SN-ตอนที่ 25 ล่ากีสต์
กีสต์ ได้เดินเข้าไปในพื้นที่โล่ง โดยมี ไดนาไมท์เกิร์ลเดินนำไปข้างหน้าเพื่อลดความเสี่ยงของตัวเอง
ขณะที่ ไดนาไมท์เกิร์ล เดินไปข้างหน้า ศีรษะของเธอก็ยังคมก้มต่ำลงและเคลื่อนที่ไปด้วยท่าทีที่กุกกักและเคอะเขินราวกับว่าเธอเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใย
กีสต์ ได้เงยศีรษะขึ้นขณะนั่งริมลำธารที่สไตร์เกอร์เคยหลับใหล ด้านหน้า มันได้จ้องไปที่ศพของสไตร์เกอร์ และ หยิบศพขึ้นมาด้วยมือขนาดใหญ่ของมัน ศพของสไตรเกอร์เหล่านี้ค่อนข้างหนักพอสมควรแต่มันกลับยกขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
หลังจากตรวจสอบดูว่าไม่ใช่มนุษย์มันก็โยนศพสไตร์เกอร์ทิ้งไป
“เคะ” กีสต์ ได้ส่งเสียงแปลก ๆ ออกมา ทำให้มันเกือบจะเหมือนกับมนุษย์ต่างดาว ฟังจากระดับเสียงที่สูงของมันดูเหมือนว่ามันจะค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นและตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
มันมองไปข้างหน้าและพบร่องรอยของซากศพสไตร์เกอร์ที่นำไปสู่ผืนป่า
กีสต์ มองไปที่แนวศพอยู่ครู่นึงจากนั้นก็ให้ ไดนาไมท์เกิร์ล เดินไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบ เห็นได้ชัดว่ามันสงสัยบางอย่าง และ มันได้นั่งอยู่ที่เดิมและเหยียดลิ้นที่หนาล่ำของมันออกมา
ขณะที่ ไดนาไมท์เกิร์ล เดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ลิ้นที่ถูกเธอไว้กับ กีสต์ ก็ค่อย ๆ เบาบางลง
ไดนาไมท์เกิร์ล ได้ก้าวออกจากพื้นที่โล่ง และ อยู่ห่างจากกีสต์ไปประมาณ 20 เมตรเต็ม ก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงหน้าศพของสไตร์เกอร์ตัวสุดท้าย
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ในพื้นที่โดยรอบ และ ไม่มีการโจมตีแบบเซอร์ไพรส์
มันก็แค่ศพร่างเดียว
“เคะเคะ?” กีสต์ ได้บ่นพึมพัมออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะมันชักใยให้ ไดนาไมท์เกิร์ล กลับมา และ นั่นคือช่วงเวลาที่มีบางอย่างเกิดขึ้นกับลิ้นของมัน
โครงกระดูกโจร ได้ปรากฏตัวขึ้น มีดคู่ของมันได้ฟันลงมาผ่านตรงกลางลิ้นของ กีสต์ ตรงส่วนที่เบาบางและตัดได้ง่ายที่สุด
ทันใดนั้น ความเชื่อมโยงระหว่าง ไดนาไมท์เกิร์ล และ กีสต์ ก็ถูกตัดขาด
เมื่อ อัลดิช เห็นว่า กีสต์ ใช้ ไดนาไมท์เกิร์ล เพื่อตรวจสอบเส้นทางล่วงหน้า เขาจึงได้วางศพของสไตร์เกอร์เพื่อหลอกล่อมัน
และเนื่องจาก กีสต์ ไม่สามารถ ตรวจจจับ ดวงตาปีศาจ ได้ มันจึงไม่สามารถตรวจจับการมีอยู่ของโครงกระดูกโจรได้เช่นเดียวกัน
