ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0084
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0086

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0085


บทที่ 29 วิธีเอาตัวรอดในทะเลทราย (1)

* * *

กุบกับ กุบกับ—

เรลิกซิน่าทำหน้าไม่พอใจ คล้ายกับไม่ชอบการวิ่งช้าๆ แบบนี้ แต่ก็ยังเชื่อฟังคำสั่งของฉันอย่างว่าง่าย

เป็นภาพที่น่าเอ็นดู ฉันจึงอดยิ้มไม่ได้

ภูตตะเกียงพยายามพุ่งออกจากตะเกียงหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ยอมยกธงขาว

จนกระทั่งฉันปลดรูนบาเรียกีดกัน เราจึงได้สนทนากัน

เหนือสิ่งอื่นใด ดูเหมือนว่าภูตวิญญาณจะรู้ว่าฉันกับลิลี่เป็นผู้ปกครอง จึงไม่ต้องแยกคุยส่วนตัว

“แล้วแกชื่ออะไร”

「ไม่รู้จักข้าหรือ? ถ้าอายุน้อยกว่านี้สักห้าสิบปี ข้าจะเย็บชื่อของข้าลงบนผิวหนังพวกเจ้า! ไม่รู้จักท่านโจรสลัดเอ็ดเวิร์ดผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร? โลกบิดเบี้ยวถึงขนาดนี้แล้วหรือ? 」

จะไปรู้จักได้ยังไง? ภูตตนนี้คงเป็นกบในกะลาที่โด่งดังในโลกแคบๆ ของตัวเอง

แต่ฉันตัดสินใจไหลไปตามน้ำ เพราะคนที่หลงตัวเองแบบนี้มักเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี

“แล้วทำไมถึงไปอยู่ในทะเลทรายตะวันออก? ท่านมหาโจรสลัดเอ็ดเวิร์ด”

「เรือของข้าจมลงเพราะไอ้หมึกยักษ์สมองกลวงนั่น」

“คราเค่นที่อยู่ในรอยแยกใหญ่กลางทะเลทรายน่ะหรือ”

เอ็ดเวิร์ดหันมามองฉัน หนวดเคราเริ่มกระดิก

「เจ้าสมองทึบ รู้จักไอ้หมึกสมองกลวงนั่นด้วยหรือ」

“มันคือจุดหมายของการเดินทางครั้งนี้”

ลิลี่จับชายเสื้อฉันจากด้านหลัง

“เจ้าจะไปจริงๆ หรือ?”

“สมบัติชิ้นถัดไปอยู่แถวนั้น”

ฉันหยิบเข็มชี้ออกมาดู

เข็มชี้สีทองซึ่งกำลังเล็งไปทางสมบัติชิ้นที่สี่ หากวางขนานกับพื้นดินก็คงจะไม่เห็นความผิดปรกติ

แต่ถ้านำมาวางตั้งฉากกับพื้น มันจะชี้ลงด้านล่าง

ใต้ดิน

สิ่งเดียวที่ฉันนึกออกในตอนนี้ก็คือ หมึกยักษ์ในรอยแยกขนาดมหึมานั่น

“จะลุยเข้าไปแบบไม่มีแผนเนี่ยนะ? ไม่อันตรายไปหน่อยรึไง?”

“ในตอนที่บุกรังมังกร เธอไม่พูดอะไรเลยสักคำ ทำไมถึงเพิ่งมากลัว?”

“…ข้าคิดว่าอย่างน้อยมังกรก็สื่อสารกับเราได้”

ที่ลิลี่พูดก็มีเหตุผล

เป้าหมายของเราในคราวนี้คือสัตว์ประหลาด แตกต่างกับกิโฮเต้อย่างชัดเจน

มีแนวโน้มสูงว่า การเผชิญหน้าจะไม่จบลงอย่างสันติ

“แต่ฉันไม่รู้จะเตรียมตัวอะไรมากกว่านี้แล้ว… สิ่งสุดท้ายที่ทำได้คือการพุ่งชนเป้าหมาย”

“นั่นก็จริง แต่ว่า…”

“ถ้านั่งอยู่แต่บนโต๊ะ ก็จะเห็นแค่ทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ถ้าอยากเห็นมากกว่านั้น ก็ต้องลุกจากเก้าอี้และก้าวออกไป”

“…เจ้าชักจะเริ่มพูดเหมือนจอมเวทนักฟื้นฟูเข้าไปทุกที”

“จอมเวทนักฟื้นฟู?”

