ตอนที่แล้วSN-ตอนที่ 23 การเลี้ยงดูอัลฟ่าสไตร์เกอร์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSN-ตอนที่ 25 ล่ากีสต์

SN-ตอนที่ 24 กีสต์


ดวงตาปีศาจ ได้จ้องไปที่ วาแลน ที่มุ่งไปข้างหน้าทาง อัลดิช ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดและความตาย

มันมีลักษณะเหมือนรับร่างมนุษย์ที่สูง 3 เมตร มีผิวสีขาวเรียบ และ ร่างกายก็เต็มไปด้วยมวลกล้าม มันได้เดินไปข้างหน้าด้วยหลังที่โค้งงอ และ ลากมือไปมาบนพื้นดิน มันแทบจะไม่มีลักษณะเฉพาะตัวเลย ทว่าผิวของมันกลับไม่มีตำหนิ นิ้วมือและนิ้วเท้าของมันก็ไม่มีเล็บ

โดยรวมแล้ว มันเกือบจะเหมือนกับหุ่นที่น่าขนลุกที่มีกล้ามมากเกินไป

คล้ายกับว่าสิ่งนี้หลุดมาจากหนังสยองขวัญ

หัวทรงกลมของมันได้ขาดลักษณะใบหน้าที่แท้จริงเช่นเดียวกัน มีเพียงปากขนาดใหญ่ที่ขดตัวเป็นรอยยิ้มที่เปิดกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนี้จะเห็นได้ชัดว่ามันมีฟันขนาดใหญ่ที่ขยับอยู่ตลอดเวลา

มันมีชื่อว่า กีสต์

ในบรรดาตัวแปรต่าง ๆ ที่ อัลดิช พบในงานวิจัยที่จำกัดที่เขาสามารถทำได้ในสถาบันแบล็ควอเตอร์มีด้วยกันทั้งหมด 3 ประเภท

วาแลนธรรมดา - สิ่งเหล่านี้คือ วาแลน ที่ดูเหมือนจะปรับตัวเข้ากับธรรมชาติ พวกมันกลายเป็นส่วนนึงของระบบนิเวศและนำลักษณะของพืชและสัตว์ที่มีอยู่มาใช้ ซึ่ง สไตร์เกอร์ที่มีลักษณะเหมือนกับหมาป่า เป็นตัวอย่างของตัวแปรดังกล่าว

พวกมันต้องการอาหารและน้ำเพื่อดำรงชีวิต และ สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยตัวเอง โดยทั่วไปแล้ว มันเหมือนกับสัตว์ป่า ดังนั้นจึงค่อนข้างน่ากลัวเกินกว่าที่จะทำให้เชื่องได้

วาแลนประเภทกีสต์ - สิ่งเหล่านี้ เป็นสัตว์ประหลาดที่อธิบายไม่ได้ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมักจะมีลักษณะเหมือนกับมนุษย์

พวกมันคล้ายกับตัวตนอมตะ ที่ไม่ต้องการ อาหาร หลับนอนหรือการพักผ่อน และ ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ต้องสืบพันธุ์เว้นแต่พวกมันจะมีพลังที่อนุญาติให้ทำซ้ำได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ พวกมันไม่มีชุดพฤติกรรมเฉพาะใด ๆ ที่สอดคล้องกัน โดย กีสต์ แต่ละตัว ก็มีรูปแบบพฤติกรรมเฉพาะของพวกมันเองซึ่งทำให้มันคาดเดาได้ยากมาก

บางตัวเปรียบเสมือนหุ่นยนต์ที่ตั้งโปรแกรมไว้ล่วงหน้า และ บางตัวฉลาดอย่างน่าประทับใจ และ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะบอก

นอกจากนี้ กีสต์ ยังมีความกระหายอย่างมากต่อมนุษย์และผู้วิวัฒโดยเฉพาะเลือดและเนื้อของพวกเขา ดังนั้น มันจึงเป็นภัยคุกคามที่มากกว่าวาแลนธรรมดาโดยธรรมชาติ โดยปกติแล้ว กีสต์ นั้นแข็งแกร่งกว่าวาแลนโดยทั่วไปซะส่วนใหญ่ แม้แต่ตัวที่อ่อนแอที่สุด ก็ยังเป็นภัยคุกคามระดับ C

ตัวแปรประเภทที่ 3 ก็คือ ไททัน สิ่งเหล่านี้คือตัวแปรที่ทรงพลังที่มีขนาดมหึมาที่อาจจะเทียบเท่ากับเรือประจัญบานขนาดใหญ่หรือมากกว่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแปรในตำนานที่ใกล้เคียง ซึ่งก่อตัวขึ้นหลังจากการตายของ ซาฮัค และ การถือกำเนิดขึ้นของ วาแลน

