Ep.357 - แผนจุดไฟจากก้นหม้อ
3/3
Ep.357 - แผนจุดไฟจากก้นหม้อ
การรุกรานของชาวต่างถิ่นเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก
เพราะท้ายที่สุดแล้วเมืองหุบเขาเดียวดายคือดินแดนแห่งเดียวของมนุษย์ในแคว้นเดียวดาย!
หากพลาดท่า คนในที่นี้กว่า 2000 คน ทั้งหมดไม่กลายเป็นคนไร้บ้านหรอกหรือ?
อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเหล่าผู้นำในที่นี้มิได้มอดดับ
เพราะในช่วงหลายวันมานี้ นอกจากจำนวนมนุษย์ที่ขยายตัวขึ้นทุกวันแล้ว จำนวนสมุนทหารในเมืองเองก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ตอนนี้มีทหารอยู่แล้วประมาณ 1,600 นาย!
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
เมืองหุบเขาเดียวดายในปัจจุบัน
มีพลรบที่พร้อมสู้ศึกเกือบ 4000 นาย!
ขณะที่จากรายงานสถานการณ์ของศัตรูจากหน่วยสอดแนม
ก็อบลินหมีได้ส่งทหารมาทั้งหมดเพียง 1500 นายเท่านั้น
สำหรับขุนนางเล็ก จำนวนเท่านี้ไม่ถือว่าน้อยก็จริง ทว่าหากคิดใช้มันทำลายเมืองหุบเขาเดียวดาย นั่นยังไมเพียงพอ!
ฉูเทียนหัวกล่าวเสียงขรึม “แม้ศัตรูจะประเมินพลังรบของพวกเราต่ำไป แต่พวกเราห้ามประมาท พวกเรามีแค่เมืองหุบเขาเดียวดายแห่งเดียวเท่านั้น เพราะงั้นต้องทำให้ดีที่สุด! เชิญรับฟังกลยุทธ์จากท่านขุนนาง!”
ฮังอวี่กำลังตรวจสอบข้อมูลโดยละเอียดที่ได้เพิ่มเติมมาจากเย่กู่ เย่โน่ เมื่อสายตาของทุกคนจับจ้องมาที่เขา เจ้าตัวพยักหน้าทันที บอกให้มนุษย์จิ้งจอกทั้งสองตัวออกไป จากนั้นกล่าวว่า
“เหล่าฉูพูดถูก”
“สิงโตเวลาสู้กับกระต่ายมันก็ยังทุ่มสุดตัว”
“ดังนั้นพวกเราจะไม่ประมาทการต่อสู้ครั้งนี้”
“จากข้อมูลที่ผมได้มา ขบวนทัพของเมืองทรายดำประกอบไปด้วยทหารโล่ยักษ์ 600 นาย , ทหารขว้างอาวุธ 500 นาย ,ทหารรักษา 300 นาย , ทหารเทคนิคลับ 200 นาย”
ข่าวกรองแม่นยำถึงขนาดนี้เชียว?
คนอื่นๆรู้สึกโล่งใจมากเมื่อได้ยินแบบนี้
กองทหารในปัจจุบันของเมืองหุบเขาเดียวดายคือ : ทหารราบ , ทหารธนู และทหารจอมเวทย์อย่างละ 400 นาย
ทหารรักษา 300 นาย , ทหารสอดแนมของมนุษย์จิ้งจอก 100 นาย จำนวนรวมแล้วประมาณ 1600
ในแง่ของปริมาณ
ถือว่าใกล้เคียงกับขบวนทัพของก็อบลินหมี
อย่างไรก็ตาม หากเกิดการเผชิญหน้าขั้นแตกหัก ด้วยจำนวนทหารราบที่น้อยกว่า กองทัพมนุษย์จะถือว่าเสียเปรียบ
ยังไงก็ตาม ที่กล่าวมาคือในกรณีประจัญบานกันกลางสนามรบเท่านั้น
ขณะที่ครั้งนี้เมืองหุบเขาเดียวดายเป็นฝ่ายตั้งรับ ดังนั้นด้วยทหารธนู ทหารจอมเวทย์ และทหารรักษา ทั้งหมดนี้ก็มากพอแล้วที่จะใช้ปกป้องกำแพงเมืองและทางเข้าออกของเมือง!