“กลุ่มคนที่คอยฟื้นฟูภาษารูนของอาณาจักรโบราณ ในหมู่จอมเวท พวกเขาโดยดังในด้านนิสัยเสีย แหล่งกบดานใหญ่อยู่ทางภาคเหนือของจักรวรรดิ”

เอ็ดเวิร์ดที่กำลังฟังบทสนทนา กล่าวถามเป็นนัย

「เจ้าสมองทึบ สรุปว่าเจ้าจะมุ่งหน้าไปที่ที่มีปลาหมึกยักษ์สมองกลวงนั่นใช่ไหม? 」

“ใช่ ทำไม?”

「เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกชื่นชอบเจ้า! เอาล่ะ มาออกปล้นกันดีกว่า! เตรียมเสบียงให้พร้อม! เริ่มจากหมู่บ้านแรก!!」

“ปล้นเสร็จแล้วจะทำอะไรต่อ?”

“ก็ปล้นไง!”

“…ปล้นเพื่อเตรียมเสบียง เพื่อไปปล้นต่อ?”

「ที่ที่ไอ้หมึกยักษ์สมองกลวงนั่นเฝ้าอยู่คือความฝันของโจรสลัดทุกคน — เมืองที่เต็มไปด้วยสมบัติและเงินทอง!! หากปล้นสำเร็จ วีรกรรมจะถูกจารึกไว้ตลอดกาล!!」

‘คราเค่นปกป้องเมืองอยู่สินะ’

เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม

หากสัตว์ประหลาดยักษ์ตัวใดกบดานอยู่ในตำแหน่งเดิมเป็นเวลานาน สามารถอนุมานได้ว่ามันกำลังปกป้องบางสิ่ง

โดยสัญชาตญาณแล้ว มนุษย์จะจินตนาการถึงสิ่งที่ตัวเองไม่รู้หรือไม่เคยเห็น นั่นคือเสน่ห์ของการสำรวจ

เมื่อแหงนมองด้านบน พระอาทิตย์ดวงแรกที่เคยลอยค้างกึ่งกลางท้องฟ้า เริ่มตกลงมายังเส้นขอบฟ้าอีกฝั่ง

พวกเราเพิ่งผ่านป่าเบอร์มิวด้ามาได้ไม่ไกล

“เรลิกซิน่า เร่งความเร็วหน่อย เราต้องข้ามกำแพงก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน”

หลังจากเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย ฉันใช้ภาษาแห่งราชันเพื่อผ่านกำแพง

เอ็ดเวิร์ดดูไม่สนใจภาษาราชันสักเท่าไร บางทีอาจฟังแล้วไม่เข้าใจ

แม้จะเป็นภูตวิญญาณเหมือนกัน แต่นิสัยแตกต่างจากเซลฟีพอสมควร

คืนแรก เราพักในหุบเขา

รอบนี้ฉันเตรียม ‘เพมมิแคน*’ ชนิดพิเศษ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากอาหารฉุกเฉินของแวมไพร์อัศวินผู้พิทักษ์นักบุญหญิง

โชคดีที่ถูกปากลิลี่

(* เพมมิแคน — Pemmican อาหารแปรรูป โดยมากเป็นเนื้อตากแห้งบดอัดแท่ง นิยมใช้เป็นอาหารพกพาของนักปีนเขาหรือนักสำรวจ)

ส่วนเอ็ดเวิร์ด

「เจ้าไม่มีเหล้ารัมหรือ? 」

เอาแต่พูดอะไรแปลกๆ อยู่คนเดียว ฉันก็เลยไม่ใส่ใจ

ภูตวิญญาณต้องกินอะไรด้วยหรือไง?