มีไททันทั้งหมด 20 ตัวในตอนเริ่มต้น แต่หลังจาก 8 ตัวถูกสังหารโดยมนุษยชาติที่มารวมตัวกัน อีก 12 ตัวที่เหลือ ต่างก็กลับไปยังรังขนาดใหญ่ของมันในพื้นที่ห่างไกล และ ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งคราวในทุก 2-3 ปี ก่อนที่มันจะถูกไล่กลับไปอีกครั้ง

“พวกเราควรรีบไป” อัลดิช ได้พูดขึ้น เขาไม่ต้องการเสี่ยงที่จะต่อสู้กับสัตว์ประหลาดระดับ C ในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองสามารถท้าทายบางสิ่งที่อยู่เหนือกว่าตนเอง 1 ระดับได้ แต่เขาก็มีข้อได้เปรียบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ถ้าหากว่า กีสต์ มีพลังและความสามารถบางอย่างที่ทำให้ยูนิตของเขาไม่สามารถทำอะไรได้

สิ่งนี้จะทำให้ อัลดิช ตกที่นั่งลำบากในทันที และ กระทั่ง เขายังเกรงกลัวว่า กีสต์ จะสามารถต่อสู้ได้แม้กระทั่งกับ วาเลร่า

วาเลร่า สามารถต่อสู้กับมันได้ด้วยค่าสถานะในปัจจุบัน ทว่าเธอก็คงไม่มีดาเมจความเสียหายที่มากพอที่จะจบมันได้

ศัตรูที่แข็งแกร่งมักจะมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา แม้แต่ใน Elden World นี่ก็เป็นประเภทของศัตรูที่สร้างปัญหาให้กับ เนโครแมนเซอร์ผู้ปลุกชีพความตาย ในระดับที่ต่ำกว่า นั่นก็เพราะพวกเขามียูนิตที่ควบคุมน้อยเกินไปในการจัดตั้งกลยุทธ์ขนาดใหญ่

หาก กีสต์ มีพลังและความสามารถเชิงพื้นที่ที่ทรงพลัง แม้แต่ อัลดิช ก็คงไม่มีโอกาสเอาชนะ

“สัตว์ประหลาดตัวนี้คืออะไร?” วาเลร่าได้พูดขึ้นขณะมองผ่านดวงตาของ อัลดิช “มันทั้งน่าเกลียด และ ดูเป็นภัยต่อธรรมชาติ เป็นภัยต่อชีวิต อีกทั้งยังเป็นภัยต่อเรา”

“ถูกต้องแล้ว นี่คงเป็นลักษณะที่อธิบายถึงมันได้ในตอนนี้” อัลดิช ได้กล่าวพูดขึ้น เขาต้องยอมรับในเรื่องนี้ “มันถูกเรียกว่า กีสต์ และ สิ่งที่เธอต้องรู้ก็คือ มันมีพลังที่อยู่เหนือกว่าระดับของเราในตอนนี้ หากเราต้องสู้กับมัน ก็ไม่มีการรับประกันว่าเราจะเป็นฝ่ายชนะ”

วาเลร่าได้สวมหมวกของเธอและกล่าวออกมา “อันที่จริง ข้าสัมผัสได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งจากตัวมัน โอ้ ถึงแม้ว่าข้าล่ะอยากจะฝังกะโหลกของมัน แต่ข้าจะทำตามคำสั่งของท่านนายท่านของข้า”

“พวก กีสต์ มักจะตามล่ามนุษย์ที่มีชีวิต และ คงจะไม่สนใจอันเดด ดังนั้นมันน่าจะไม่มายุ่งกับเรา พวกเราจึงทำได้เพียงเลี่ยงไปใช้เส้นทางโดยรอบ” อัลดิช ได้พูดขึ้นก่อนที่จะหยุดลง เพราะเขาเห็นบางสิ่งที่ทั้งหลอนและน่าสนใจ

เขาได้มองผ่าน ดวงตาปีศาจ เขาเห็น กีสต์ เปิดปากขนาดใหญ่ของมัน ขณะที่ท้องของมันขยายขึ้นอย่างผิดปกติและชักกระตุกก่อนที่มันจะสำรอกออกมาเป็นผู้หญิง โดยลิ้นที่มีหนามของมันได้เกาะติดอยู่ที่หลังของเธอ ราวกับว่าเธอคือเหยื่อที่จับได้

ดูเหมือนว่าเธอคนนี้จะเป็น ฮีโร่ ดูจากเศษเสื้อผ้าสีส้มและสีแดงที่ขาดรุ่งริ่ง เขาไม่สามารถบอกได้เลยว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ นอกจากนี้ เธอยังมีผมสีบลอนด์ที่ดูสกปรกและปกคลุมใบหน้า

กีสต์ได้เช็ดน้ำลายบนร่างกายของเธออย่างระวังและหัวเราะคิกคักกับตัวเองในขณะที่มันใช้ลิ้นเลียไปรอบหัวเธอเบา ๆ พร้อมกับ ขยับแขนขาของเธอไปรอบ ๆ ราวกับว่ามันกำลังเล่นฟิกเกอร์อยู่

จากนั้น กีสต์ก็หัวเราะกับตัวเอง ร่างกายของมันได้สั่นสะท้านไปทั้งตัว แต่เนื่องจากไม่มีการแสดงสีหน้าใด ๆ จึงยากที่จะบอกได้ว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องขบขันหรือปฏิกิริยาตามธรรมชาติของมัน

และด้วยเหตุนี้ อัลดิช จึงรู้ว่า กีสต์ ตัวนี้ คืออะไร ดูเหมือนว่าเขาจะเคยเห็นมันในข่าวตอนที่มันโจมตี ฮาเว่น เมื่อ 6 เดือนก่อน

และเขารู้แล้วว่าเขาสามารถต่อสู้กับมันได้

จิตใจของ อัลดิช เต้นระรัวขณะที่เขานึกถึงกลยุทธ์ตามข้อมูลที่เขามี

การรายงานข่าวเกี่ยวกับการโจมตีของ กีสต์ นั้นค่อนข้างละเอียด เนื่องจาก เมืองฮาเว่น ส่วนใหญ่ ไม่ได้รับการโจมตีจากพวกวาแลนมากนัก เพราะมันมีเพียงรูปแบบธรรมที่มีระดับ E ถึง D โดยทั่วไปแล้ว การปรากฏตัวของ กีสต์ จึงไม่ได้พบบ่อยนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ระมัดระวัง

ในตอนนั้น กีสต์ ได้บุกโจมตีเมือง ฮาเว่น ในตอนกลางคืน โดยเข้าไปทางรูที่เพิ่งจะซ่อมแซมเสร็จไปแล้วครึ่งนึงจากด้านผนัง โดยมันได้ปล่อยสารพิษหลอนประสาทออกมาจากรูขุมขนต่าง ๆ ในร่างกายของมัน และ มันก็ไล่ล่ามนุษย์ที่มันมองเห็นอย่างบ้าคลั่ง

ด้วยขนาดและความแข็งแกร่งที่มหาศาลของ กีสต์ มันได้ฉีกมนุษย์ออกเป็นชิ้น ๆ และกิน ในขณะที่มันก็ปล่อยสารพิษออกมาฆ่าคนอีกมากมาย ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง มันได้ฆ่าคนไปมากกว่าร้อยคน รวมทั้ง ฮีโร่ ไอรอนโซลเดอร์

กีสต์ ได้ใช้ลิ้นของมันแทงทะลุร่างของ ไอรอนโซลเดอร์ และ กลืนกินร่างของเขาเข้าไป

จากนั้นไม่นานทีมตอบโต้ก็ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อตอบโต้ กีสต์

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ทีมนี้ก็สามารถเอาชนะ กีสต์ ได้ แต่ไม่ใช่ก่อนที่ กีสต์จะสามารถฆ่าและลักพาตัว  ไดนาไมท์เกิร์ล ที่เป็น ฮีโร่คนนึงไป และ ด้วยการฟื้นฟูขั้นสูง มันก็สามารถหลบหนีเข้าไปในป่าได้สำเร็จ และ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมืองฮาเว่น ก็ตื่นตัวมากขึ้นสำหรับการกลับมาของมัน

จากรายงานข่าวทำให้ อัลดิช รับรู้ได้ถึงพลังของ กีสต์ ตัวนี้

ความสามารถแรกของมันคือการปล่อยสารพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาท และ เป็นอันตรายต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก มันจะทำให้สมองล้มเหลวภายใน 20 วินาที เว้นแต่ว่าร่างกายของพวกเขาจะได้รับการปรับปรุง และ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมงสำหรับสาขา AA (องค์กรผู้วิวัฒ) ในเมือง ฮาเว่น ที่จัดตั้งทีมตอบสนอง

เพราะพวกเขาต้องเตรียมอุปกรณ์ในการป้องกันก๊าซพิษ

อย่างไรก็ตาม ในฐานะอันเดด อัลดิช และ ลูกน้องของเขาต่างก็มีภูมิคุ้มกันต่อก๊าซพิษ และ แม้แต่โครงกระดูก ก็ไม่มีสมองที่จะรับรู้ถึงพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาทเหล่านั้น

ตอไปคือความสามารถของ กีสต์ ในการควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่นด้วยลิ้นของมัน สิ่งนี้ค่อนข้างเป็นปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้มันสามารถควบคุม ไดนาไมท์เกิร์ล ที่เป็น ฮีโร่คลาส C ที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังรู้จักกันในความสามารถของเธอในการสร้างระเบิดจากมือ

ความสามารถของเธอมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงในการต่อสู้กับ อันเดด ของ อัลดิช เพราะว่ามันสามารถสร้างความเสียหายธาตุไฟที่ส่งผลเป็นวงกว้างได้ และ เมื่อพิจารณาจากสภาพร่างกายของเธอแล้ว เธอยังมีความสามารถด้านการต่อสู้อีกด้วย เพราะ หลังจากที่ อัลดิช มองผ่านชุดที่ฉีกขาดของเธอ เขาก็พบมวลกล้ามที่หนาแน่น

มันเป็นไปได้มากที่ ลิ้นของ กีสต์ จะเก็บสารอาหารไว้หล่อเลี้ยงเธอ และ ทำให้เธอมีชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของมัน

ยิ่งไปกว่านั้น กีสต์ ยังมีความสามารถในการพุ่งระยะสั้นทำให้ความเร็วของมันค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูที่รวดเร็ว ซึ่งทำให้แขนขาที่ขาดหายไปสามารถฟื้นฟูได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วินาที

การฟื้นฟูของมันไม่ได้เป็นปัญหามากนัก เพราะ ยูนิตของอัลดิชส่วนใหญ่จะสร้างความเสียหายที่เป็นพิษทำให้เนื้อหนังของมันเน่าเปื่อยและทำให้การฟื้นฟูเป็นโมฆะโดยตรง

แต่การพุ่งด้วยความเร็วสูงรวมกับพละกำลังทางกายภาพที่น่าเกรงขามของมันซึ่งสามารถฉีกมนุษย์ทั้งเป็นได้ นั่นก็หมายความว่า กีสต์ ตัวนี้เป็นภัยคุกคามขนาดใหญ่แม้ว่ามันจะไม่มีความสามารถด้านพิษหรือว่าการฟื้นฟูก็ตาม

สำหรับ ไดนาไมท์เกิร์ล ก็เช่นเดียวกัน การมีอยู่ของเธอค่อนข้างจะขัดกับแผนการของ อัลดิช

แม้แต่ ผู้วิวัฒที่ไม่มีพลัง ร่างกายของพวกเขาก็ยังแข็งแกร่งหาใดเปรียบ นั่นก็เพราะการมีอยู่ของเซลล์วิวัฒ และ ฮีโร่คลาส C อย่าง ไดนาไมท์เกิร์ล ก็สามารถทุบคอนกรีตให้แตกได้ด้วยพลังหมัดที่หนักหน่วง สิ่งนี้ก็มากเกินพอที่จะทำลายโครงกระดูกในการโจมตี 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความอ่อนแอของโครงกระดูกที่หากเผชิญหน้ากับการโจมตีที่รุนแรงจะถูกทำลายลง

แต่กลยุทธ์ก็สามารถชดเชยช่องว่างของอำนาจนี้ได้

“เป็นอะไรงั้นหรือนายท่าน?” วาเลร่าได้กล่าวพูดออกมา “ตอนนี้พวกเราจะไม่หนีกันแล้ว หรือว่าบางที…”

วาเลร่า รู้สึกแข็งขึ้นเล็กน้อยภายใต้ชุดเกราะของเธอ เธอรู้สึกตัวสั่นขณะที่เธอจับโล่ของเธออย่างหนาแน่น “ข้ารับรู้ได้จากมองดูแววตาของท่าน นายท่านของข้า ข้าล่ะชื่นชอบความคิดของท่านมาก ท่านคิดที่จะต่อสู้ใช่หรือไม่?”

“ใช่” อัลดิช ได้ตอบกลับ เขาพยักหน้า และ เริ่มสั่งให้ดวงตาปีศาจคอยจับตามองดู กีสต์ เอาไว้ ดูเหมือนว่า กีสต์ตัวนี้ จะอยู่ห่างออกไปประมาณ 150 เมตร และ จะมาถึงพื้นที่โล่งนี้ในไม่กี่นาที

ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาเตรียมตัวมากนัก “พวกเราจะจัดการมัน!”

อัลดิช อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อย เขารู้สึกสงสัย หากเขาได้ กีสต์ มาเป็นเหล่าอันเดด ของเขา มันจะมีประโยชน์มากเพียงใดกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด