CD บทที่ 262 ฆาตกรโรคจิต?
"เราไม่สามารถตัดความเป็นไปได้นี้ไปได้!" เหมี่ยวอิงพยักหน้า “พวกโจรรู้การทำงานของธนาคารเป็นอย่างไรดี ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาทำงานหรือช่วงเวลาพักของเจ้าหน้าที่ การตัดไฟ การงัดห้องนิรภัย สุดท้ายก็หลบหนีออกไป พวกเขาเลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุด ฉันไม่คิดว่าคนนอกจะทำเรื่องพวกนี้ได้ง่าย ๆ”
“นอกจากนี้ เราได้ตรวจสอบมาแล้วค่ะ” หลี่เบ่ยหนีสนับสนุน "เมื่อเร็ว ๆ นี้ ธนาคารฉินชานขาดทุนมหาศาลเนื่องจากสูญเสียความไว้วางใจ หากเงินทุนไม่เพียงพอและพวกเขาใกล้จะล้มละลายค่ะ."
“ดังนั้น พวกผู้บริหารจึงตัดสินใจตั้งวางแผนและปล้นธนาคารของตนเอง?” จ้าวหยู่ส่ายหัวและหัวเราะ “เอาล่ะ เราสามารถเขียนบทและส่งไปที่ฮอลลีวูดทำหนังได้แล้ว!”
"ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้!" เหมี่ยวอิงเพิกเฉยต่อมุกตลกของจ้าวหยู่และกล่าวต่อ “เหตุผลที่พวกเขาขโมยจากกล่องนิรภัยเป็นเพราะผู้บริหารธนาคารรู้ว่ามีสิ่งที่น่าสงสัยมากมายในห้องนิรภัย แม้ว่าพวกมันจะถูกขโมย แต่เจ้าของอาจไม่กล้าแสดงความเป็นเจ้าของต่อพวกมัน!”
“หรืออีกอย่าง...” หลี่เบ่ยหนีเสริมทันที “ในห้องนิรภัยมีของมีค่าอย่างพวกทองคำ ถ้าพวกเขาสามารถนำพวกมันไปขายได้ พวกเขาก็จะทำเงินได้เป็นล้าน!”
จ้าวหยู่ยังคงส่ายหัว
“จ้าวหยู่ อย่าเพิ่งปฏิเสธสิ่งที่เรากำลังพูด!” เหมี่ยวอิงกล่าวต่อ "กรณีเช่นคุณที่คุณเพิ่งฝากของมีค่าไว้ชั่วคราวนั้นหายากมาก ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเก็บสิ่งของเหล่านั้นไว้เป็นเวลานาน”
“ไม่ว่าอย่างไร คนพวกนี้รวยอยู่แล้ว พวกเขาสามารถซื้อตู้เซฟที่มีความปลอดภัยสูงมาและเก็บของที่บ้านก็ได้ แต่ทำไมพวกเขาถึงจะฝากมันไว้ในธนาคาร? เพื่อความปลอดภัยงั้นเหรอ?”
“อาจเป็นเพราะพวกมันเป็นของเทา ๆ และกลัวว่าจะถูกค้นพบหากอยู่ใกล้ตัวเกินไป” จ้าวหยู่ยักไหล่และตอบ “แต่มันไม่เหมือนกับห้องนิรภัยของธนาคาร ตราบใดที่พวกเขาให้ข้อมูลปลอม จำรหัสผ่านและเก็บกุญแจไว้กับตัว พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลจะมีใครค้นพบของพวกนั้น”
“แต่พวกคุณไม่คิดหรือว่าถ้าผู้บริหารธนาคารทำอะไรแบบนี้ พวกเขาคงจะโง่เกินไปจริงมั้ย?” จ้าวหยู่เปลี่ยนน้ำเสียงและโต้กลับ "ทันทีที่พวกโจรถูกจับ ความจริงก็จะปรากฏในทันที นี่คงเป็นการทำลายธนาคารไม่ใช่หรือ? ถ้าผู้บริหารทั้งหมดถูกส่งตัวเข้าคุก ทุกอย่างก็จะพังทลาย พวกคุณไม่คิดว่าความเสี่ยงนี้มันจะคุ้มจริง ๆ งั้นเหรอ?”
“สิ่งที่คุณพูดนั้นสมเหตุสมผล แต่เรายังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด!” เหมี่ยวอิงโต้กลับ “แล้วถ้าพวกเขาคิดแผนที่สมบูรณ์แบบแล้วและพวกเราจับคนร้ายไม่ได้ล่ะ?”
