บทที่ 787 เกลียด!(ตอนฟรี)
บทที่ 787 เกลียด!
ชายวัยกลางคนที่ยืนคุยกับเซียวหยูซวนมีอายุประมาณ 50 ปี เขาเป็นคนที่ไม่ได้สูงมาก น่าจะสูงประมาณ 170 เซนติเมตร เพราะเมื่อเทียบกับเซียวหยูซวนที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่ได้สูงกว่าเซียวหยูซวนด้วยซ้ำ
ชายคนนี้สวมชุดสูท และเสื้อโค้ตสีดำ รองเท้าหนังถูกขัดเป็นมันเงา แต่เพราะร่างกายที่อ้วนท้วมและมีพุงที่ใหญ่ ทำให้บุคลิกของเขาดูแย่ลงไปมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังดูเป็นผู้นำหรืออย่างน้อยก็เป็นอาจารย์หัวหน้าแผนก
ในตอนนี้ ชายวัยกลางคนกำลังพูดคุยด้วยรอยยิ้มกว้าง ดวงตาของเขากวาดมองไปทั่วร่างของเซียวหยูซวนเป็นครั้งคราวอย่างแนบเนียน แต่จี้เฟิงสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกครั้งที่สายตาของชายวัยกลางคนมองไปที่เรือนร่างของเซียวหยูซวน มันจะมีความปรารถนาเล็กน้อยอยู่ในแววตาของเขา
หรือว่าผู้ชายคนนี้ก็เป็นพวกเฒ่าหัวงู?
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย
เมื่อเห็นเซียวหยูซวนมีท่าทีอึดอัด และนานๆทีก็มองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังมองหาเขาอยู่ จี้เฟิงก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขารีบก้าวไปข้างหน้าทันที
“อะแฮ่ม...”
จี้เฟิงกระแอมไอ ซึ่งเป็นการดึงดูดความสนใจของชายวัยกลางคนและเซียวหยูซวนทันที และเมื่อเห็นทั้งสองคนหันมา เขาก็ยิ้มและกล่าวว่า “อาจารย์เซียว คุณบอกว่าจะช่วยสอนการบ้านให้ผม ตอนนี้คุณพอจะมีเวลามั้ย?”
“อะไร?!”
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วและพูดอย่างเคร่งขรึม “นักศึกษา ไม่เห็นหรือว่าผู้ใหญ่กำลังคุยกันอยู่? จู่ๆ จะมาพูดแทรกแบบนี้ได้ยังไง ไม่มีมารยาทเอาซะเลย ฉันกำลังคุยธุระอยู่ เธอคิดว่าการบ้านของเธอมันสำคัญกว่าธุระของอาจารย์รึไง?!”
“ห๊ะ?”
จี้เฟิงตกตะลึง เขามองชายวัยกลางคนด้วยความประหลาดใจก่อนจะขมวดคิ้วและพูดขึ้นว่า “คุณพูดอะไรของคุณ ทำไมการบ้านของผมมันจะสำคัญกว่าธุระของคุณไม่ได้?”
“นี่! นักศึกษา! ระวังน้ำเสียงด้วย ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอนะ!” ใบหน้าของชายวัยกลางคนมืดครึ้มลงอย่างกะทันหัน เขาหายใจแรงขึ้นเล็กน้อยและพูดอย่างเย็นชา “รีบไปให้ไกลๆเลย แล้วคราวนี้ฉันจะยังไม่ถือสาอะไร ไม่อย่างนั้นละก็... ฮึ่ม!”
“รีบไปไกลๆเลย ไม่อย่างนั้นละก็...” จี้เฟิงทำเสียงล้อเลียน แต่ในใจเขารู้สึกโกรธมาก เขายิ้มเยาะและกล่าวว่า “นี่ลุง! บอกว่าตัวเองเป็นผู้นำ แต่มาทำตัวไร้ยางอายแบบนี้มันใช้ได้เหรอครับ?”
“ไอ้เด็กเวร! แกพูดว่าไงนะ?” ชายวัยกลางคนสบถด่าออกมาทันทีเมื่อได้ยินจี้เฟิงที่เป็นแค่นักศึกษาพูดกับเขาแบบนั้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธ เขาจ้องมองไปที่จี้เฟิงและกัดฟัน “ถ้าเธอเก่งกล้ามากพอ ก็ลองพูดแบบเมื่อกี้นี้อีกครั้งสิ!”
“จะให้พูดสามครั้งสี่ครั้งก็ไม่มีปัญหา ฟังให้ดีนะ ฉันบอกว่า เป็นผู้นำแต่มาทำตัวไร้ยางอายแบบนี้มันใช้ได้เหรอ? คนที่ควรจะไปไกลๆน่าจะเป็นลุงมากกว่านะ!” จี้เฟิงเหยียดริมฝีปากและพูดอย่างดูถูก “ขอถามหน่อยนะ เงินเดือนที่ได้อยู่ทุกเดือนๆ เสื้อผ้าที่ใส่ บ้านที่เอาไว้ซุกหัวนอน... เอามาจากไหนเหรอ? ไม่ใช่ว่าได้มาจากค่าเทอมของนักเรียนรึไง? กล้าดียังไงมาบอกว่าธุระของคุณสำคัญกว่าของนักเรียน ต้องหน้าด้านไร้ยางอายขนาดไหนถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมา? สงสัยการศึกษาที่เรียนมาจะคืนสถาบันเก่าไปหมดแล้ว!”
ปกติแล้ว ด้วยนิสัยของจี้เฟิง เวลาที่พบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ เขามักจะยิ้มบางๆและไม่สนใจมัน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่เขาได้พบกับเหอหงเหว่ยและโจวเฟยเฟยที่โรงแรมเหวยเซียงจูบนถนนจินหลิงเมื่อไม่นานมานี้ และได้พบกับครูผู้หญิงที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ความคิดของจี้เฟิงก็เปลี่ยนไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นท่าทางที่น่ารังเกียจและน่าขยะแขยงของผู้หญิงคนนั้น จี้เฟิงกัดฟันด้วยความรู้สึกเกลียดชัง และไม่เข้าใจว่าคนประเภทนี้มาเป็นครูได้อย่างไร!
จากนั้นก็ได้ยินเรื่องที่กลุ่มนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากประเทศเจี๋ยเผิงกำลังมา แล้วทางมหาวิทยาลัยก็เริ่มออกประกาศจำกัดสิ่งนั้นสิ่งนี้ ออกกฎระเบียบต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้แก่กลุ่มนักศึกษาเจี๋ยเผิง พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่จี้เฟิงรังเกียจอย่างยิ่ง และตอนนี้ เขาได้เห็นครูอาจารย์หรือไม่ก็ผู้นำสักตำแหน่งหนึ่งในสถาบันศึกษาพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ความโกรธในหัวใจของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน และแทบจะไม่สามารถควบคุมมันได้
คนพวกนี้เติบโตมาโดยการกินขี้เป็นอาหาร สมองถึงไม่ได้รับการพัฒนา!
“สมองคงมีแต่ขยะ ถึงได้คิดอะไรแบบนี้!” จี้เฟิงชี้ไปที่ชายวัยกลางคนและยิ้มอย่างเหยียดหยัน “ตอนนี้ออกไปให้พ้นหน้าฉันได้แล้ว อย่าให้ฉันเห็นหน้าคุณอีก รำคาญลูกตา!”
“จี้เฟิง! หยุดพูดเดี๋ยวนี้!” เซียวหยูซวนตกใจมาก เธอรีบห้ามจี้เฟิงทันที อะไรทำให้จี้เฟิงหงุดหงิดได้ขนาดนี้?
เธอรีบกล่าวขอโทษชายวัยกลางคน “อาจารย์เกา อย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะคะ เขายังเด็ก ยังไม่รู้อะไรควรพูดไม่ควรพูด....”
เมื่อเห็นใบหน้าของชายวัยกลางคนมืดมนและน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ เซียวหยูซวนก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ดูเหมือนว่าพูดอะไรไปตอนนี้ก็ไม่อาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เธอจึงเงียบไป
“แก แก...”
ชายวัยกลางคนชี้ไปที่จี้เฟิง ริมฝีปากของเขาสั่นเทาด้วยความโกรธ “ไอ้สารเลว!”
“แม่แกสิ!”
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะด่ากลับ เขากัดฟันและพูดว่า “ฟังไว้ให้ดี ใหญ่โตกว่าคุณ ผมก็เจอมาแล้ว ผู้นำที่เพิ่งหัดทำตัวสารเลวแบบคุณน่ะเหรอ? ยังอ่อนหัดนัก!”
เขาคว้ามือเซียวหยูซวน “ไปกันเถอะ!”
“แก! หยุด!” ชายวัยกลางคนตะโกน
กึก!
จี้เฟิงหยุดชะงักทันทีและหันกลับมาจ้องมองชายวัยกลางคนด้วยสายตาที่เย็นชา “ทำไม? ยังโดนด่าไม่พอเหรอ?”
ในขณะที่จี้เฟิงหันกลับมาจ้องมอง ชายวัยกลางคนก็หยุดชะงักโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ความรู้สึกเย็นยะเยือกแทรกซึมไปจนถึงกระดูกสันหลัง จากนั้นมันก็แพร่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
การที่ถูกสายตาของจี้เฟิงจ้องมองมาอย่างเย็นชาทำให้ร่างกายของชายวัยกลางคนแข็งทื่อราวกับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง และรู้สึกเหมือนกับมีใครบางคนบีบหัวใจของเขาไว้และทำให้เขาหายใจลำบาก
การจ้องมองแบบนี้ทำให้เขาตัวสั่นเล็กน้อย และแม้แต่ความโกรธที่อยากจะระเบิดออกก็ดับลงในทันที
จี้เฟิงยกมือขึ้นและชี้ไปที่หน้าเขาจากนั้นก็ลากเซียวหยูซวนและเดินจากไป
“แฮ่ก.. แฮ่ก..” ชายวัยกลางคนมองไปที่ด้านหลังของเซียวหยูซวนและจี้เฟิงด้วยความสับสน เขารู้สึกโกรธมากจนหอบหายใจอย่างรุนแรง แต่ความกลัวที่ผุดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เขาไม่สามารถพูดอะไรได้
สายลมพัดกระโชกแรง ทำให้ชายวัยกลางคนรู้สึกขนลุกซู่และรู้สึกเย็นที่แผ่นหลัง และตอนนั้นเองเขาก็ได้รู้ว่าหลังของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่เย็นยะเยือก!
“สายตาของนักเรียนคนนี้...” ชายวัยกลางคนไม่สามารถพูดอะไรได้อีก และเขาก็รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นักที่จะยอมรับว่าเมื่อครู่นี้เขาหวาดกลัวสายตาของนักเรียนจริงๆ
“ไอ้เด็กนรก!”
ชายวัยกลางคนที่เซียวหยูซวนเรียกว่าอาจารย์เกากัดฟันและตะคอกด้วยเสียงต่ำ
เมื่อครู่นี้ที่เขาเรียกจี้เฟิงเอาไว้ เป็นเพราะเขาจะถามว่าจี้เฟิงเรียนปีไหนคณะอะไร แต่จู่ๆเขาก็รู้สึกกลัวสายตาของจี้เฟิง รู้ตัวอีกทีก็มองเห็นแผ่นหลังของจี้เฟิงและเซียวหยูซวนหายวับไปที่มุมตึกแล้ว
‘สงสัยฉันจะต้องไปถามอาจารย์เซียวทีหลังแล้วว่าไอ้เด็กนรกนี่มันเรียนอยู่ปีไหนคณะอะไร กล้าพูดจาหยาบคายดูหมิ่นอาจารย์แบบนี้ ต้องไล่ออกสถานเดียว!’ อาจารย์เกากัดฟันและพูดกับตัวเองในใจอย่างโกรธแค้น
………………..
ในเวลานี้ จี้เฟิงและเซียวหยูซวนไม่รู้ว่าอาจารย์เกาทั้งตกใจและโกรธมาก
พวกเขาสองคนกำลังเดินอยู่บนถนน เซียวหยูซวนบ่นอย่างไม่พอใจ “จี้เฟิง! วันนี้นายเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้หงุดหงิดอารมณ์เสียขนาดนั้น นายพูดจาหยาบคายและชี้หน้าใส่อาจารย์แบบนั้นไม่กลัวโดนทำโทษเหรอ?!”
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดคือพวกที่เอาเงินคนอื่นแต่ไม่ทำอะไรเลย ในฐานะครู พวกเขามีเงินเดือน แต่ก็ยังทำทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้เพื่อหาเงินให้ได้มากที่สุดจากลูกศิษย์ คนที่เป็นแพทย์ ก็พยายามหาเงินจากผู้ป่วย... ถ้าพวกเขาทำงานเพื่อแลกเงิน มันก็ไม่เท่าไหร่หรอก เพราะทุกคนต้องการเงินเพื่อดำรงชีวิต! แต่สุดท้ายพวกเขากลับไม่เคยรู้จักพอ!”
“แล้วนายไม่พอใจอะไร?” เซียวหยูซวนถาม
“ก็ไอ้พวกที่ไม่ทำอะไรเลยแม้ว่าจะหาเงินได้เพิ่มมากขึ้นแล้วยังไงล่ะ! อะไรคือความแตกต่างของคนพวกนี้กับโจร?” จี้เฟิงพูดอย่างโกรธเคือง “ไม่สิ! ฉันพูดผิดไป ไม่ใช่ไม่แตกต่าง มันต่างกันมากเลยล่ะ เพราะอย่างน้อยโจรก็ยังปล้นอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา และไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเปิดเผย แต่ไม่ใช่กับคนพวกนั้น!”
เซียวหยูซวนไม่ได้พูดอะไร เธอรับฟังจี้เฟิงอย่างเงียบๆ เพราะสิ่งที่จี้เฟิงพูดนั้นเป็นเรื่องจริง
“ลืมมันไปซะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ยิ่งพูดยิ่งอารมณ์เสีย และฉันก็เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเรื่องนี้ไม่ได้ด้วย!” จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย “ตราบใดที่ฉันไม่ต้องไปเห็นหน้ามันอีก....”
“อืม คิดมากไปก็อารมณ์เสียเปล่าๆ เอาไว้ซักวันหนึ่งเมื่อเรามีความสามารถมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ ค่อยมาปวดหัวกับมันอีกครั้ง!” เซียวหยูซวนบีบมือของจี้เฟิงและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เป็นไร!” จี้เฟิงยิ้มเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเซียวหยูซวนพยายามปลอบเขา “งั้นเราก็กลับกันเถอะ!”
เซียวหยูซวนมองจี้เฟิงด้วยหางตา “ฉันยังไม่ได้กินข้าวเลย!”
จี้เฟิงหัวเราะ “โอเคๆ ฉันก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน งั้นเราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันเถอะ!”
ระหว่างทางไปร้านอาหาร จี้เฟิงก็ถามขึ้นว่า “หยูซวน อาจารย์เกาคนเมื่อกี้เป็นใคร? ทำไมฉันไม่เคยได้ยินชื่ออาจารย์เกาอะไรนี่เลย?”
“เขาชื่อเกาต้าซง เป็นรองเลขาธิการคณะกรรมการของโรงเรียนภาษาต่างประเทศ ในมหาวิทยาลัยเขามีตำแหน่งเป็นรองอาจารย์ใหญ่ แต่ไม่ได้มีอำนาจอะไร มีแค่ชื่อประดับไว้เฉยๆเท่านั้น” เซียวหยูซวนอธิบาย
“เหอะ!” จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจ “คนแบบนี้เป็นรองอาจารย์ใหญ่ได้ด้วยเหรอ? ฉันรู้สึกได้ว่าสายตาที่เขามองเธอมันแปลกๆ ฉันว่ามันต้องคิดอะไรไม่ดีกับเธออยู่แน่ๆ ต่อจากนี้จะทำอะไรก็ระมัดระวังตัวหน่อยนะ อย่าเข้าใกล้ไอ้หมอนั่นให้มากเกินไป รู้รึเปล่า?!”
“นายพูดบ้าอะไรเนี่ย? อย่ามองทุกคนในแง่ร้ายขนาดนั้นสิ!” เซียวหยูซวนกลอกตาใส่เขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นว่า “เราคบกันมาขนาดนี้แล้ว ทำไมนายยังต้องกังวลเรื่องอะไรแบบนี้อีก?”
จี้เฟิงพ่นลมหายใจ “ไม่ใช่ว่าฉันไม่ไว้ใจหรือกังวลอะไรแบบนั้น ฉันแค่เป็นห่วงเธอ ฉันรู้ว่าเธอไม่อะไรกับใครหรอก แต่ฉันไม่ไว้ใจไอ้เกาต้าซงนั่นต่างหาก ฉันเห็นสายตาที่มันมองเธอ มันผิดปกติไม่เหมือนที่คนทั่วไปเขามองคู่สนทนาตามปกติซักนิด มันเต็มไปด้วยความปรารถนาบางอย่าง กับคนแบบนี้เราควรป้องกันตัวไว้ก่อนจะดีที่สุด!”
…จบบทที่ 787~❤️