วันรุ่งขึ้น พวกเราออกจากหุบเขา และข้ามมายังยอดเขาอีกลูกด้วยไบฟรอสต์

หัวใจฉันเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง

ทะเลทรายที่กำลังสั่นไหวจากระยะไกล และเนินลาดเอียงที่เป็นทุ่งหญ้า

ฉันนำกล้องส่องทางไกลขนาดพกพาที่ได้รับจากจินซอยอนออกมาใช้ ช่วยให้เห็นรายละเอียดของทิวทัศน์ทะเลทรายชัดเจนขึ้น

ทรายยกตัวสูงเหมือนคลื่นทะเล จากนั้นก็กระทบกับพื้นจนเม็ดทรายโปรยปราย

“ไปกันเถอะ”

พอได้เห็นด้วยกล้องส่องทางไกล ความอยากรู้อยากเห็นก็ยิ่งทวีคูณ

พวกเราขี่หลังเรลิกซิน่าวิ่งไปทางทิศตะวันออก ซึ่งมีลักษณะเป็นสันเขาลาดลง

ระหว่างกำลังวิ่ง ฉันเห็นม่านโปร่งแสงจากไกลๆ

เป็นเยื่อสีใสที่ถ้าไม่เข้าไปดูใกล้ๆ ก็ยากที่จะมองเห็น หากไม่ระวังก็คงวิ่งชนเต็มแรง

พวกเราหยุดม้าก่อนจะถึงม่าน

“…ม่านนี่มัน”

ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่แบ่งแยกทวีปออกเป็นหลายเขต

‘กำแพง’ อันเกิดจากพลังเวทที่เอ่อล้นจากใต้ดิน

แตกต่างจากกำแพงแรกที่พวกเราเคยพบ

ที่นั่นจะอลังการกว่านี้ เป็นแก๊สหลอนประสาทที่พุ่งขึ้นจากรอยแยกขนาดมหึมา — กว้างจนลูกธนูเชือกเกือบยาวไม่พอข้าม

แต่สิ่งที่กำลังขวางทางพวกเรา เป็นกำแพงที่บางเฉียบพอๆ กับกระดาษหนึ่งแผ่น

เมื่อมองลงไปที่พื้น รอยแยกบนพื้นมีขนาดเล็กมากจนยากจะสังเกต

ฉันเข้าใจเหตุผลได้ทันที

“…ทรายไหลลงไปอุดรอยแยก”

มหาสมุทรทราย

ทะเลแห่งความตายอันกว้างใหญ่ไพศาล ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตาอยู่เบื้องหน้าพวกเรา

ฉันหันกลับมาสนใจกำแพงอีกครั้ง

โดยปรกติแล้ว กำแพงมักทำจากแก๊สหรือพลังงาน นั่นเพราะเป็นสิ่งพบได้ง่ายในใต้ดิน

แต่ที่นี่คือต่างโลก หลายๆ เรื่องมักไม่เป็นไปตามสามัญสำนึก

กำแพงตรงหน้าพวกเราดูคล้ายกับแก้วแผ่นบางเฉียบ สูงราวหนึ่งร้อยเมตรหรือใกล้เคียง กว้างจนมองไม่เห็นขอบเขตทั้งซ้ายและขวา

“…”

ฉันวางมือลงอย่างระมัดระวัง

สัมผัสได้ถึงความร้อน

ความร้อนจากทะเลทรายฝั่งตรงข้ามคงทำให้กำแพงแก้วมีอุณหภูมิสูงขึ้น

ฉันหยิบโคลด์ฟอเรสต์*ออกมาฟันเต็มแรง

(*ไอ้มีดเนี่ย ต้นฉบับแทบจะเขียนสลับ ‘โคลด์ฟรอสต์’ กับ ‘โคลด์ฟอเรสต์’ ทุกครั้งที่ออกมา ผมก็ไม่รู้ว่าอันไหนคือชื่อที่ถูก อันไหนคือเขียนผิด ดังนั้นจะเขียนตามต้นฉบับทุกครั้ง ถ้าเห็นเปลี่ยนไปมาได้โปรดเข้าใจ)

แกร่ก—!