“ถ้าคุณพูดแบบนั้น ฉันจะไปสอบสวนธนาคารให้ละเอียด!” จ้าวหยู่ตบหน้าอกของเขาอย่างมั่นใจ “หัวหน้าทีมเหมี่ยว คุณไม่ต้องกังวลไป ตราบใดที่ฉัน จ้าวหยู่ เป็นคนลงมือ ความจริงก็เปิดเผยโดยทันที ฉันจะตรวจสอบว่ามีคนในของธนาคารเกี่ยวข้องหรือไม่? ตกลงไหม?”
"จ้า ๆ" เหมี่ยวอิงหาวอย่างเหนื่อยขณะที่เธอเหลือบมองจ้าวหยู่ “จ้าวหยู่ คุณจะพูดว่าพระเจ้าจะช่วยเหลือคุณอีกแล้วงั้นเหรอ? ฉันเห็นคุณหยิบกุญแจกล่องนิรภัยของคุณแล้ว คุณแค่ต้องการไปที่ธนาคารโดยเร็วแล้วเอาเงินสองแสนกลับมา อย่ามาพูดให้ตัวเองดูดีหน่อยเลยดีกว่า!”
“โอ้? นี่ฉันถูกจับได้แล้วสินะ?” จ้าวหยู่ยอมรับและชมเชยเหมี่ยวอิง “หัวหน้าเหมี่ยว คุณคือยอดนักสืบจริง ๆ ทันทีที่ฉันขยับก้น คุณก็รู้…” จ้าวหยู่ยังไม่ทันจะพูดจบ เขาก็โดยขัดจังหวะ
“อี๋!” หลี่เบ่ยหนีตะโกนทันทีว่า "พอแล้ว ฉันไม่อยากฟัง!"
จ้าวหยู่ต้องการยืนขึ้นและจากไป แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นข้อมูลที่เพิ่มใหม่บนไวท์บอร์ด
"โอ้?" เมื่อเห็นชื่อใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง เขาจึงถามว่า "ต้วนต้าเฉิง นี่ใคร เขามาจากไหน?"
“เขาเป็นสามีของกงซิ่วเจิน ลุงห้าของหัวหน้าถัง” เหมี่ยวอิงกล่าว “เขาก็หายตัวไปด้วย!”
‘อา? หายตัวไป?’
"เดี๋ยว เดี๋ยว" จ้าวหยู่เกาหัวของเขา "ฉันงงไปหมดแล้ว! ทำไมยังมีคนหายอีก?"
จากนั้น เหมี่ยวอิงบอกจ้าวหยู่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงเรื่องของกงซิ่วเจิน, ต้วนต้าเฉิงและถงหยุน
"ไม่มีทาง?" จ้าวหยู่ขมวดคิ้ว “วิธีที่ทั้งสามคนหายตัวไปนั้นค่อนข้างแปลกมาก เนื่องจากกงซิ่วเจินตายไปแล้ว อีกสองคนก็เสียชีวิตเหมือนกันใช่มั้ย?”
“เราไม่สามารถพูดแบบนั้นได้ค่ะ” หลี่เบ่ยหนี่กล่าว “ทั้งสามคนหายตัวไปในช่วงเวลาและสถานที่ที่ต่างกัน เราไม่สามารถยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทั้งสามคนได้ค่ะ”
“หลี่เบ่ยหนีพูดถูก ก่อนที่เราจะพบหลักฐาน เราไม่สามารถคาดเดาได้” เหมี่ยวอิงกล่าว “ตอนนี้ เราแน่ใจได้เพียงว่ากงซิ่วเจินตายแล้ว ส่วนอีกสองคนเรายังไม่สามารถยืนยันอะไรได้เลย!”
"เรื่องนี้มีประเด็นหลายอย่างที่ชวนตั้งคำถามมากเลยทีเดียว" เหลียงฮวนส่ายหัวและพูดต่อ "อย่างแรกก็คือกงซิ่วเจิน เธออายุ 70 แล้ว เธอเป็นหญิงชราที่เป็นม่าย ไม่มีเงินหรืออำนาจ คนร้ายบ้าไปแล้วหรือ ทำไมเขาถึงต้องการฆ่าเธอ?"
"เชี่ย!" จ้าวหยู่อุทานออกมาทำให้ทุกคนประหลาดใจ “หรือว่า… เป็นการค้าอวัยวะ!?”
"ไม่ใช่แน่นอน!" เหมี่ยวอิงตอบกลับทันที “อวัยวะของกงซิ่วเจินนั้นอยู่ครบสมบูรณ์ จ้าวหยู่ คุณเนี่ยชอบสบถออกมาเป็นประจำเลย ช่วยระวังคำพูดหน่อยได้ไหม?”
