SN-ตอนที่ 22 ปัญหาของวิธีการล่องหน
อัลดิช และ ผู้ติดตามอันเดด ได้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างที่เขาได้เดินทางผ่านป่าวาแลน และ มุ่งหน้าไปยังเมืองฮาเว่า เนื่องเพราะเขาไม่มี Eye-Phone เขาจึงไม่สามารถเข้าถึงแผนที่ที่เชื่อถือได้
แต่เพื่อชดเชยสิ่งนี้ เขาก็มีดวงตาปีศาจเป็นตัวคอยนำทางและระวังให้
แน่นอนว่ามันก็มีบ่อยครั้งที่ วาเลร่า ตรวจจับได้ถึงอันตรายด้วยสกิล [Defender's Vigil] ของเธอ และ เมื่อใดก็ตามที่สิ่งนี้เกิดขึ้น อัลดิช จะยืนอยู่ข้างหลังโล่ของเธอและปล่อยให้ ดวงตาปีศาจ ไปข้างหน้าเพื่อสอดแนม
เจ้าสิ่งนี้ไม่สามารถเคลื่อนผ่านวัตถุที่เป็นของแข็งได้ แต่มันก็สามารถบีบตัวเองผ่านช่องว่างที่แคบที่สุดได้ และ ยังมีการมองเห็นรอบทิศทาง ดังนั้น มันจึงสามารถกำหนดขอบเขตภัยคุกคามใด ๆ ได้ค่อนข้างง่าย
และส่วนใหญ่ อัลดิช ก็พบเจอพวก สไตร์เกอร์ มากกว่า เพราะพวกมันเป็นพันธุ์ที่พบมากที่สุดในป่าวาแลน ซึ่งต่อไปนี้ อัลดิช สามารถเอาชนะด้วยตัวคนเดียวได้ด้วยสถานะทางกายภาพของเขาเพียงอย่างเดียว
โดยรวมแล้ว อัลดิช ได้ฆ่าไป 5 ตัว และ ได้รับ EXP มา 50 หน่วย
[แถบ EXP : 25/250 > 75/250]
ในที่สุด หลังจากเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง พวกเขาก็เจอพวกมันเต็มฝูง
มันเป็นฝูงสไตร์เกอร์นับ 10 ตัว พร้อมกับ ตัวอัลฟ่าที่มีขนาดใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด ตัวอัลฟ่ามีสัญลักษณ์ประจำตัวคือขนสีแดงที่ไหลไปตามหน้าผากจนถึงจมูกของมัน
ดวงตาปีศาจ สามารถมองเห็นพวกมันขณะที่พวกมันกำลังนอนหลับอยู่ข้างลำธารขนาดเล็ก และ กระทั่งบางครั้งมันก็ตื่นขึ้นมาเพื่อเฝ้าระวัง
“พวกเราจะทำยังไงกันต่อดี นายท่าน?” วาเลร่า ได้กล่าวพูดกับ อัลดิช โดยการส่งผ่านกระแสจิตที่มีสายสัมพันธ์ของพวกเขาเชื่อมโยงกัน “พวกเราจะต้องผ่านไปทางนี้”
“ฉันรู้” อัลดิช มองไปที่ ข้างหลัง เขาพบ โครงกระดูกนักธนู โครงกระดูกโจร สไตร์เกอร์ 3 ตัว และ อดัมกับเอเลเน่ ที่เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ “ดูเหมือนว่าฉันจะต้องเสริมความแข็งแกร่งทัพของฉันสักเล็กน้อย โดยการกำจัดสไตร์เกอร์และแทนที่ด้วยตัวอัลฟ่า”
“ข้าขอถามได้รึไม่ว่าทำไมท่านถึงไม่แทนที่พวกมันด้วยซอมบี้เหล่านั้น?” วาเลร่า ได้กล่าวพูดขึ้น “โดยพื้นฐานแล้ว พวกมันเป็นจุดอ่อนที่สุดในกองทัพของท่าน ข้ารู้ว่าท่านบอกก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาเป็นสหายคนสนิทของท่าน แต่ว่านายท่านของข้า ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง”
“พวกเขาจะต้องอยู่กับฉัน เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” อัลดิช ได้กำหมัดอย่างหนักแน่น เขาจะให้ อดัมและเอเลเน่อยู่กับเขาจนกว่าเขาจะสามารถแก้แค้น เซ็ท โซลาร์ และ ลูกสมุนของมันได้