เสียงแหลมๆ ดังขึ้น แต่กลับไม่มีรอยขีดข่วน

“…กำแพงปิดกั้นสัมบูรณ์”

ลิลี่พยักหน้าราวกับเข้าใจคำพูดของฉัน

‘กำแพงปิดกั้นสัมบูรณ์’ คือชื่อที่ฉันตั้งขึ้นเอง

หมายถึงกำแพงที่ทรงพลังเป็นพิเศษในหมู่กำแพง สามารถตัดขาดการแลกเปลี่ยนระหว่างสองพื้นที่โดยสมบูรณ์

“ฉันเคยเจอบ่อยสมัยที่ต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด”

เจ้านี่คือตัวปัญหาที่น่ารำคาญ เนื่องจากแทบจะหมดสิทธิ์ฝ่าเข้าไป ฉันจึงตั้งชื่อว่า ‘ปิดกั้นสัมบูรณ์’

แต่สำหรับฉันในตอนนี้ มันไม่มีผลอะไร

ทันใดนั้น

ห่างออกไปจากจุดที่พวกเราอยู่หลายร้อยเมตร

ฉันเห็นกลุ่มคนมากกว่าสิบ พยายามใช้ค้อนทุบกำแพงจากฝั่งด้านในทะเลทราย

* * *

เบดูอิน

เผ่าพันธุ์ที่เกิดในทะเลทราย

ใช้ชีวิตบนทรายตั้งแต่เกิดจนตาย

วิถีชีวิตเต็มไปด้วยความลำบาก ทะเลทรายคือดินแดนอันแห้งแล้งที่ไม่มีทางหาสิ่งตอบสนองได้ครบครัน ไม่ว่าจะอยู่มุมใดก็ตาม

ดังนั้น ชาวเบดูอินจึงพึ่งพาการแลกเปลี่ยนอย่างมาก นำสิ่งที่ตัวเองมีเหลือเฟือ ไปแลกกับสิ่งที่ยังขาด

ความยากลำบากเช่นนี้ทำให้ชนเผ่าเบดูอินนิยมทำธุรกิจสมาคมการค้า

และปัจจุบัน สมาคมการค้าหนึ่งของเผ่าเบดูอิน เพิ่งถูกกลุ่มโจรโจมตีจนต้องสละเรือหนี

โชคดีที่พื้นทรายใต้ฝ่าเท้า เป็นทรายชนิดที่ไม่ต้องพึ่งพาเรือ สามารถยืนสองขาได้โดยไม่จมลงไป

แต่นั่นก็ไม่ทำให้ปัญหาจบลง

“ท…ท่านหัวหน้าสมาคม!”

เบดูอินหนุ่มคนหนึ่งไถลลงจากภูเขาทรายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด อนุภาคฝุ่นทรายฟุ้งกระจายกลายเป็นหมอก

โชคดีที่ด้านหลังมีภูเขาทรายขนาดใหญ่ จึงสามารถซ่อนตัวจากสายตาผู้ไล่ล่าได้ชั่วคราว

“พวกโจรเข้ามาใกล้แล้ว!”

แต่ก็เท่านั้น บนมหาสมุทรทราย ไม่มีทางที่การเดินเท้าจะหนีพ้นจากเงื้อมมือผู้ไล่ล่าที่มีเรือ

ยิ่งมีรอยเท้าสลักไว้บนผิวทรายตลอดทางด้วยแล้ว

ดวงตาของหัวหน้าสมาคมสั่นเทาทันที

ด้วยสายตาขุ่นเคือง เขาหันหลังกลับไปมองกำแพงขนาดมหึมาที่ขัดขวางการหลบหนี

กำแพงมีลักษณะเป็นบานกระจกยักษ์ แต่สร้างจากวัสดุชนิดใดไม่มีใครทราบ

ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ บานกระจกจะไม่ถูกทำลายในทุกกรณี

หัวหน้าสมาคมทราบดีว่ากำแพงชนิดนี้ไม่มีวันพัง แต่สมาชิกคนอื่นกลับยังคงใช้ค้อนและเครื่องมือทุบอย่างเอาเป็นเอาตาย

เพราะพวกเขาไม่มีความหวังอื่นใดนอกจากการทำแบบนี้

ซ่า!

