SN-ตอนที่ 27 แก๊งโอดินสัน
อัลดิช และ วาเลร่า เดินทางไปที่ร้านโอดินสัน มันจะเป็นการดีหากเขาพยายามเลี่ยง ‘ถนน’ ของซุ้มเคลื่อนที่ โดยยึดอาณาเขตเอาไว้ ขณะที่เขาเดิน เขาก็ให้ ดวงตาปีศาจ คอยสอดแนมทุกอย่างที่ทำได้
ร้านค้าของพวกเขาเป็นบ้านรถพ่วงขนาดใหญ่ที่เคลื่อนที่ได้ซึ่งมันดูเหมือนกับรถไฟใต้ดินหรือรถราง มันมีขนาดที่ยาวและรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยม อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่มากพอที่จะบรรจุคนมากกว่า 20 คนให้อาศัยอยู่ภายในนั้นได้อย่างสะดวกสบาย
ในบรรดาบ้านเคลื่อนที่ในซุ้มเคลื่อนที่ สถานที่แห่งนี้คือ 1 ในไม่กี่บ้านที่มีหลังขนาดใหญ่ไม่ผิดอย่างแน่นอน สิ่งนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า กลุ่มโอดินสัน ได้รับการจัดอันดับค่อนข้าสูงในหมู่พวกโนแมดส์ในแง่ของความมั่งคั่งและอำนาจ
บ้านของพวกเขาได้รับการตกแต่งด้วยการปรับเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอดในการเดินทางผ่านสภาพแวดล้อมที่รุนแรงของดินแดนรกร้าง ที่ซึ่งมีพายุทรายและพายุที่รุนแรงพัดผ่าน
นอกจากนี้ยังมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสีเขียวกะพริบอยู่ด้านบนของบ้านซึ่งมันได้ฉายสนามพลังในขณะที่ป้อมปืนอัตโนมัติก็หมุนไปรอบ ๆ โดยชี้ตรงไปที่ อัลดิช และ วาเลร่า เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ กระบอกปืนขนาดใหญ่ 2 กระบอก ก็ได้หันไปทางพวกเขา ภายในนั้นมีเส้นสีขาวสว่างวาบอยู่บนปืน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่านี่คืออาวุธพลังงาน
อีกทั้งด้านนอกยังมีจักรยานยนต์ไฟฟ้า 12 คันจอดอยู่ด้านข้าง โดยพวกมันได้ยึดสายเคเบิลเข้ากับเต้ารับในบ้านเพื่อชาร์จเครื่องยันต์ไฟฟ้า ในอดีตครั้งนึง ก๊าซและปิโตรเลียมได้ถูกใช้งานบ่อยมากในโลก แต่หลังจาก คลื่นสัตว์ประหลาดปะทุ เมื่ออุณหภูมิและมวลอากาศสูงขึ้น ความไม่มั่นคงก็ได้ทำให้สภาพแวดล้อมนั้นเปลี่ยนไป พวกเขาจึงได้หันไปใช้พลังงานที่สะอาดมากยิ่งกว่า
ตัวบ้านมีบางส่วนที่หุ้มเกราะซึ่งสามารถยืดและหดได้ หากต้องการเคลื่อนที่หรือโยกย้าย ก็แค่เก็บเกราะที่ยื่นออกมากลับเข้าไปเท่านั้น
อัลดิชได้นับสมาชิกของ แก๊งโอดินสัน ดูเหมือนว่าจะมี 8 คนอยู่ข้างนอก แม้ว่าจะมีแนวโน้มว่าจะมีคนอยู่ในบ้านเคลื่อนที่จำนวนไม่มาก แต่เมื่อพิจารณาจากทุกสิ่งที่เขารับรู้เกี่ยวกับ แก๊งโอดินสัน เขาก็ประเมินระดับของพวกเขา
หากให้เทียบ พวกเขาน่าจะมีเลเวลประมาณ 1 ถึง 5 เป็นอย่างต่ำ เพราะโดยทั่วไปแล้วพวกโนแมดส์ไม่ได้มีพลังวิเศษ เพราะถ้าพวกเขามีพลังพิเศษ พวกเขาคงไม่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่แบบนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้พึ่งพา ไซเบอร์เนติกส์และอาวุธปืนโดยทั่วไป
ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวก็คือพวกเขาคือพวกวายร้าย แต่ เท่าที่ อัลดิช บอกได้ก็คือ คนเหล่านี้เป็นเพียงพวกอันธพาลระดับต่ำ
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะประเมินคนเหล่านี้เอาไว้ต่ำ แต่พวกเขาก็มีอุปกรณ์เทคโนโลยีเข้าช่วย
ดังนั้น อัลดิช ยังคงต้องระมัดระวัง เขายังคงใช้เวลาในการกำหนดสิ่งที่เขาต้องการจะทำ และ เขารู้อยู่อย่างนึง หากเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เขาจะไม่ลังเลที่จะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการทั้งหมดที่มี
==
อัลดิช และ วาเลร่า ได้เดินขึ้นไปที่ฐานของโอดินสัน สมาชิกของโอดินสัน ได้ลุกขึ้นจากโต๊ะที่พวกเขาตั้งวงร่วมสนุกกัน มือของพวกเขาได้จับไปที่ปืนพกที่เหน็บเอาไว้ที่เอวของพวกเขา
คนของแก๊งโอดินสันนั้นมีสัญลักษณ์อยู่ที่ดวงตาข้างซ้ายของพวกเขา ซึ่งมันดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก มันคือรอยสักของเทพนอร์สยุคเก่า
“ต้องการอะไรหรือ คุณหน้ากาก?” ชายร่างใหญ่ ที่สูง ราว ๆ หกฟุต (ประมาณ 188 ซม.) ได้เดินเข้ามาหา อัลดิช และ วาเลร่า เขาลูบเคราสีบลอนด์หยาบด้วยแขนกลและยิ้มให้กับ วาเลร่า “หรือนายมาที่นี่เพื่อขายเธอ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันจะซื้อด้วยความเต็มใจ และ ให้สัญญาเลยว่าจะถนุถนอมเธอเป็นอย่างดี เพราะฉันแน่ใจว่านายคงไม่มีปัญญาที่จะดูแลเธอหรอกใช่มั้ย?”
เส้นประสาทบนหน้าผากของ วาเลร่า และ อัลดิช ได้กระตุกเล็กน้อย
“ไม่ ฉันไม่ได้เป็นแมงดา”อัลดิช กล่าว“ฉันมาที่นี่เพื่อซื้อเทคโนโลยี”
“หืม?” ชายร่างใหญ่ ได้กล่าวออกมาเชิงผิดหวัง ก่อนที่จะโบกมือให้คนของเขาเคลื่อนไหว “เด็ก ๆ ไปตรวจสอบพวกเขาหน่อย”
คนของโอดินสัน 2 คน ได้เดินเข้ามา โดยใช้แท่งตรวจจับโลหะต่อหน้าของ อัลดิช และ วาเลร่า
“พวกเขาไม่มีอะไรติดตัวเลยนอกจาก เสื้อผ้าบนตัว” หนึ่งในนั้นได้กล่าวพูด
“ตรวจสอบจำนวน AC”
คนของ โอดินสัน อีกคนได้นำเครื่องสแกนสีแดงออกมาและฉายแสงสีแดงโฮโลแกรมไปที่ร่างของ อัลดิช และ วาเลร่า
“จำนวน AC…ศูนย์?” คนของ โอดินสัน ได้กล่าวพูดอย่างสับสน
“ศูนย์? เชี่ย? ลองสแกนดูอีกครั้ง”
เขาเริ่มสแกนอีกรอบ
“เป็น ศูนย์ อย่างไม่ต้องสงสัย”
“อะไร พวกนายสองคนเป็นพวกไร้พลังหรอกเหรอ ฉันเกือบจะตกใจอยู่แล้วเชียว” ชายร่างใหญ่ได้กล่าวพูดพร้อมกับลูบเคราด้วยแขนกลของเขา “เดิมฉันคิดว่าพวก ดัดส์ จะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว แต่เดาว่าพวกนายคงโชคดีที่รอดมาได้สินะ”