จนกว่าเขาจะสามารถแก้แค้นให้กับทั้งสองได้ เขาจะเก็บพวกเขาไว้ข้างเขา
“ข้าเข้าใจแล้ว นายท่าน!” วาเลร่า กล่าวพูดขึ้น “ข้าขอโทษ”
“เธอไม่จำเป็นจะต้องขอโทษ เพราะเธอไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันเพียงแค่แสดงจุดยืนออกมาก็เท่านั้น” อัลดิช ได้สูดลมหายใจ “เอาล่ะ ฉันตัดสินใจแล้ว ไปสู้กับพวกมันกันเถอะ”
วาเลร่า สั่นสะท้านเพราะสิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเธอ “ข้าพร้อมเสมอนายท่าน”
“และนี่คือกลยุทธ์ : โครงกระดูกโจรจะลอบเข้าไปโจมตีอัลฟ่า จากนั้น เธอก็เข้าไปโจมตีพร้อมกับพวกสไตร์เกอร์ ฉันจะอยู่รอบนอกขอบที่โล่งพร้อมกับ อดัมและเอเลเน่ และ โครงกระดูกนักธนู เพื่อสนับสนุนจากระยะไกล” อัลดิช กล่าวออกมา
“ท่านแน่ใจเหรอนายท่าน? จากที่ข้าสัมผัสได้ ข้าสามารถเอาชนะสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวเอง เพราะท้ายที่สุด ข้าก็ค่อนข้างเหมาะสมที่จะจัดการกับฝูงสัตว์ที่อ่อนแอจำนวนมาก” วาเลร่า กล่าวออกมา “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ก็คือเรื่องเวลาที่อาจจะนานขึ้นเล็กน้อย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องท้าทายที่ทำให้ท่านต้องออกโรงด้วยตัวเอง”
“ฉันตัดสินใจแล้ว อันที่จริง ฉันต้องการทดสอบประสิทธิภาพการล่องหนของ โครงกระดูกโจร ว่าทางฝั่งนั้นจะตรวจพบหรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้ว” วาเลร่า ได้ตอบกลับ
—
อัลดิช ได้มองจาก ‘ตา’ ของ โครงกระดูกโจร ขณะที่มันแอบผ่านวงล้อมของ สไตร์เกอร์ ที่กำลังหลับอยู่ โดยมันได้สวมชุดคลุมและปกคลุมไปด้วยเงาทำให้มันสามารถกลบร่องรอยการมองเห็นได้อย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ มันยังมีความว่องไวที่สูงเป็นอย่างมาก มันสามารถพลิกข้ามตัวสไตร์เกอร์ไปด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและพริบตาเดียวมันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของอัลฟ่า
โครงกระดูกโจรได้หยิบมีดสั้นอันโค้งมนของมันออกมาและแทงไปที่ดวงตาของอัลฟ่า ใบมีดได้จมลงไปครึ่งทางจนทำลายดวงตาไปแต่ไปไม่ถึงสมอง เพราะ อัลฟ่า ได้ตอบสนองอย่างน่าทึ่ง และ เคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ
ขนสีน้ำตาลของมันได้ยกขึ้นเป็นหนามและส่งคลื่นกระแทกไปรอบทิศทางจนพุ่งไปชนกับ โครงกระดูกโจร จนมันได้กระเด็นไปชนเข้ากับต้นไม้
จากนั้น สไตร์เกอร์ทุกตัวก็ได้ตื่นขึ้นด้วยความตื่นตระหนกและคำรามออกมาพร้อมกับเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
การทดลองเรื่องการล่องหนของ อัลดิช ค่อนข้างประสบความสำเร็จ
นี่คือข้อสังเกตุของเขา :