ทหารราบน่ะแค่ 400 นายก็เพียงพอแล้ว
สถานการณ์ตอนนี้ทหารธนู จอมเวทย์ หรือพวกโจมตีระยะไกลมีประโยชน์กว่ามาก เมื่อบวกกับกองกำลังมนุษย์ที่ร่วมสู้อีก 2000 คน การปกป้องเมืองหุบเขาเดียวดายก็ไม่เห็นต้องกังล
ฮังอวี่กล่าวว่า “อย่างแรกที่ต้องระวังก็คือ แม้กองกำลังของศัตรูกับเราจะใกล้เคียงกัน แต่เมืองทรายคือดินแดนที่มั่นคงซึ่งถูกครอบครองมาต่อเนื่องยาวนานอย่างน้อยหลักร้อยปี ทหารเมืองทรายดำคงได้รับการเสริมพลังมาไม่มากก็น้อย ดังนั้นในแง่พลังรบพวกมันถือว่าแข็งแกร่งกว่าพวกเรา”
ประเด็นเรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจอะไร
เมืองต่างๆมีแผ่นศิลาที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่ออัพเกรดอุปกรณ์และเลเวลของทหาร
ตราบใดที่เราเต็มใจที่จะลงทุนในทรัพยากรมากขึ้น ก็สามารถปรับปรุงคุณภาพของยุทโธปกรณ์ทางทหาร หรือแม้แต่อัพเลเวลทหารได้
ขณะที่เมืองหุบเขาเดียวดายในยุคของมนุษย์จิ้งจอก สาเหตุหลักที่พวกมันไม่ได้อัพเกรดทหาร เพราะแค่สร้างทหารก็เปลืองทรัพยากรมากพอแล้ว เมื่อต้องจ่ายส่วยอีก ทำให้ไม่สามารถลงทุนเพิ่มได้
ขณะที่เมืองทรายดำตั้งรกรากอย่างมั่นคงมาหลายปี
มรดกและพลังรบของพวกมันย่อมแข็งแกร่งกว่าเมืองหุบเขาเดียวดายราวๆ 2 3 เท่าเป็นธรรมดา
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องการอัพเกรดทหารที่ช่วยให้ทรงพลังยิ่งขึ้น แต่พวกมันยังมีการอัพเกรดอุปกรณ์สีขาวขุ่นของทหารให้กลายเป็นสีขาวใสอีกเช่นกัน
ฮังอวี่กล่าวต่อว่า “อย่างที่สองก็คือ พลังแขนของทหารก็อบลินหมี แม้ความว่องไวของพวกมันจะเชื่องช้า แต่เป็นประเภทหนังหนาเนื้อหยาบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารโล่ยักษ์ เท่าที่ผมรู้ มันคือหนึ่งในทหารระดับต่ำที่มีพลังป้องกัน ค่าร่างกาย และพลังชีวิตโดดเด่นที่สุด!”
“ที่พวกมันส่งทหารโล่ยักษ์ 600 นายมาโจมตีเมือง เพราะนั่นคิดว่ามากพอแล้วที่จะต้านทานการโจมตีของพวกเราจากกำแพงเมือง ถ่วงเวลาให้กองทัพข้างหลังทำลายเขตแดนป้องกันและประตูเมือง”
“เมื่อก็อบลินหมีบุกเข้าเมืองได้ ความได้เปรียบในการป้องกันของพวกเราจะหมดไป ต่อให้สุดท้ายได้รับชัยชนะ แต่คงหลีกเลี่ยงราคามหาศาลที่ต้องจ่ายไม่ได้”
ความฮึกเหิมของทุกคนเริ่มมอดดับลง
สมุนทหารแต่ละนายกว่าจะได้มาไม่ใช่ง่ายๆ พวกเขาต้องทุ่มทรัพยากรไปมากมาย
ถ้าพวกมันถูกฆ่า จะไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้ จำเป็นต้องลงทุนจ่ายทรัพยากรและหินคริสตัลเพื่อสร้างใหม่
ซึ่งนอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังนำมาซึ่งการสูญเสียมากมาย
ลุคขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “เรื่องนี้พวกเราไม่ทันคิดเหมือนกัน ฮัง นายว่าพวกเราควรทำยังไงถึงจะลดการสูญเสียได้?”