ชายร่างใหญ่ ได้หันกลับมาและพูดกับเครื่องส่งวิทยุในมือของเขา “หัวหน้า มีลูกค้า 2 คนเข้ามามองหาเทคโนโลยี พวกเขาไม่มีทั้ง อาวุธ และ ดูโง่ ผมค่อนข้างแน่ใจว่าพวกเขาไม่ใช่ ตำรวจหรือสายลับ จากนี้คุณสามารถมองเห็นพวกเขาผ่านกล้องได้เช่นเดียวกัน”
หลังจากที่เขาเอามือแนบหูและได้ยินคำสั่งจากอีกฝ่าย เขาก็ยิ้มและมองไปทาง วาเลร่า อีกครั้ง “เข้าใจแล้ว”
ชายร่างใหญ่ พยักหน้าให้กับ อัลดิช และ วาเลร่า จากนั้น ก็โบกมือให้พวกเขาก้าวเดินเข้ามาอย่างเป็นมิตร “เข้ามาเถอะ เชิญมองไปรอบ ๆ และเลือกซื้อสิ่งที่ต้องการไปได้เลยหากมีจำนวนเครดิตที่เพียงพอ”
ประตูบ้านเคลื่อนที่ได้เปิดออก และ อัลดิช กับ วาเลร่า ก็เดินเข้าไปข้างใน ในขณะนี้ คนของแก๊งโอดินสัน 2 คน ก็เดินตามหลังพวกเขาและเกือบจะพากันเข้าไปในบ้าน ภายในบ้านนั้นมีแสงสลัวสีม่วงและสีน้ำเงินเข้มราวกับว่านี่คือไนท์คลับ ที่นี่มีผนังโลหะที่เปลือยเปล่า โดยไม่จำเป็นจะต้องกังวลไปกับการตกแต่ง
นอกจากนี้ ยังมี โต๊ะ เก้าอี้ และ เฟอร์นิเจอร์ กระจัดกระจายไปทั่ว และ มีคนของแก๊งโอดินสัน สูบบุหรี่ราวกับพายุ บางคนก็หมดสติไป ที่นี่มีแม้กระทั่ง เด็กนั่งดริ้งที่สวมชุดครึ่งตัวและนั่งอยู่บนตักของพวกเขา
กลิ่นเหม็นเขียวของกัญชาสายพันธุ์ใหม่ได้ลอยฟุ้งไปทั่วพื้นที่ และ มันได้ส่งกลิ่นฉุนมากกว่าปกติ
จากนั้น ประตูบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของ อัลดิช และ วาเลร่า ก็ปิดลง ในขณะที่พวกเขาได้เดินเข้าไปในห้องอย่างเงียบ ๆ
ทุกคนในที่นี้ต่างจ้องมองไปที่ วาเลร่า และ ส่งเสียงหวีดหวิวออกมา
“ดูนั่นมีสาวสวยจากไหนมาก็ไม่รู้” หนึ่งในคนของโอดินสันได้กล่าวออกมาขณะที่เขามองไปที่ วาเลร่า
วาเลร่า จ้องมองไปที่ข้างหน้า และ พยายามไม่สบตากับพวกคนของโอดินสัน
“นายท่าน เมื่อไหร่ที่ข้าจะสามารถทุบกะโหลกพวกมันได้?” วาเลร่า ได้ส่งกระแสจิตหา อัลดิช
“อดทนไว้ก่อน มาดูกันว่าพวกมันจะมาไม้ไหน”
อัลดิช สั่งให้ ดวงตาปีศาจทั้ง 2 สำรวจพื้นที่ภายในห้องนี้และห้องอื่น ๆ เพื่ออ่านแผนผังของบ้าน
“บียอร์น นี่คือลูกค้าของเรา ช่วยรักษามารยาทนิดนึง” ชายร่างใหญ่ได้กล่าวพูดพร้อมกับขยับแขนกลของเขา “แบรนท์จะพาพวกนายไปที่ห้องเทคโนโลยี ขอให้สนุกนะ”
จากนั้นเขาก็หันไปหา ไซเบอร์เนติกส์คนนึง
คนผู้นี้กะโหลกศีรษะของเขาหุ้มไปด้วยโครเมียมทั้งชิ้นอีกทั้งแขนทั้งสองข้างของเขาก็เป็นแบบกลทั้งหมด
แบรนท์ยิ้มให้พวกเขาขณะที่พาพวกเขาไปข้างหน้าด้วยการเคลื่อนไหวศีรษะ อัลดิช และ วาเลร่า ได้เดินตามไป แต่ตอนนี้ อัลดิล รู้ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น