เสียงที่ไม่อยากได้ยินดังขึ้น

เสียงกระดานโต้คลื่นที่กลุ่มโจรใช้ร่อนผ่านทราย

เพียงไม่นาน โจรกลุ่มใหญ่โผล่ขึ้นเหนือภูเขาทรายสูงในท่าคล้ายกับกำลังบิน

“คิฮี่ฮี่ฮี่ฮี่!”

พวกมันคือมนุษย์ปลาที่โพกหัวด้วยผ้า มือที่มีพังผืดกำลังถือดาบ ขี่กระดานโต้คลื่นไถลลงจากภูเขาทรายอย่างรวดเร็ว

“คี่คี่คี่คี่”

เนื่องจากอีกฝั่งเป็นกำแพง สมาคมการค้าจึงหมดทางหนี

ร่างกายทุกคนกำลังสั่นเทาประหนึ่งหนูที่ถูกต้อนจนมุม

กลุ่มผู้ไล่ล่ากระโดดลงจากกระดานพลางแลบลิ้นปลิ้นตาด้วยความสะใจ

แต่ยังไม่มีใครลงมือโจมตี

เพราะยังไม่มีคำสั่งจากหัวหน้า

“ฮี่ฮี่ฮี่! นังนั่นสวยมาก! พวกเบดูอินนี่รักสะอาดจริงๆ!”

“ช่วยด้วย… ช่วยด้วย…”

มนุษย์ปลาแลบลิ้นพลางเดินเข้าไปใกล้เบดูอินหญิงคนหนึ่ง

ทันใดนั้น

เพี้ยะ!

เธอตบหน้ามนุษย์ปลา

เป็นเวลาเดียวกับที่มนุษย์ปลาร่างยักษ์กล้ามโตเดินเข้ามา

มันคือหัวหน้ากลุ่มโจร

“…มัดแขนขาพวกมันไว้ ถ้าใครขัดขืนก็ฆ่าทิ้งให้หมด”

ขณะกลุ่มมนุษย์ปลากำลังเข้าใกล้ชาวเบดูอินพร้อมกับเชือกในมือ

“——”

ซู่ว—!

ทันใดนั้น กำแพงด้านหลังเริ่มแยกตัวออก

กำแพงที่ไม่มีวันถูกทำลาย หรือไม่แม้แต่จะเกิดรอยขีดข่วน ปัจจุบันกำลังแยกตัวซ้ายขวา

เสียงกรีดร้องอันหวาดกลัว และเสียงหัวเราะชอบใจของกลุ่มโจรหยุดลงทันที

แม้จะเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ แต่ก็ทำลายสามัญสำนึกของพวกมันโดยสิ้นเชิง

กึก! กึก! กึก!

สิ่งที่โผล่ออกจากรอยแยก คือมนุษย์ผมดำที่สวมแจ็กเกตหนังคุณภาพดี และแวมไพร์สาวที่สวมหมวกปีกกว้าง

“…”

“…”

โดยพร้อมเพรียง ชาวทะเลทรายกว่าสามสิบคน ต่างหันไปจ้องมนุษย์ที่ข้ามกำแพงซึ่งไม่ควรมีใครข้ามได้

ทันทีที่มนุษย์เดินผ่านเข้ามา กำแพงสมานตัวเองอีกครั้ง

“อ้อ… ถ้ามองจากด้านในจะเห็นเป็นกระจกเงาสินะ… เหมือนกับหน้าต่างในห้องสอบปากคำ”

“หน้าต่างห้องสอบปากคำ?”