ฮังอวี่กล่าวว่า “ถึงทหารก็อบลินหมีจะมีเลือดหนา พลังป้องกันและพลังโจมตีสูง ยากต่อการจัดการ แต่ก็มีจุดอ่อนร้ายแรงเช่นกัน นั่นคือค่าคุณสมบัติจิตรับรู้ของพวกมันต่ำมาก ในขณะที่พวกเราทุกคนต่างรู้ดี ว่าถ้าจิตรับรู้ต่ำ จะไม่สามารถตรวจจับเป้าหมายหรือกับดักที่ซ่อนอยู่ได้ และนั่นทำให้ความรู้สึกต่ออันตรายในบริเวณใกล้เคียงลดน้อยลงเช่นกัน”
พูดถึงจุดนี้
เจียงหนานกับเสี่ยวไป๋ สองสาวงามก็กางแผนที่ออก
ฮังอวี่เดินไปหน้าแผนที่แล้วชี้ลงไป “เมืองหุบเขาเดียวดายตั้งอยู่ในโซนหุบเขา พื้นที่ด้านหน้าลึก ด้านหลังยาว ช่องว่างทางซ้ายและขวาค่อนข้างแคบ ฉะนั้นเมื่อทหารก็อบลินหมีเข้ามาในพื้นที่หุบเขา พวกมันจะสามารถบุกได้จากทางข้างหน้าและข้างหลังเท่านั้น”
“นอกจากนี้ เมืองทรายดำยังส่งกำลังพลมาเพียง 1500 นาย การทำเช่นนี้เพื่อเปิดฉากโจมตีเมืองหุบเขาเดียวดาย เห็นได้ชัดว่าประเมินพลังรบของพวกเราต่ำไป”
“พวกเราสามารถใช้ประโยชน์จากความงี่เง่าของศัตรูได้ ดังนั้นเราจะซุ่มโจมตีกองทัพที่อยู่ด้านนอกก่อน”
“หลังจากพวกก็อบลินหมีเข้ามาในโซนหุบเขาและโจมตีเมืองหุบเขาเดียวดาย ทหารโล่ยักษ์ของพวกมันจะต้องอยู่แนวหน้า ขณะที่ทหารรักษาและทหารขว้างอาวุธที่อ่อนแออยู่แนวหลัง”
“ผมจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ นำทหารราบและหน่วยสอดแนมมนุษย์จิ้งจอกออกไปลอบโจมตีพวกก็อบลินหมีที่อ่อนแอ กวาดล้างพลรักษาและพลขว้างในคราวเดียว”
ลอบตีจากข้างหลัง
กลยุทธ์นี้เรียบง่ายแต่ใช้ได้จริง
ฉูเทียนหัว จ้าวหมิง พยักหน้าซ้ำๆขณะฟัง
หากทหารรักษาและขว้างอาวุธจากเมืองทรายดำถูกสังหารลงทั้งหมด พวกมันจะสามารถโจมตีเมืองหุบเขาเดียวดายต่อไปได้อย่างไร? อีกทั้งการจู่โจมจากด้านหลัง เกรงว่าจะสร้างความโกลาหลได้ไม่น้อย
และถึงเวลานั้น เมืองหุบเขาเดียวดายอาจเปิดประตูเมือง ส่งกองกำลังมนุษย์และทหารราบออกไป ใช้ประโยชน์จากความสับสนของก็อบลินหมี โจมตีขนาบทั้งหน้าและหลัง กวาดล้างพวกมันให้เหี้ยน!
สำหรับเมืองหุบเขาเดียวดาย
คืนนี้มีโอกาสชนะสูงมาก
แต่คำถามก็คือ ต้องใช้วิธีไหนถึงจะชนะ ต้องใช้วิธีไหนถึงจะก่อให้เกิดผลกำไรสูงสุด
ความต้องการในระยะยาวของมนุษย์ในเมืองหุบเขาเดียวดายคือการขยายดินแดน
เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์นี้ การขับไล่ศัตรูอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากล้างบางกองทัพศัตรูได้จะให้ผลดีมากกว่า!
ทำลายพลังรบของคู่ต่อสู้ สั่นคลอนรากฐานเมืองทรายดำเพื่อเตรียมเข้ายึด
หากทหารทั้ง 1500 นายถูกทำลายที่นี่
นั่นนับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับขุนนางเมืองทรายดำ
และกว่าจะสร้างทหารใหม่มาทดแทนได้ อาจใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือน ส่งผลต่อกำลังพลเมืองทรายดำในช่วงเวลาสั้นๆอย่างแน่นอน
“ที่พวกเราต้องโฟกัสในการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่การป้องกันแต่เน้นไปที่การรุก เป้าหมายของเราไม่ใช่การทำให้ศัตรูล่าถอยแต่คือทำลายล้าง!” ฉูเทียนหัวกล่าว “ฉันคิดว่าแผนการนี้ดีมาก และมีโอกาสสำเร็จสูงมากเช่นกัน”
จ้าวหมิงเอ่ยถาม “พวกคุณมีข้อสงสัยอื่นๆหรือเปล่า?”
หลังจากคุยกันได้สักพัก
ผู้นำคนหนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า “ฉันมี คือว่านะบอสฮัง ถ้า .... ถ้าพวกเราสูญเสียทหารในสนามรบล่ะจะทำยังไง?”
ฮังอวี่เดาไว้แล้วว่าคงมีคนถามเรื่องนี้
“หลังจบศึกพวกเราจะได้สินสงครามจำนวนมาก และนั่นจะถูกแจกจ่ายให้ทุกคนเพื่อสร้างทหารที่เสียไปขึ้นใหม่ ในเมื่อทุกคนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยปกป้องเมืองหุบเขาเดียวดาย ฉะนั้นผมจะไม่ยอมปล่อยให้พวกคุณต้องลำบาก!”
ผู้นำทีมหลายคนโล่งอก
“งั้นก็ตกลง”
“ถ้าตามนี้พวกเราไม่มีปัญหา!”
“พวกเราจะติดตามบอสฮัง ร่วมต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อเมืองหุบเขาเดียวดาย!”
คนจากสำนักกระบี่วิญญาณแห่งนิวยอร์กก็ไม่มีข้อโต้แย้งเช่นกัน
ฮังอวี่วานฉูเทียนหัว “เหล่าฉู คุณไปเตรียมทหารมนุษย์จิ้งจอกกับเย่โน่ เย่กู่ให้พร้อมออกเดินทาง”
ฉูเทียนหัวยืดอกและกล่าว “รับทราบ!”
ฮังอวี่หันไปพูดกับจ้าวหมิง “เหล่าจ้าว งานปกป้องเมืองหุบเขาเดียวดายมอบให้คุณ และขอให้เปิดใช้งานหมอกหนาด้วย มันจะช่วยคุ้มครองพวกเราได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ไม่เห็นพวกก็อบลินหมีเห็นสภาพจริงภายในเมืองของพวกเรา”
จ้าวหมิงยิ้มสดใส “ไม่ต้องกังวล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
ฝูงชนเดินออกจากวิหารหินที่ใช้จัดประชุม
ฮังอวี่เดินออกมาทีหลัง
แต่เมื่อถึงทางออก เขากลับพบว่ามีหลายคนกำลังนั่งยองๆรวมตัวกันอยู่ที่นี่
เมื่อเห็นฮังอวี่ พวกเขาลุกขึ้นทันทีแล้วกรูกันเข้ามาพร้อมยื่นไมค์ “สวัสดีบอสฮัง ฉันคือนักข่าวเฉพาะกิจจากสมาคมโลกวิญญาณ สงครามในวันนี้คือการป้องกันเมืองครั้งแรกของมนุษย์ในดินแดนโลกวิญญาณ คิดว่าในหลายๆประเทศเป็นกังวลเรื่องนี้มาก ฉันขอสัมภาษณ์คุณสั้นๆจะได้ไหม?”
ฮังอวี่ไม่ค่อยมีความอดทนสำหรับคนที่ไม่รู้จักมากนัก เขากวาดสายตามองคนเบื้องหน้า
นักข่าวจากสมาคมโลกวิญญาณหลายคนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของสัตว์ร้ายที่พร้อมจะโจมตีเข้าใส่ รู้สึกราวกับกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่ใช่คน พวกเขาเหงื่อไหล่ออกจากหน้าผาก นิ่งงันโดยไม่รู้ตัว
ฮังอวี่จากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับมามอง
เขาไม่สามารถเสียเวลาที่นี่ได้
อย่างไรก็ตาม
ในตอนนั้นเอง
จ้าวหมิงเห็นสถานการณ์ เขาเลยเดินเข้ามาตอบแทน “บอสฮังของพวกเรายุ่งมาก แล้วอีกอย่างสงครามเป็นเรื่องเร่งด่วน จะล่าช้าได้ยังไง?” ด้วยน้ำเสียงที่สดใสและไพเราะ ทำให้หลายคนสามารถเรียกสติกลับมา
เจียงหนานก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม “ฉันคือโฆษกขององค์กรมังกรคราม ถ้าพวกคุณมีคำถามอะไร เชิญถามฉันได้เลย”
จ้าวหมิงเห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมีอะไรปิดบัง
ปัจจุบันมีหลายกองกำลังที่อยากได้แสงไฟฉายเข้าหาตัวแต่ไม่มีโอกาส!
ขณะที่นี่คือโอกาสที่จะช่วยเพิ่มชื่อเสียงและความนิยมแก่องค์กรมังกรครามให้กระจายไปทั่วโลก!