การล่องหนด้วยเวทย์มนตร์นั้นค่อนข้างยากลำบากที่จะจัดการ แต่มันก็ไม่ใช่สถานะที่คงกระพัน แต่ถึงกระนั้น สไตร์เกอร์เหล่านี้ก็ไม่สามารถหยิบจับด้วยประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลมของพวกมัน ดังนั้นพวกมันจึงไม่รับรู้ถึงสถานะตัวตนของโครงกระดูกโจรยามมันลอบเข้าไป
โดยพื้นฐานแล้ว ดูเหมือนว่า การทำงานอย่างการล่องหนจะคล้ายกับว่ามีเปลือกบางอย่างห่อหุ้มร่างของผู้ใช้เอาไว้ และ มันได้ปกปิดสัญญาณทางกายภาพใด ๆ เช่น เสียง กลิ่น และ รูปลักษณ์จากผู้อื่น ดังนั้น เสียงการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ หรือ การเคลื่อนไหว จึงถูกซ่อนไว้ทั้งหมด
สิ่งที่ อัลดิช กังวลก็คือ การเคลื่อนไหวที่มองไม่เห็น ยังสามารถส่งสัญญาณตอบโต้ได้เมื่อผู้ใช้กระทำการทางกายภาพ เช่น การเดิน เพราะ อัลดิช สังเกตุเห็นว่า โครงกระดูกโจร มีรอยประทับบนพื้นดินทุกครั้งที่มันเหยียบลงไป
อย่างไรก็ตาม โครงกระดูกโจร ได้รับการฝึกฝนในฐานะนักฆ่าที่สามารถซ่อนเร้นเสียงและปกปิดการเคลื่อนไหวได้อย่างชัดเจน โดยมันได้ขยับข้อต่อของกระดูกให้น้อยที่สุดเพื่อที่จะลดร่องรอยของตัวเองให้มากที่สุด
ปัญหาก็คือ ถ้า อัลดิช ที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อนและพยายามใช้การล่องหน คนอื่น ๆ จะยังสามารถติดตามเขาด้วยเสียงฝีเท้าหรือรอยประทับที่เขาสร้างบนพื้นผิวได้
ส่วนทางด้าน ดวงตาปีศาจ ที่เป็นวิญญาณ มันไม่ได้ก่อให้เกิดเสียงใด ๆ ตั้งแต่แรก ดังนั้น ตอนนี้จึงดูเหมือนว่า ดวงตาปีศาจ ไม่สามารถตรวจพบได้อย่างสมบูรณ์ และ ทำหน้าที่ของมันอย่างคงกระพันเว้นแต่จะถูกโจมตีเป็นพื้นที่วงกว้างและได้รับผลกระทบ
ไม่ว่าพลังของ ผู้วิวัฒ จะสามารถมองเห็นการล่องหนแบบธรรมดาหรือความรู้สึกที่สัมผัสต่อการล่องหนนี้จะถูกมองออกหรือไม่ แต่ อัลดิช ก็ตั้งข้อสงสัยว่าพวกเขาไม่สามารถมองเห็น
พลังของผู้วิวัฒส่วนใหญ่จะใช้ตรวจจับพลังงานอันเป็นสิ่งที่ก่อกำเนิดขึ้นในร่างกายของพวกเขา
ดังนั้นสิ่งนี้จะไม่ทำงานกับเวทย์มนตร์ประเภทล่องหน
“สู้!” วาเลร่า ได้ตะโกนออกมา ขณะที่เธอพุ่งเข้าใส่ด้วยโล่ขนาดใหญ่ของเธอ โดยเสียงปลุกเร้านี้ทำให้เธอได้รับความสนใจจากศัตรูทั้งหมด
สไตรเกอร์บางตัวได้กระโดดขึ้นเพื่อกัดเธอ แต่ วาเลร่า ได้เอาโล่ของเธอใช้เสมือนค้อนทุบตีสไตร์เกอร์เหล่านี้ออกไปราวกับแมลงวัน ซึ่ง สไตร์เกอร์ ได้ถูกส่งบินลอยไปชนกับต้นไม้และกระแทกต้นไม้จนแตกละเอียด กระทั่งกระดูกสันหลังของมันยังแตกเป็นเสี่ยง ๆ
สไตร์เกอร์อีกตัวกัดขาของเธอแต่มันไม่สามารถเจาะเกราะของเธอได้ เธอได้ผลักโล่ของเธอและสับไปที่คอของมันจนตัดคอของสไตร์เกอร์อย่างรวดเร็ว
“ไอ้พวกสกปรก! พวกเจ้าคิดว่าจะสามารถล้มข้าคนนี้ได้งั้นรึไม่! พวกเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!” วาเลร่า ได้ทุบเกราะอกของเธออย่างท้าทาย
อัลฟ่าสไตร์เกอร์ที่ตาบอด มันได้ติดตามเธอผ่านเสียงและพุ่งเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่ามันจะมีการเสริมพละกำลังในระดับนึง ทำให้ร่างกายของมันมีขนาดใหญ่ และ กล้ามเนื้อของมันก็มีขนาดเท่ากับรถโฮเวอร์คาร์
วาเลร่า ได้ยกโล่ขึ้นมาตั้งด้านหน้าเพื่อป้องกันการโจมตีของ สไตร์เกอร์ ซึ่งเสียงอันดังกึกก้องเหมือนกับของหนักได้พุ่งชนเข้ากับกำแพงเหล็กอย่างรุนแรง สิ่งนี้ทำให้ วาเลร่า ล่าถอยไปหลายก้าว ก่อนที่จะหยุดพลังการพุ่งทะลวงของสไตร์เกอร์ได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ค่อยน่าสนุกขึ้นมาหน่อย!” วาเลร่า ได้ตะโกนออกมา
ในชั่วพริบตาเดียว สไตรเกอร์ที่เหลือก็รุมล้อมเธอ มันได้ ข่วน และ กัดเกราะของเธอ แต่แน่นอนว่าพวกมันไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเกราะของเธอได้
“เจ้าพวกมดปลวกกล้ามารุมข้างั้นรึไม่!”วาเลร่า กล่าวออกมา ดวงตาของเธอได้กลายเป็นสีแดงฉานผ่านรอยของหมวกเหล็ก จากนั้นเธอก็ปล่อยโล่และเหวี่ยงหมัดออกไปในพื้นที่ คลื่นพลังงานสีแดงได้กระจายออกไปใส่สไตร์เกอร์ที่อยู่โดยรอบ
นี่คือทักษะ [Bloody Strike] ที่หลอมรวมการโจมตีของเธอด้วยคลื่นกระแทกของเลือด
คลื่นกระแทกนี้รุนแรงมากพอที่จะทำให้ สไตร์เกอร์ทั่วไปลงไปนอนกับพื้น อวัยวะภายในของพวกมันได้แตกหักหรือแตกละเอียด
มีเพียง อัลฟ่าสไตร์เกอร์เท่านั้นที่ยังยืนได้ แต่มันก็ล่าถอยไปหลายเมตรก่อนที่มันจะพยายามฟื้นคืนสมดุลกลับมา
เลือดของสไตร์เกอร์ที่ วาเลร่า ได้ฆ่า ได้ไหลออกมาจากร่างกายของพวกมัน และ ปรากฏขึ้นรอบ ๆ ตัวของเธอ กระทั่งหมุนวนเป็นบาเรียบาง ๆ ที่เป็นเปลือกทรงกลม
“นี่แหละ ความรู้สึกนี้แหล่ะ!” เธอได้อุทานออกมา เลือดนี้ไม่เพียงแต่ไหลรอบตัวเธอเท่านั้น แต่ยังไหลเข้าสู่ตัวเธออีกด้วย โดยพวกมันได้ซึมผ่านช่องว่างในชุดเกราะและช่วยรักษาเธอเพิ่มเติมพร้อมกับเติมเชื้อเพลิง [Blood Rage] ให้กับเธอ
“วาเลร่า!” อัลดิช รู้สึกตื่นตระหนกในทันที
“ออร่า!” วาเลร่า ได้ยกโล่ของเธอขึ้นมาแล้วโยนมันออกไป โล่นี้ได้หมุนไปราวกับชูริเคนขนาดใหญ่มุ่งหน้าไปทาง อัลฟ่าสไตร์เกอร์ และ เนื่องจากอัลฟ่าสไตร์เกอร์ตาบอด มันจึงสายเกินไปที่มันจะหลบพ้น ดังนั้น โล่ขนาดใหญ่จึงได้กระแทกเข้าใส่ร่างของมันจนทำให้มันลอยปลิวไปชนกับต้นไม้
วาเลร่าได้หันไปทาง อัลดิช และ ถอดหมวกออก เธอยกนิ้วโป้งให้กับเขาและเผยรอยยิ้มที่อบอุ่นและสดใสออกมา เธอมีความสุขเป็นอย่างมากที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเธอต่อหน้าของ อัลดิช อีกทั้ง เธอยังคงมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน และ รู้สึกตื่นเต้นกับการต่อสู้
“งานที่ท่านมอบหมายให้เสร็จหมดแล้วนายท่าน! ท่านจะให้ข้าทำอย่างไรต่อไปดี?” เธอกล่าวพูดด้วยความยินดี