“นิยมใช้ในหมู่บ้านของฉัน ถ้ามองจากด้านหนึ่งจะโปร่งแสง แต่ถ้ามองจากอีกฝั่งจะเป็นกระจกเงา”

“ผลิตของแบบนั้นได้ด้วยหรือ”

ประหนึ่งว่าความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในทะเลทรายเมื่อสักครู่ มิได้ทำให้หนึ่งมนุษย์หนึ่งแวมไพร์สะทกสะท้าน เพียงแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับกำแพงด้วยท่าทางผ่อนคลาย

“…ก้อนเนื้อสองก้อน”

เหงือกของหัวหน้าโจรกล้ามโตกำลังกระพือ แม้สีหน้าจะแทบไม่เปลี่ยน แต่ลูกน้องอ่านออกทันทีว่ามันกำลังโกรธ

พวกมันจึงรีบก้าวถอยหลัง เพื่อเปิดทางให้หัวหน้าของตนได้แสดงพลัง

“พวกมันกำลังทำอะไร?”

“ใครจะไปรู้ล่ะ”

มนุษย์กับแวมไพร์ยังคงทำตัวประหนึ่งภัยคุกคามจากมนุษย์ปลาไม่ใช่เรื่องใหญ่

“ลิลี่ ดูเหมือนว่าแถวนี้ยังไม่ต้องใช้เรือก็ได้ นึกว่าจะจมลงทันทีที่ย่ำเท้าเสียอีก”

“ก็ปรกติอยู่แล้วนี่ มันไม่ใช่น้ำ แต่เป็นทราย”

เหงือกของหัวหน้าโจรเริ่มมีไอน้ำผุดขึ้น

“เฮ้ย! ไอ้พวกก้อนเนื้อ! รู้ไหมว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ต่อหน้าใคร?”

“หืม…? สงสัยจะจริงที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามนุษย์เคยเป็นปลามาก่อน”

“…ข้าคือราชาแห่งบ่อนรกฝั่งตะวันตกของทะเลทราย! นักล่าทาส บาร์ลู·กาซุน! ชายที่จะกลายเป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งทะเลทราย!”

ไอน้ำแผ่ออกจากเหงือกมากขึ้น ดูเหมือนมันกำลังโกรธจัด

ดาบเล่มยักษ์ถูกชักออกมาถือ

ขณะย่างกรายเข้าหามนุษย์ ดาบที่มีน้ำหนักมหาศาลถูกควงเล่นราวกับขนนก

“ข้าจะควักไส้ของเจ้าจนกว่าท้องจะว่างเปล่า!!”

มนุษย์ทำเพียงมองตอบ

“ข้าจะทำให้ใบหน้าอวดดีนั่นเปล่งคำร้องขอชีวิต…”

ทันใดนั้น

ทุกคนเห็นเต็มสองตา สองมือของมนุษย์ที่ห้อยสบายๆ ในตอนแรก เริ่มขยับอย่างรวดเร็วในจังหวะที่มนุษย์ปลาพุ่งเข้าใส่

จากนั้น คำพูดที่ไม่มีใครเข้าใจถูกเปล่งออกจากปาก

“โมซัมบิก ดริลล์ Mozambique Drill*”

ปัง—!

เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับเปลวไฟที่พวยพุ่ง จากนั้นมนุษย์ปลายักษ์ก็ล้มลง

เหล่ามนุษย์ปลาไม่เข้าใจสิ่งที่มนุษย์ทำลงไปแม้แต่น้อย

อีกฝ่ายกำลังถือบางสิ่งคล้ายโลหะในมือ ในปากมีควันลอยออกมา

พวกมันรู้จักจอมเวทที่ใช้ภาษารูนอยู่บ้าง

แต่ไม่เคยมีใครได้ยินภาษารูนที่ทรงพลังระดับนี้ แถมยังสามารถใช้งานในพริบตา

มนุษย์ที่อยู่ตรงหน้า คือจอมเวทที่ฟื้นฟูภาษาโบราณได้สำเร็จ?

แวมไพร์มองหน้ามนุษย์ พลางพึมพำด้วยภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ

“…นั่นไม่ใช่ภาษารูนสินะ?”

“หึ…”

(*โมซัมบิก ดริลล์ Mozambique Drill — เทคนิคการยิงปืนพกที่เน้นล้มคนตัวใหญ่ เป็นการยิงหน้าอกสองนัดและหัวหนึ่งนัด)

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (2/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด