานอย่างแรง “มา มา มา ดื่ม! เจ้าช่างโชคดีนัก ปกติแล้วกระทั่งข้าก็ไม่สามารถดื่มสุราดีๆเช่นนี้”
หลี่ฉิงซานก้มหน้ามองสุราสีเหลืองทองในจอก เขารู้ว่าหากเขาพยายามปฏิเสธ มันจะเป็นการดูแคลนตัวเองและไม่ให้เกียรติฝ่ายตรงข้าม นั่นทำให้เขายกจอกสุราขึ้นและดื่มจนหมดจอกในครั้งเดียว
“เอ่อ...” ฮัวเฉิงซานต้องการหยุดเขาแต่มันสายไปแล้ว หวังฝูซื่อมองหลี่ฉิงซานอย่างไม่วางตาและสงสัยว่าเหตุใดกู่เยี่ยนหยินถึงเรียกเด็กหนุ่มผู้นี้มาพบและยังมอบสุราพุทธะร้อยปีอันล้ำค่าให้เขาอีกด้วย
กู่เยี่ยนหยินไม่มีความตั้งใจที่จะหยุดเขา นางเผยรอยยิ้มราวกับกำลังรอคอยการแสดงที่น่าสนใจ
ก่อนที่หลี่ฉิงซานจะได้เพลิดเพลินไปกับรสชาติของสุรา พลังปราณในร่างของเขาก็อาละวาดไปทั่ว
‘โอ้ ไม่!’ สุราพุทธะเป็นมากกว่าที่เขาคิด
เฟิงจางรู้สึกมีความสุขอยู่ภายใน ‘บ้านนอก!’ สุราพุทธะควรจะจิบอย่างช้าๆ หากดื่มมันเร็วเกินไป พลังปราณจะปะทุขึ้นและทำลายจุดตันเถียนรวมถึงเส้นลมปราณทั้งหมด
อย่างไรก็ตามร่างของหลี่ฉิงซานไม่ระเบิดเนื่องจากเขาไม่เคยสร้างเส้นลมปราณหรือจุดตันเถียน ร่างกายทั้งหมดของเขาส่องประกายขณะที่พลังปราณของเขากลืนกินพลังงานจากสุราพุทธะและเปลี่ยนเป็นพลังของตัวมันเอง มันดูซับพลังงานทั้งหมดเข้าไปราวกับฟองน้ำกระทั่งทุกอย่างสงบลง
กู่เยี่ยนหยินจ้องหลี่ฉิงซานด้วยสายตานกอินทรีย์ขณะที่นางใช้ปลายนิ้วเล่นเหรียญทองแดงที่อยู่ในมือข้างซ้าย สายตาของนางราวกับสามารถมองทะลุร่างกายของเขาและทำให้เขารู้สึกหนาวเย็นไปถึงดวงวิญญาณ
ในเวลาเพียงชั่วครู่หลี่ฉิงซานก็สามารถย่อยพลังงานจากสุราพุทธะได้ทั้งหมด กู่เยี่ยนหยินละสายตาจากเขาและมองไปในระยะไกลราวกับนางกำลังคิดบางสิ่ง
ฮัวเฉิงซานถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาคิดว่าการบ่มเพาะร่างกายของเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
หวังฝูซื่อรู้สึกว่าสิ่งนี้ค่อนข้างแปลก ปราณจิตวิญญาณที่อยู่ในสุราพุทธะทรงพลังมาก ไม่ใช่เรื่องแปลกหากมันจะทำให้จอมยุทธ์ขั้นสองทะลวงเข้าสู่ขั้นสามได้โดยตรง แต่หลี่ฉิงซานกลับไม่มีร่องรอยของการทะลวงขอบเขต เขายังเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเช่นเดิม มันเป็นเพียงแค่พลังปราณของเขาทรงพลังขึ้นเท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขาดื่มเพียงแก้วเดียว หวังฝูซื่อจะสงสัยว่าสุราพุทธะเป็นของปลอมหรือยังบ่มไม่ได้ที่
หลี่ฉิงซานสูดหายใจก่อนจะป้องหมัดขึ้น “ขอบคุณสำหรับทั้งหมด!” เขาไม่เคยคิดว่าไม่เพียงเขาจะสามารถเก็บโสมจิตวิญญาณเอาไว้แต่เขายังได้รับสุราชั้นยอดอีกด้วย อย่างไรก็ตามเขากลับรู้สึกไม่สบายใจด้วยเหตุผลบางอย่าง
“เจ้าคิดอย่างไร เจ้ายังคิดว่าข้ามาเพื่อโสมจิตวิญญาณของเจ้าอยู่หรือไม่ น้องเล็กฉิงซาน?” กู่เยี่ยนหยินตั้งใจเย้าแหย่จุดอ่อนของหลี่ฉิงซาน หลังจากทั้งหมดเขายังเด็กมากแต่กลับแสดงท่าทางเคร่งขรึมเหมือนผู้ใหญ่ซึ่งดูค่อนข้างน่าขบขัน
หลี่ฉิงซานกล่าวด้วยอกที่ยกสูงขึ้น “ข้าเป็นเด็กจากหมู่บ้านหลังเขา ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความโง่เขลา อย่างไรก็ตามข้าไม่เข้าใจว่าเมื่อพวกท่านเป็นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ที่ยิ่งใหญ่ เหตุใดพวกท่านจึงปล่อยให้ป้อมวายุทมิฬปล้นสะดมผู้คนอย่างอิสระมาตลอดหลายปีโดยไม่ทำสิ่งใดเลย?” มันดูเหมือนเขากำลังตั้งคำถามแต่มันก็เป็นการกล่าวหาโดยนัยว่าพวกเขาได้รับผลประโยชน์บางอย่างทำให้พวกเขานิ่งเฉยมาตลอด