SWO ตอนที่ 95 ผู้อาวุโสโจว เรายินดีเป็นสัตว์ขี่ของท่าน!
ราชามิงค์เมฆาสูงพันเมตรถูกส่งลอยกลับหัวไปหลายร้อยเมตรราวกับถูกกระแทกด้วยค้อนยักษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่ามันนับสิบเท่า
จักรพรรดิอสูรที่ทรงพลังอีกสามตัวก็ถูกกวาดปลิวไปพร้อมกับมัน และกระเด็นไปตกลงพื้นข้าง ๆ ราชามิงค์เมฆา
สำหรับสัตว์อสูรอีกนับแสนตัว พวกมันถูกบดขยี้เป็นชิ้น ๆ เมื่อเผชิญกับแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว มีเพียงราชันอสูรเท่านั้นที่พอช่วยเหลือตัวเองได้บ้างขณะกระเด็นออกไป กำแพงสูงด้านหลังพวกมันก็พังทลายลงราวกับฟองสบู่
อย่างไรก็ตามโชคดีที่โจวเฮาควบคุมตัวเองได้ทันเวลา และไม่ปล่อยให้ผลที่ตามมาของการปะทะกระทบผู้บัญชาการจ้าว และคนที่เหลือ
จากนั้นโจวเฮาก็กระโดดออกมา และค่อย ๆ ร่อนลงบนพื้น
เมื่อปลายเท้าสัมผัสพื้นร่างของเขาก็ไปปรากฏขึ้นอีกครั้งต่อหน้าร่างอันมหึมาของราชามิงค์เมฆาในพริบตา เขามองไปที่ราชามิงค์เมฆาที่ปกคลุมไปด้วยเลือด และกล่าวอย่างเรียบเฉย “ราชามิงค์เมฆา ดูเหมือนเจ้าจะอ่อนแอพอ ๆ กับสายเลือดของเจ้า เจ้าทั้งสองเป็นขยะเปราะบางที่มิอาจต้านทานได้แม้แต่การโจมตีเดียว!”
ราชามิงค์เมฆาโกรธทันที ร่างกายสูงพันเมตรของมันพยายามลุกขึ้นยืน "มด…"
ทันทีที่มันกำลังจะเปิดปาก โจวเฮาก็ฟันออกไปด้วยกระบี่ในมือของเขา
ฉับ!
รอยแยกมิติที่มีความยาวเกือบร้อยเมตรปรากฏขึ้นทันที ขณะกลิ่นอายที่พร้อมจะฉีกกระฉากทุกสิ่งได้เข้าปกคลุมราชามิงค์เมฆา
“มด เจ้ากล้าดียังไงมา-”
ก่อนที่ราชามิงค์เมฆาจะพูดจบ หัว และลำตัวของมันก็แยกออกจากกันก่อนจะกลิ้งไปหยุดอยู่ต่อหน้าโจวเฮา
ตุบ!!
โจวเฮากระทืบหัวของราชามิงค์เมฆาราวกับกำลังเหยียบแมลงสาบจนกลายเป็นเศษเนื้อ
จักรพรรดิอสูรอีกสามตัวตกใจกับภาพอันน่าหวาดกลัวตรงหน้าจนวิญญาณหลุดออกจากร่าง พวกมันพยายามตะเกียกตะกายหนีอย่างบ้าคลั่ง
ฉัวะ!
แสงกระบี่ปรากฏขึ้น และตัดร่างของพวกมันออกเป็นสองส่วนทันที
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นที่รกร้าง
หลังจากจัดการจักรพรรดิอสูรทั้งสามตัว และราชามิงค์เมฆาที่อันตรายที่สุดได้สำเร็จ โจวเฮาก็หันกลับมา และเดินไปทางราชันอสูรที่เหลืออยู่หลายสิบตัว
ราชันอสูรเหล่านี้สติปัญญาไม่ต่ำ พวกมันไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย และทำเพียงหมอบลงกับพื้น
“ดะ ได้โปรดเมตตาเราด้วย!”
“ผู้อาวุโสโจว ได้โปรด ได้โปรดละเว้นพวกเราด้วย เรายินดีที่จะเป็นสัตว์ขี่ของท่าน!”
“ใช่ ใช่ เรายินดีที่จะเป็นสัตว์ขี่ของท่านตลอดไป!”
โจวเฮาเย้ยหยันเมื่อเขาได้ยินราชันอสูรร้องขอความเมตตา “พวกเจ้ามีกันตั้งหลายตัว แต่ข้าไม่ได้ต้องการพาหนะมากมายขนาดนั้น!”
"เลือกข้า! ข้านุ่มนั่งสบายที่สุด!”
“ขะ ข้าเกิดมาเพื่อเป็นสัตว์ขี่!”
“นายท่านมองมาที่ข้าสิ ขนบนหลังของข้านุ่มมาก ท่านยังสามารถใส่อานให้ข้าได้ด้วย!”
ราชันอสูรเริ่มตะโกนขึ้นทีละตัว
เวลานี้หานผู ผู้บัญชาการจ้าว เหอเปียว เจิ้นหง และคนที่เหลือยืนตะลึงราวกับเป็นรูปปั้นไม้
สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของพวกเขาคือโจวเฮาซึ่งทำทุกสิ่งเกินความคาดหมายของพวกเขาอย่างสมบูรณ์ โจวเฮาไม่เพียงแต่ไม่ตาย แต่กลับยังสามารถจัดการราชามิงค์เมฆาผู้เป็นจักรพรรดิอสูรขั้นสูงได้อย่างง่ายดาย มาตอนนี้ราชันอสูรยังเกิดหวาดกลัวจนกระทั่งร้องขอจะเป็นสัตว์ขี่ของเขา
สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสิบวินาทีที่ผ่านมาทำให้พวกเขารู้สึกราวกับอยู่ในความฝัน
หานผูเป็นคนแรกที่กลับมารู้สึกตัว เขาจ้องไปยังร่างสีแดงที่ยืนอยู่ข้างหน้าราชันอสูรขนาดใหญ่หลายสิบตัว
“ปรมาจารย์อภินิหารขั้นเก้า! ผู้อาวุโสท่านนี้จะต้องเป็นปรมาจารย์อภินิหารระดับสูงสุดขั้นเก้าอย่างแน่นอน!!” เขาตะโกนอย่างบ้าคลั่งด้วยความชื่นชมบนใบหน้า
จากนั้นผู้บัญชาการจ้าว และปรมาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธที่เหลือก็ตอบสนอง พวกเขาทั้งหมดมองไปที่หานผูด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ผู้อาวุโสหาน ปรมาจารย์อภินิหารขั้นเก้าคือ?” ผู้บัญชาการจ้าวอดถามไม่ได้
หานผูมองย้อนกลับไปที่ผู้บัญชาการจ้าว หายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงกล่าวออกมาอย่างช้า ๆ “ระดับปรมาจารย์อภินิหารมีทั้งหมดเก้าขั้น แบ่งออกเป็นขั้น 1 ถึงขั้น 9 ซึ่งความแตกต่างระหว่างละระดับนั้นช่างกว้างใหญ่”
“ปรมาจารย์อภินิหารขั้นสามอย่างข้าสามารถจัดการสัตว์อสูร และแมลงระดับจักรพรรดิขั้นต่ำได้อย่างง่ายดาย ซึ่งนั่นรวมถึงปรมาจารย์อภินิหารของเผ่าจักรกลด้วย ขณะที่ปรมาจารย์อภินิหารขั้นสามถึงหกสามารถจัดการจักรพรรดิอสูรขั้นกลางได้ และบางคนที่มีพลังมากพอก็สามารถต่อสู้กับจักรพรรดิอสูรขั้นสูงได้!”
เมื่อถึงจุดนี้ เขาหยุดครู่หนึ่ง และหันไปมองโจวเฮาด้วยดวงตาที่ลุกวาว “แต่สำหรับจักรพรรดิอสูรขั้นสูงนั้นมีเพียงปรมาจารย์อภินิหารที่อยู่เหนือขั้นหกขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถจัดการได้ เมื่อครู่ผู้อาวุโสท่านนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่เพื่อจัดการราชามิงค์เมฆา นี่แสดงว่าเขาต้องเป็นปรมาจารย์อภินิหารขั้น 9 อย่างไม่ต้องสงสัย!”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น เหล่าปรมาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธก็ตระหนักได้ทันที
ในหมู่พวกเขาเจิ้นหงถามด้วยความประหม่า “ผู้อาวุโสหาน ข้าขอทราบได้รึไม่ว่าประเทศของเรามีปรมาจารย์อภินิหารขั้น 9 อยู่กี่คน?”
ผู้บัญชาการจ้าวจ้องไปที่เขา เขาคิดว่าข้อมูลลับเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรถามออกมา
อย่างไรก็ตามหานผูไม่ถือสา เขาส่ายหัวก่อนกล่าว “สำหรับปรมาจารย์อภินิหารการจะก้าวไปขั้นต่อไปนับว่าเป็นเรื่องยากมาก พวกเขาต้องการทรัพยากรอันมีค่าจำนวนมาก แต่โชคร้ายที่ทรัพยากรจำนวนมากที่ว่ากลับตกอยู่ในมือของเผ่าพันธุ์ภายนอก ซึ่งนั่นทำให้ไม่ใช่แค่เพียงในประเทศของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั่วโลกด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีคนไม่มากนักที่ก้าวไปถึงขอบเขตปรมาจารย์อภินิหารได้สำเร็จ”
เขาถอนหายใจ และกล่าวต่อ “สำหรับปรมาจารย์อภินิหารที่อยู่เหนือขั้น 6 จำนวนของพวกเขาน้อยยิ่งกว่า ขณะที่ปรมาจารย์อภินิหารขั้นเก้าที่สามารถจัดการจักรพรรดิอสูรขั้นสูงได้อย่างง่ายดายนั้นหายากพอ ๆ กับขนนกฟีนิกซ์หรือเขากิเลน”
เหล่าปรมาจารย์ผู้เยี่ยมยุทธตกตะลึงก่อนมองไปที่โจวเฮาเป็นตาเดียว..