“หรือว่ากงซิ่วเจินตายด้วยโรคประจำตัว!” จ้าวหยู่กำหมัดของเขาในขณะที่เขาเดายังคาดเดาต่อไป “ตัวคนร้ายคงจะเพิ่งรู้ตัวว่าหลังจากที่เธอตายไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องซ่อนหลักฐานและเขาก็คิดวิธีนี้ขึ้นมา!”
“เฮ้อ…” หน้าผากของหลี่เบ่ยหนี่เต็มไปด้วยรอยย่น “รุ่นพี่คะ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นทำไมคนร้ายถึงไม่ขุดหลุมฝังศพล่ะคะ อย่าลืมสิว่าการนำสิ่งของในห้องนิรภัย มันต้องเงินหลายหมื่นหยวนเลยนะคะ”
"แล้วอีกอย่าง" เหมี่ยวอิงส่ายหัวของเธอ “การชันสูตรพลิกศพยืนยันว่าผู้ตายไม่มีอาการป่วยมาก่อน ข้อมูลใหม่จากแผนกนิติวิทยาศาสตร์ยังยืนยันว่ากงซิ่วเจินเสียชีวิตจากากรอดอาหารตายจริง ๆ!”
"หา!?" จ้าวหยู่ตกตะลึง
‘นี่มันแปลกจริง ๆ ผู้สูงอายุที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ซึ่งเงินหรืออำนาจ ทำไมคนร้ายถึงต้องจะทำอะไรโหดร้ายกับเธอ อย่างการทำให้เธออดอาหารจนตาย?’
"โอ้! เข้าใจแล้ว!" ดวงตาของจ้าวหยู่เบิกกว้างในขณะที่เขาหยุดระหว่างคำพูด "คนร้ายคนนี้ต้องเป็นฆาตกรโรคจิตแน่นอน!!"
เหมี่ยวอิงและหลี่เบ่ยหนีเกือบจะเป็นลมเนื่องด้วยความโกรธ เรื่องพวกนี้พวกเธอคิดออกเองได้อยู่แล้ว
“คนร้ายต้องมีปัญหาทางจิตแน่นอน!” จ้าวหยู่กัดฟันของเขา “เขาฆ่าเพื่อความสนุก ช่างโหดร้ายอะไรอย่างนี้! เขาต้องเตรียมการมาอย่างดี ไม่อย่างนั้นทำไมเขาถึงใช้เครื่องสุญญากาศเพื่อปิดผนึกเหยื่อของเขา พวกคุณพบพนักงานธนาคารที่เปิดกล่องนิรภัยของฆาตกรหรือยัง?”
"เราทำแล้วค่ะ!" หลี่เบ่ยหนีตอบกลับ “เราโทรหาพวกเขาแล้ว แต่พวกเราไม่ได้รายละเอียดอะไรมากนัก เนื่องจากทางพนักงานไม่สามารถบอกได้ว่าคน ๆ นั้นเป็นชายหรือหญิง!”
"อะไรนะ!?" จ้าวหยู่ตกใจเมื่อถามว่าทำไม
หลี่เบ่ยหนีอธิบายให้เขาฟังทันที เห็นได้ชัดว่ามีหลายคนที่มาใช้บริการห้องนิรภัยมักจะลงทะเบียนโดยใช้ชื่อปลอม มีแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้บริหารองค์กร หรือแม้แต่บุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดัง คนเหล่านี้มักมาพร้อมกับหน้ากาก แว่นตาหรือหมวกพร้อมเสื้อคลุมขนาดใหญ่เพื่อปกปิดตัวตนของพวกเขา
ดังนั้นพนักงานที่รับผิดชอบห้องนิรภัยจึงไม่รู้อะไรมากนัก ทางธนาคารสนใจแต่เรื่องเงิน ใครจะสนรายละเอียดพวกนี้?
ตามความทรงจำของพนักงาน เขาจำได้แค่ว่าคน ๆ นั้นไม่สูงเกินไป และถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้ สำหรับรายละเอียดอื่น ๆ เขาไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเขาเป็นชายหรือหญิง ด้วยคำให้การของเขา จึงทำให้ไม่มีใครรู้ว่าคนที่ฝากร่างของกงซิ่วเจินไว้ในห้องนิรภัยนั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร
"อืม..." เหมี่ยวอิงแบ่งปันความคิดเห็นของเธอว่า “ถ้าคุณถามฉันล่ะก็ ฉันคิดว่าการปล้นธนาคารและศพในธนาคาร มันน่าจะถูกแยกเป็นสองคดี เนื่องจากมันไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ ที่เชื่อมระหว่างเหตุการณ์ทั้งสองเลย!”
“แล้วการปล้นธนาคารล่ะ ไม่มีข่าวอะไรเลยเหรอ?” จ้าวหยู่ถาม
"ไม่มีเลย!" เผิงซินผู้รับผิดชอบคดีปล้นธนาคาร เธอส่ายหัวทันที “พวกโจรพวกนั้นมันเจ้าเล่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ แผนกนิติวิทยาศาสตร์ไม่พบลายนิ้วมือใด ๆ แม้ว่าจะมี DNA อยู่บนหน้ากาก แต่พวกเขาก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามาจากคนร้ายหรือไม่
แล้วอีกอย่าง พวกเพิ่งรู้ว่ารถของคนร้ายขับไปทางเขต LC เรากำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดอยู่ แต่ยังไม่มีพบเบาะแสใด ๆ!" จากนั้นเธอก็หันมาพูดพบเขา "หยู่ นายรีบไปสอบสวนที่ธนาคารทีเถอะ ฉันหวังจริง ๆ ว่ามันจะเป็นฝีมือของคนใน มันจะช่วยพวกเราได้มากเลย"
“ได้เลยครับพี่สาว แล้วก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปเร็วเกินไป!”
จ้าวหยู่สังเกตว่าสถานการณ์ไม่ต่างจากเมื่อก่อนมากนักและหันหลังกลับ แต่ก่อนที่เขาจะก้าวไปอีกสองก้าว เขาก็นึกถึงคำว่า ‘Kun’ ได้ทันควัน เขาหันหลังกลับและรีบพูดกับเหมี่ยวอิงว่า
“แล้วอีกอย่าง หัวหน้าทีมเหมี่ยว ทำไมคุณไม่อยู่ที่นี่วันนี้ล่ะ? ทิ้งงานภายนอกไว้ให้ฉันจัดการ คุณอย่าเพิ่งออกไปเลย!”
จ้าวหยู่พูดอย่างกังวล เขากลัวว่าเหมี่ยวอิงจะมีจุดจบที่น่าเศร้าเช่นเดียวกับคูปิง
แต่น่าเศร้า เหมี่ยวอิงไม่อาจรับรู้ถึงจุดประสงค์ของจ้าวหยู่ได้
“จ้าวหยู่ ระหว่างทางกลับจากธนาคาร คุณควรแวะพบจิตแพทย์นะ!” เหมี่ยวอิงมองดูจ้าวหยู่และพูดอย่างสับสน "ทำไมคุณถึงทำตัวแปลก ๆ ในช่วงไม่กี่วันมานี้ คุณติดหนี้ใครหรือเปล่า? หรือคุณจะเผลอไปทำใครท้อง?"
"คุณ? คุณกำลังท้องเหรอ?" จ้าวหยู่ชี้ไปที่ท้องของเหมี่ยวอิงแล้วแสร้งทำเป็นตกใจ
“อุ๊บ!” หลี่เบ่ยหนีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แต่หยุดกลางคันเนื่องจากเธอเห็นลำแสงที่ออกมาจากดวงตาของเหมี่ยวอิง
“เอาล่ะ ไม่ต้องห่วงเรื่องสุขภาพจิตของฉัน แค่จำไว้นะว่าวันนี้อย่าออกจากสถานีก็พอ!” เพื่อให้แน่ใจว่าเหมี่ยวอิงจะฟังเขา เขาถึงกับวาดนิ้วราวกับว่ากำลังทำนายตามแบบแผนจีน "มิฉะนั้นความหายนะจะเกิดขึ้นกับคุณ!"
“จ้าวหยู่ แกอยากตายมากใช่ไหม?” เหมี่ยวอิงโกรธจัดและชี้ไปที่จ้าวหยู่ด้วยความโมโห “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเมื่อคืนฉันยังไม่ได้นอน ฉันคงเตะแกออกไปทางหน้าต่างแล้ว! ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไสหัวออกไปไม้พ้นหน้าฉันซะ!”
"ครับ ครับ" จ้าวหยู่วิ่งไปอย่างไม่รีบร้อน
“เฮ้อ∼ นับวันรุ่นพี่ยิ่งทำตัวเพี้ยนขึ้นไปทุกที” เมื่อเห็นว่าจ้าวหยู่ออกไปไกลแล้ว หลี่เบ่ยหนีก็ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย “ตอนนี้เขาทำท่าทางเหมือนกับตัวเองเป็นซินแสเห็นอนาคตอีก เฮ้อ∼ ผู้ชายคนนี้…”