อัลดิช ได้ให้ โครงกระดูกโจรใช้ [Shadow Walk] และ ยืนอยู่นิ่ง ๆ กลางที่โล่งเพื่อลดการเคลื่อนไหวใด ๆ ที่มันต้องทำ
เผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างกระทันหัน กีสต์ ได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และ ใบหน้าของมันก็บิดเบี้ยว พร้อมกับพุ่งเข้าไปปรากฏตัวต่อหน้า โครงกระดูกโจร และ ใช้มวลแขนที่มีกล้ามของมันชกออกไปในทันที ทว่าในเวลานี้เองกลับมีลูกธนูพุ่งออกมาจากพุ่มไม้และแทงเข้าไปที่แขนของมัน
“เคะ?!” กีสต์ ได้ก้าวถอยหลังและดึงลูกธนูออกจากร่างกาย ในช่วงเวลานี้ โครงกระดูกโจร ได้วิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอด และ หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
“เคะ…เคะ?” กีสต์ จ้องมองไปที่ บาดแผลที่เกิดจากลูกศร เนื้อของมันเริ่มเน่าเปื่อย ผิวสีขาวของมันได้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำและเน่าเปื่อยไปด้วยฤทธิ์กัดกร่อน มันได้เอียงศีรษะด้วยความสงสัยว่าทำไมพลังการฟื้นฟูถึงไม่ทำงาน
จากนั้น กีสต์ ก็พยายามที่จะหยิบลิ้นของมันขึ้นมาและติดใหม่พร้อมกับฟื้นฟู
ฟุ่บ!
และนั่นคือตอนที่ วาเลร่า ได้พุ่งออกมาโดยใช้ทักษะ [Dash] ของเธอเอง เธอได้กลายเป็นร่างเงาสีดำและกระแทกเข้าใส่ร่างของ กีสต์ อย่างรุนแรงพร้อมกับทุบมันด้วยโล่ของเธอ
แต่กีสต์ตัวนี้มีทั้งพละกำลังและความเร็ว มันได้ตอบสนองโดยการยกการ์ดขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีของ วาเลร่า
เสียงกระทบกระเทือนได้ดังไปทั่วป่า ในขณะนี้ กีสต์ ได้ถูกบังคับให้ล่าถอยกลับไปหลายเมตรภายใต้พลังการโจมตีของ วาเลร่า
“เคะ!” มันได้คำรามออกมาและพยายามหยุดยั้งอยู่กับที่
“โอ้ แข็งใช่เล่นเลยแฮะ!” วาเลร่า ได้ใช้ทักษะ [Shield Slam] และผลักไหล่ของเธอเข้าไปในโล่ จากนั้น โล่ของเธอก็เรืองแสงสีแดงก่อนที่มันจะกระแทกใส่ กีสต์ อีกครั้ง
กีสต์ ได้ล่าถอยไปอีกหลายเมตรก่อนที่จะหยุดลง ในเวลานี้ นิ้วขนาดใหญ่ของมันได้จิ้มลงไปในดิน จากนั้นมันก็ส่ายหัวและเริ่มปล่อยสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาทออกมา
รูขุมขนต่าง ๆ ในร่างกายของมันได้เปิดออก และ ก๊าซสีม่วงก็พุ่งออกมาจากด้านนอก มันได้ปกคลุมพื้นที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว
วาเลร่าได้สูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับเย้ยหยัน “นี่มัน!? พิษ!? ช่างโง่เขลาโดยแท้!”
“เคะ?” กีสต์ เองศีรษะของตัวเองเมื่อพบว่าพิษของมันไม่มีผลกับ วาเลร่า
เธอได้กระแทกเกราะอกของเธอก่อนที่จะพุ่งออกไปอีกครั้ง โดยในเวลานี้ เธอได้ใช้การโจมตีปกติ และ เหวี่ยงการโจมตีเข้าใส่ กีสต์ ด้วยโล่ในมือของเธอ
แต่ กีสต์ ก็ได้แสดงความคล่องแคล่วอย่างน่าประหลาดใจและหลบการโจมตีก่อนที่จะชกใส่ วาเลร่า เข้าที่หน้าอก หมัดของมันได้ทะลุผ่านเกราะเลือด [Crimson Furnace] ของเธอ และ กระแทกเข้าใส่ชุดเกราะของเธอ
สิ่งนี้ทำให้ วาเลร่า ได้ไถลถอยหลังไปหลายเมตรขณะที่เสียงดังสะท้อนของโลหะที่เว้าแหว่งได้ดังก้องไปทั่วในอากาศ ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับความเสียหาย แต่เพราะว่าเกราะเลือดมันได้ลดความเสียหายให้บางส่วน ทำให้เธอไม่ได้รับความเสียหายอะไรมากนัก ทว่าด้วยพลังที่มหาศาลเช่นนี้ มันจะมีผลอย่างรุนแรงต่อโครงกระดูกหรืออันเดดที่มีพลังป้องกันน้อยเหมือนกับอัลดิช
เธอได้มองลงไปและพบรอยร้าวที่ชุดเกราะจากนั้นเธอก็หัวเราะออกมา “นี่แหล่ะ! มากกว่านี้! โจมตีใส่ข้าให้มากกว่านี้!”
วาเลร่าได้พุ่งเข้าไปโดยใช้โล่ของเธอโจมตีอีกครั้ง และ กีสต์ ก็คำรามออกมาในขณะที่พวกเขาทั้งสองได้ปะทะกัน
อัลดิช ได้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว เขาได้รออยู่นอกพื้นที่โล่ง ที่อยู่นอกเหนือการตรวจจับของ กีสต์ และ ตอนนี้ เขาก็รีบวิ่งไปที่ ศพของ ไดนาไมท์เกิร์ล ซึ่งเป็นเขาที่วางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น
เขาได้ล่อให้ กีสต์ พา ไดนาไมท์เกิร์ล ออกมา
จากนั้นก็ให้ โครงกระดูกโจรตัดลิ้นของมัน
นอกจากนี้ เขายังวางโครงกระดูกนักธนูไว้บนต้นไม้เพื่อคอยช่วยเหลือ
จากนั้นก็ให้ วาเลร่า พุ่งออกไปโจมตีเพื่อหันเหความสนใจของ กีสต์ เพื่อไม่ให้มันติดลิ้นของมันเข้าไปใหม่เพื่อควบคุม ไดนาไมท์เกิร์ล
ตอนนี้ ก็มาถึงขั้นตอนสำคัญที่สุดของแผน
อัลดิช ได้คุกเข่าลงต่อหน้าร่างที่บอบบางของ ไดนาไมท์เกิร์ล และ พร้อมที่จะปลุกชีพให้เธอกลายเป็นอันเดด
สไตร์เกอร์ 2 ตัว อัลฟ่าสไตร์เกอร์ อดัม และ เอเลเน่ ได้ยืนอยู่โดยรอบตัวของ อัลดิช โดยทำหน้าที่คุ้มกันเขาในกรณีที่ กีสต์พยายามพุ่งผ่าน วาเลร่า มา
อย่างไรก็ตาม วาเลร่า ก็ยังดึงดูดความสนใจของ กีสต์ ได้ค่อนข้างดี
อัลดิช ได้ตรวจสอบ ไดนาไมท์เกิร์ล และไม่เห็นป้ายหลุมศพบนหัวของเธอ นี่ก็หมายความว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ และ ยังคงหายใจแม้ว่ามันจะเบาบางมากก็ตาม
นั่นก็เพราะเธอได้อาศัยอยู่ในท้องของ กีสต์ เป็นเวลากว่า 6 เดือนเต็ม ในฐานะหุ่นเชิด
“ขอบคุณสำหรับความพยายามของคุณที่ปกป้องเมืองฮาเว่น ตอนนี้ ฉันจะยุติความทรมานให้กับคุณเอง” อัลดิช ได้กล่าวออกมาพร้อมกับพูดคำอำลาสุดท้าย จากนั้นเขาก็ใช้ไม้เท้าแทงไปที่คอของเธอจนเธอตาย
เขารู้สึกสงสารเธอเล็กน้อย มันก็เหมือนกับมนุษย์ที่ต้องสังหารมนุษย์ด้วยกันเอง ทว่า เขาได้ก้าวผ่านความรู้สึกตรงนั้นได้อย่างรวดเร็ว
เพราะตอนนี้เขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว มีเพียงการใช้ความคิดนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และ ตราบใดที่มันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้ เขาก็ยินดี
บางที อาจจะมีใครบางคนมาช่วยชีวิตของเธอและรักษาเธอหลังจากไปถึงเมืองฮาเว่น
แต่แล้วอย่างไรล่ะ? ใครจะรับประกันได้ว่าจิตใจของเธอจะไม่บุบสลาย? ใครล่ะจะพาเธอกลับเมือง?
อัลดิช ย่อมไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน - เพราะมันมีความเสี่ยงมากเกินไปหลังจากพาเธอกลับไปที่เมือง เพราะเนื่องจากตอนนี้ เขาเป็นเพียงศพที่เดินได้ และ ยังไม่มีตัวตนปลอมอีก
ดังนั้นเพื่อกำจัดข้อสงสัยและคำถามที่จะมาจากองค์กรผู้วิวัฒ เขาจำเป็นจะต้องทำเช่นนี้
อย่างน้อยการมีอยู่ของ ไดนาไมท์เกิร์ล ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อเขา อัลดิช พบว่า มีวิญญาณลอยอยู่เหนือร่างของเธอ ซึ่ง เขาได้สั่นหัวในทันที - การรับเอาวิญญาณไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในตอนนี้
เพราะเขาต้องการพลังของเธอในตอนนี้
“จงตื่น” อัลดิช ได้กล่าวขณะที่เขาวางมือลงบนหน้าผากของ ไดนาไมท์เกิร์ล อย่างนุ่มนวล จากนั้นพลังงานสีเขียวก็ได้ไหลเข้าสู่ร่างของ ไดนาไมท์เกิร์ล
[-5 มานา]
[มานา : 79/84 > 73/84]
อัลดิช รู้ดีว่าเขาจำเป็นจะต้องเสียสละสไตร์เกอร์ ดังนั้นเขาจึงได้ลูบหัวสไตร์เกอร์ตัวนึงที่อยู่ด้านข้างเขา
“แกทำได้ดีแล้ว มันถึงเวลาที่แกจะต้องพักผ่อนแล้ว” อัลดิช กล่าว
ด้วยเหตุนี้ สไตร์เกอร์ จึงได้สลายกลายเป็นฝุ่น และ ทำให้ อัลดิช มีที่ว่างในการเพิ่ม ไดนาไมท์เกิร์ล เข้าไป
ศพของ ไดนาไมท์เกิร์ล ได้สั่นไหวก่อนที่จะลุกขึ้นยืน
[อันเดด (ไดนาไมท์เกิร์ล) เลเวล 12 ฟื้นคืนชีพ]
เนโครแมนเซอร์ ไม่สามารถรับเอาวิญญาณและชุบชีวิตศพขึ้นมาได้ เพราะเมื่อวิญญาณถูกยึดไป ศพก็จะเสียความสามารถในการฟื้นคืนชีพไป
แต่ถ้าศพถูกชุบชีวิตด้วยจิตวิญญาณของมัน มันก็เป็นไปได้ที่จะฟื้นคืนชีพในฐานะอันเดดระดับสูงขึ้นได้
แต่ถ้าเป็นซอมบี้ พวกมันอาจจะแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย แต่พวกมันทั้งเชื่องช้า และ โง่กว่า อีกทั้งยังสูญเสียการฝึกฝนทั้งหมดที่ศพดั้งเดิมมีไป
อย่างไรก็ตาม อันเดดสามารถพัฒนาบุคลิกลักษณะเฉพาะและคงไว้ซึ่งการฝึกฝนทักษะการต่อสู้ที่พวกเขามีเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ได้ อย่างไรก็ตามพวกเขาจะสูญเสียความทรงจำบางอย่างไป และ คงไว้ซึ่งความทรงจำที่จะต้องรับใช้เจ้านายคนใหม่อย่างไม่ลดละ
หากจำเป็น เนโครแมนเซอร์ก็สามารถป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นได้ โดยการปรับปรุงแก่นแท้ ที่เปลี่ยนเป็นอันเดดที่เลี้ยงให้กลายเป็นหุ่นยนต์ที่สามารถใช้งานได้จริง แต่โดยพื้นฐานแล้วยังคงสภาพทักษะการต่อสู้เอาไว้ แต่ไม่มีเจตจำนงค์อย่างอิสระเสรี
อัลดิช ได้จำกัดบุคลิกของ ไดนาไมท์เกิร์ล ในตอนนี้ โดยเขาต้องการเปลี่ยนให้เธอเป็นนักสู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ไดนาไมท์เกิร์ล ที่ตัวสั่นได้ลุกขึ้นยืน ผิวของเธอได้เปลี่ยนจากสีมะกอกดำเป็นสีขาวซีด ขณะที่ผมสีบลอนด์ทองของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีเงินจนเกือบจะกลายเป็นสีขาว นัยน์ตาของเธอนั้นว่างเปล่า และ ไม่มีความนึกคิดอยู่ภายในนั้น
สิ่งเดียวที่เธอทำตามคือ เจตจำนงค์ของ อัลดิช และ มันทำให้ใบหน้าของเธอกลายเป็นบูดบึ้งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ กีสต์
==
“นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด!” วาเลร่า ได้ทำหน้าบูดบึ้ง เมื่อเห็นกีสต์สร้างฟันขึ้นมาใหม่หลังจากที่มันหักลงโดยการโจมตีโดยการใช้โล่ของเธอ ตอนนี้ พวกเขาทั้งคู่อยู่ห่างกันและปะทะกันอีกครั้ง
แต่ในขณะที่ วาเลร่า โจมตีจนซี่โครงของ กีสต์ หักไป 2-3 ซี่ กีสต์ ก็ได้ฟื้นฟูมันกลับมาใหม่ และ ยืนขึ้นโดยแทบจะไม่มีปัญหาใด ๆ และ เศษชิ้นส่วนเนื้อตายก็ได้ถูกตัดออกไป ก่อนที่มันจะฟื้นฟูกลับมา ดูเหมือนว่าลูกธนูลูกเดียวจะไม่เพียงพอที่จะหยุดความสามารถในการฟื้นฟูของสัตว์ประหลาดตัวนี้
“วาเลร่า อดทนไว้ก่อน เดียวฉันไปช่วย!” เสียงของ อัลดิช ได้ดังขึ้นจากด้านนอกพื้นที่โล่ง
“ค่ะ นายท่าน!” วาเลร่า ได้ยิ้มกว้างภายใต้หางเสือของเธอ และ หากใบหน้าของเธอปรากฏให้เห็น มันคงแสดงให้เห็นว่าแก้มของเธอได้แตกเป็นเสี่ยง ๆ จากรอยยิ้มนี้ เพราะเธอได้ยิ้มกว้างอย่างพิลึก และ นี่เป็นลักษณะเฉพาะของ ดูลาฮาน
วาเลร่า ได้ยกโล่ขึ้นมาและโยนมันออกไป
กีสต์ ได้พุ่งตัวไปด้านข้างเพื่อหลบการโจมตีของเธอ สิ่งนี้ทำให้ โล่ได้ทุบทำลายต้นไม้จนต้นไม้ได้โค่นล้มไป 2-3 ต้น
จากนั้น วาเลร่า ก็ได้กำหมัดแน่น ขณะที่ ออร่าสีแดงเลือดได้พุ่งสูงขึ้นรอบตัวของเธอ
เนื่องจากเธอมีคลาสประเภทนักรบ เธอจึงมีทั้งอาวุธพิเศษและความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ ซึ่งมันได้มอบทักษะที่เกี่ยวข้องของเธอในพื้นที่เหล่านั้น ความเชี่ยวชาญด้านอาวุธของเธอก็คือการใช้โล่ และ ความสามารถในการต่อสู้ของเธอก็คือการใช้โล่ แน่นอนว่าเธอสามารถใช้ทักษะการป้องกันที่พุ่งเป้าไปที่พันธมิตรได้
แต่เมื่อเธอโยนโล่ทิ้ง ความสามารถในการต่อสู้ของเธอก็เปลี่ยนจาก ผู้พิทักษ์ กลายเป็น เบอร์เซิร์กเกอร์ และ ความเชี่ยวชาญด้านอาวุธของเธอจากการใช้โล่ก็เปลี่ยนเป็นการต่อสู้มือเปล่า
สิ่งนี้ได้เพิ่มความสามารถในการรุกของเธออย่างมาก โดยตามจริงแล้ว นอกจากการปกป้องเจ้านายของเธอแล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่เธอรักมากไปกว่าการทารุณเนื้อเหล่านั้นด้วยหมัดทั้ง 2 ของเธอเอง
“โอร่า!” วาเลร่า ได้ใช้ [Dash] เพื่อปรากฏตัวต่อหน้าของ กีสต์ และ ต่อยหมัดขวาไปที่ใบหน้าของมัน
“เคะเคะ!” กีสต์ ได้ลอบกลืนน้ำลายขณะที่ใบหน้าของมันถูกต่อยยุบ ฟันมนุษย์ขนาดใหญ่ของมันได้แตกกระจายและทำให้มันพุ่งถอยหลังออกไปจนกระแทกเข้ากับลำต้นของต้นไม้ที่อยู่ข้างหลังอย่างรุนแรง
จากนั้น กีสต์ก็ล้มลงและลูบใบหน้าของมัน รอบประทับของกำปั้นได้เจาะลึกเข้าไปในใบหน้าของมัน แต่มันก็ได้ใช้ทักษะการฟื้นฟูตัวเอง ทว่า วาเลร่า ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของมันอีกครั้ง และ เตะเข้าไปที่ด้านข้างของศีรษะในทันที
กีสต์ ได้พุ่งไปข้างหลัง วาเลร่า เพื่อหลบการโจมตีนี้
แต่ วาเลร่า ได้ทำนายการเคลื่อนไหวของมันและหมุนศอกไปรอบ ๆ เพื่อกระแทกเข้าที่กะโหลกศีรษะของกีสต์อีกครั้ง
“เคะ!” หัวของ กีสต์ ได้สบัดอย่างรุนแรงจากการถูกโจมตี
จากนั้น วาเลร่า ก็พุ่งไปข้างหน้าแล้วกอด กีสต์ เอาไว้ โดยเธอได้ใช้แขนสีขาวขนาดใหญ่โอบรัดและพยายามบดขยี้
ทางด้าน อัลฟ่า สไตร์เกอร์ และ สไตรเกอร์ธรรมดา ก็ได้วนรอบตัวกีสต์ในตอนนี้ มันได้คำรามและรอที่จะจู่โจมหากมันหลุดออกมา ส่วน โครงกระดูกนักธนู ก็ได้ยิงลูกธนูออกไปฝังหัวของมัน โครงกระดูกโจรเองก็ได้ปรากฏตัวขึ้นจากการเร้นกายและฟันเข้าที่ด้านหลังของมันอย่างรวดเร็ว
ส่วน อัลดิช เขาได้ยืนอยู่ในขอบพื้นที่โล่ง ซึ่งห่างไกลจากอันตรายโดยตรง โดยมี อดัม และ เอเลเน่ ยืนอยู่เคียงข้างเขา และ ไดนาไมท์เกิร์ล ที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็ได้คำรามออกมา ดวงตาของเธอได้เปลี่ยนเป็นสีส้มสดใสราวับว่าเธอได้หวนคืนกลับมาตอนยังมีชีวิตอยู่อีกครั้ง
เธออยากจะออกอไป เธอต้องการจะฉีกกระชากสัตว์ประหลาดตัวนี้ออกจากกัน อัลดิช รู้ว่า ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ไดนาไมท์เกิร์ล เป็นที่รู้จักกันในฐานะคนปากร้ายที่ดุร้าย บางทีสิ่งนี้อาจจะติดอยู่กับเธอแม้ว่าเธอจะตายไปแล้วก็ตาม
“ไปเถอะ ไปสั่งสอนให้สัตว์ประหลาดตัวนี้ได้รับในสิ่งที่มันควรจะได้รับ” อัลดิช ได้โบกมือ และ สั่งให้ ไดนาไมท์เกิร์ล ก้าวไปข้างหน้า
เธอวิ่งเข้าไปข้างหน้าและกระโดดขึ้นไปในอากาศพร้อมกับใช้มือทั้งสองกำเข้าหากันแน่นและทุบไปที่ต้นคอของกีสต์
จากนั้น ไดนาไมท์เกิร์ล ก็ส่งเสียงคำรามออกมา มือของเธอเริ่มเกิดประกายไฟบางอย่าง จากนั้น แสงสีส้มที่สดใสก็ได้ปรากฏขึ้น การระเบิดได้ปะทุออกมา สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ ไดนาไมท์เกิร์ล ล่าถอยกลับออกไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึง วาเลร่า และ เกือบจะฆ่า โครงกระดูกโจรที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงออกไปด้วย
กลุ่มควันได้ลอยขึ้นจากตัวของ กีสต์ และ มันมีกลิ่นเช่นเดียวกับเนื้อย่าง
อัลดิช ได้เชื่อมโยงกลิ่นของเขากับ อัลฟ่าสไตร์เกอร์ และ จากสิ่งนี้ ทำให้เขารู้ว่า กีสต์ยังคงยืนนิ่งอยู่กลางกลุ่มควัน โดยที่ครึ่งท่อนบนของมันได้ระเหยไปจนหมด
และ การฟื้นฟูของมันก็ทำงานอย่างรวดเร็ว
กระดูกสันหลังคอส่วนบนของมันเริ่มที่จะปฏิรูป เช่นเดียวกับมวลเนื้อและกล้ามเนื้อ
อัลดิช ได้หยุดสิ่งนี้ โดยการดึงไม้เท้าออกมาและร่ายสกิล [กระสุนสายฟ้า]
กระสุนสายฟ้าสีขาวได้พุ่งออกมาและชนเข้ากับร่างของ กีสต์ พลังงานที่เย็นยะเยือกได้แทรกซึมเข้าไปในร่างกายที่ถูกทำลายครึ่งในทันที
เช่นเดียวกับพลังกัดกร่อน ความเสียหายประเภทเยือกแข็ง ก็ทำให้การฟื้นฟูไร้ผล แม้ว่า [กระสุนสายฟ้า] จะมีพลังงานความเย็นอยู่ภายในนั้น แต่มันก็ไม่ได้สร้างความเย็นที่มากเกินไป แต่หากการร่ายสกิลนี้อย่างต่อเนื่อง มันก็ง่ายมากที่จะเปลี่ยนให้เป้าหมายที่หยุดอยู่กับที่อย่าง กีสต์ ถูกแช่แข็งและถูกทำลายลงได้ และ ด้วยสิ่งนี้ เขาจะสามารถทำลายเซลล์การฟื้นฟูของมันได้ในที่สุด
[-60 มานา]
[มานา : 73/84 > 13/84]
อัลดิช ได้โบกไม้เท้าของเขา และ โจมตีออกไปอย่างต่อเนื่อง จากนี้จะเผยให้เห็นว่า กระสุนสายฟ้าได้แช่แข็งร่างของกีสต์ที่เหลือแต่ท่อนล่างในทันที
อัลดิช ยิ้มให้กับสิ่งที่เขาเห็น : สัญลักษณ์หลุมศพได้ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของกีสต์ เช่นเดียวกับ วิญญาณ
====================
[กำจัด กีสต์!]
[+350 EXP]
[แถบ EXP : 245/250 > 595/250]
[เลเวลอัพ!]
[เลเวล 6 > 7]
[แถบ EXP : 345/340]
[เลเวลอัพ!]
[เลเวล 7 > 8]
[แถบ EXP : 5/500]
====================