บ้านเคลื่อนที่แห่งนี้แบ่งออกเป็นหลายห้อง และ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในห้องนั่งเล่น ลึกเข้าไปอีกครึ่งนึงของบ้านประกอบไปด้วยเทคโนโลยีซึ่งมีแว่นตาเทคโน การบำรุกรักษาอาวุธ การแยกชิ้นส่วน และ การปลอมแปลง
พวกเขาได้ปลอมแปลงศิลปะและบัตรประจำตัว อีกทั้ง พวกเขายังได้ตรวจสอบความถูกต้องจากสิ่งของต่าง ๆ ที่ คนของ โอดินสัน ขโมยมันมาจากหน่วยงาน หรือ ปล้นคนที่อยู่ในเมืองโดยใช้ ID ปลอม
แน่นอนว่าของเหล่านี้คือเครื่องประดับซะส่วนใหญ่ เพราะในสังคมปัจจุบัน มนุษย์ยังคงนิยมสิ่งของเพื่อรักษาขวัญกำลังใจ แม้ว่ามันจะไร้ประโยชน์ แต่ของประดับเหล่านี้ก็มีมูลค่าที่สูง โดยเฉพาะ คนที่อยู่ในกำแพงเมือง พวกเขามีทั้งความมั่นคงและความมั่งคั่ง จากนี้จะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาค่อนข้างรวยและมีสถานะดีกว่าคนอื่น ๆ
แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมด
ด้านหลังของห้องเทคโนโลยี อัลดิช เห็น คนของโอดินสัน 5 คนพร้อมกับกระบองติดอาวุธ พวกเขามีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายและใบหน้าดูหิวโหย จากนี้จะเห็นได้ว่าพวกเขาต้องการจะทำอะไร
พวกเขาต้องการเอาชนะ อัลดิช และ วาเลร่า โดยเฉพาะ วาเลร่า พวกเขาต้องการเธอ บางทีพวกเขาอาจจะฆ่า อัลดิช และ บังคับให้ วาเลร่า กลายเป็นทาสทางเพศ เหตุผลที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็เพราะว่าพวกเขาคิดว่า อัลดิช และ วาเลร่า เป็นพวก ดัดส์
พวกนี้คือพวกไร้พลังโดยสิ้นเชิง
และนี่คือเหตุผลที่พวกเขาไม่แม้แต่จะขอให้ อัลดิช ถอดหน้ากากของพวกเขาออก เพราะพวกเขาไม่คิดว่าเขาคือภัยคุกคามเลย
แต่มันก็สมเหตุสมผลแล้วที่พวกขยะเหล่านี้จะทำแบบนี้ เพราะพวกเขาดำเนินชีวิตด้วยการขโมยและจัดการผู้อ่อนแอมาโดยตลอด
แล้วเหตุใดพวกเขาถึงต้องเปลี่ยนมันด้วย?
เมื่อพวกเขาเห็นเหยื่ออยู่ตรงหน้า 2 คน คิดว่าพวกเขาจะปล่อยไปง่าย ๆ งั้นหรือไม่?
“นายท่าน ท่านเห็นอย่างที่ข้าเห็นหรือไม่?” วาเลร่า ได้กล่าวพูด
“ใช่ ฉันเห็นอย่างที่เธอเห็น” อัลดิช กล่าว
“โอ้ ข้าลืมไป บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าเราอยู่ใกล้กันจนดวงตาของท่านราวกับว่าเป็นของข้า และ ของข้าก็เป็นของท่าน ยังไงก็ตาม นายท่าน ข้าได้รับอนุญาติให้ต่อสู้ได้หรือยัง? ข้ามีเหตุผลที่จะฆ่าพวกมัน หรือฉีกกระชากพวกมันได้หรือยัง?”
“อืม” อัลดิช กล่าว “อย่าปล่อยพวกมันไปแม้แต่คนเดียวล่ะ”
“แม้ว่าท่านจะไม่บอก ข้าก็คิดจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว”
===