ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 71 ดื่มและฝึกฝน
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 71 ดื่มและฝึกฝน
แปลโดย iPAT
หลี่ฉิงซานคิดกับตัวเอง ‘บางทีนี่อาจเป็นจุดแข็งที่แท้จริงของทางการ แต่มันก็สมเหตุสมผล หลังจากทั้งหมดคนอ่อนแอจะปกครองคนแข็งแกร่งได้อย่างไร? คนที่มีอำนาจก็จะพยายามหาอำนาจที่มากขึ้น หากปราศจากความแข็งแกร่ง ทางการจะปกครองคนในยุทธภพได้งั้นหรือ?’
พิจารณาจากข้อมูลที่ได้รับ ดูเหมือนผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์จะเป็นกำลังสำคัญของทางการ การเข้าร่วมกับพวกเขาจะช่วยบรรเทาปัญหาได้มาก
“ท่านหมายความว่าข้าไม่มีโอกาสงั้นหรือ?”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้!” หลังจากเรื่องราวทั้งหมด ตอนนี้ฮวงปิงหูตระหนักถึงความสามารถที่แท้จริงของหลี่ฉิงซานแล้ว
ตั้งแต่ฮวงปิงหูได้พบหลี่ฉิงซาน เด็กหนุ่มเติบโตขึ้นด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่หลี่ฉิงซานกล่าวไว้ในอดีตว่าเขาจะกลายเป็นจอมยุทธ์กำลังภายในอย่างแน่นอน เดิมทีฮวงปิงหูไม่เคยคิดจริงจังกับมันและรู้สึกว่านั่นเป็นคำพูดของเด็ก แต่ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว ตราบเท่าที่หลี่ฉิงซานยังไม่ตายระหว่างทาง เขาจะกลายเป็นจอมยุทธ์กำลังภายในอย่างแน่นอน
หลี่ฉิงซานตัดสินใจโยนเรื่องที่ยังอยู่ไกลตัวออกไปก่อน “นอกจากสุราหมักกระดูกพยัคฆ์ ตะกร้าไม้ไผ่เหล่านั้นคือสิ่งใด?”
“แน่นอนว่ามันคือโสม!” ฮวงปิงหูเปิดตะกร้าไม้ไผ่ พวกมันเต็มไปด้วยโสม
ก่อนหน้านี้เมื่อหลี่ฉิงซานใช้เงินหนึ่งพันตำลึงซื้อโสมจากคนเก็บโสม จำนวนของมันอาจยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของโสมที่บรรจุอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่ มันสมเหตุสมผลกับเสือที่พวกเขาได้รับ แต่หมู่บ้านบังเหียนม้าไม่ใช่หมู่บ้านที่เชี่ยวชาญด้านการเก็บโสม หลี่ฉิงซานสามารถได้กลิ่นเลือดจากร่างของฮวงปิงหู มันจางมากแต่มันก็สดใหม่มาก หากไม่ใช่เพราะกลิ่นเลือดที่แหลมคม เขาคงสงสัยว่าจมูกของเขาอ่อนไหวเกินไปหรือไม่หลังจากฝึกทักษะเหนือมนุษย์
ฮวงปิงหูกล่าว “เราพึ่งกำจัดเสี้ยนหนามของหมู่บ้านบังเหียนม้า โสมเหล่านี้เป็นกำไรที่ไม่คาดคิด” สุราจิตวิญญาณไม่เพียงช่วยรักษาอาการป่วยของเขาแต่มันยังทำให้ทักษะยุทธ์ของเขาก้าวหน้าไปอีกขั้น นั่นกระตุ้นธรรมชาติที่ดุร้ายและโหดเหี้ยมของเขา หลังจากหลี่ฉิงซานทำลายป้อมวายุทมิฬ ฮวงปิงหูก็นำคนของหมู่บ้านบังเหียนม้าออกไปโจมตีและทำลายหมู่บ้านราชาโสมทันที
หลี่ฉิงซานเงียบไปชั่วครู่ แม้เขาจะมีความคับข้องใจต่อหมู่บ้านราชาโสม พวกเขาก็ยังเป็นเพียงหมู่บ้านไม่ใช่รังโจรเหมือนป้อมวายุทมิฬ อย่างไรก็ตามเขาเข้าใจว่าหากหมู่บ้านราชาโสมมีความแข็งแกร่งเพียงพอ พวกเขาก็จะทำเช่นเดียวกันกับหมู่บ้านบังเหียนม้า
เมื่อความคับข้องใจพัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง มันก็ไม่สามารถแก้ไขโดยสันติ วิธีเดียวที่ทำได้คือทำทุกสิ่งเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้าม หากเขาต้องการปกป้องครอบครัวและสหาย เขาต้องฆ่าครอบครัวและสหายของผู้อื่น มีเพียงจุดยืนเท่านั้น ไม่มีดีหรือชั่ว เมื่อเขาสู่ยุทธภพแล้ว เขาก็ไม่สามารถออกไป เขาจะมีสุราให้ดื่มอย่างไม่รู้จบสิ้น ศัตรูมากมายจะเข้ามาตัดหัวเขาโดยที่เขาไม่ต้องก้าวเท้าออกไปที่ใด
“ท่านหัวหน้านักล่า โสมมีค่ามาก เหตุใดท่านไม่คิดเงินข้า?”
ฮวงปิงหูกล่าวโดยไม่ลังเล “ข้ารู้ว่าการเดินทางไปป้อมวายุทมิฬของเจ้าคุ้มค่ามาก สำหรับเรื่องเงิน แล้วแต่เจ้าจะให้”
หลี่ฉิงซานมอบตั๋วแลกเงินมูลค่าหนึ่งหมื่นตำลึงที่เขาได้รับจากป้อมวายุทมิฬให้ฮวงปิงหู ในความเป็นจริงราคาโสมควรจะสูงกว่านี้แต่เนื่องจากเป็นการซื้อในปริมาณมาก ดังนั้นมันจึงควรมีส่วนลด หลี่ฉิงซานไม่ได้หากำไรจากฮวงปิงหูแต่เขาก็ไม่ต้องการเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ฮวงปิงหูรู้สึกยินดีเช่นกัน ตราบเท่าที่เขามีเงิน ความแข็งแกร่งของหมู่บ้านบังเหียนม้าจะเพิ่มขึ้นอีกมากผ่านสูตรสุราหมักที่หลี่ฉิงซานมอบให้ “ช่วงนี้เจ้าต้องระวังตัว บางคนอาจกำลังวางแผนร้ายต่อเจ้า หากจำเป็น เจ้าสามารถเรียกข้า อย่างไรก็ตามข้ารู้สึกว่าเจ้าจะไม่แพ้”
หลี่ฉิงซานกล่าว “ขอบคุณสำหรับความห่วงใยและการมองโลกในแง่ดีของท่าน!”
เมื่อฮวงปิงหูจากไป หลี่ฉิงซานก็จมอยู่ในห้วงแห่งความคิดของเขาชั่วครู่ก่อนที่เขาจะเห็นเสี่ยวอันยื่นศีรษะออกมาจากตัวบ้านและมองเขาด้วยสายตาส่องประหาย หลี่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มขบขัน เขาต้องการปกป้องเด็กคนนี้โดยปราศจากคำถามเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของเขา
สถานการณ์ในชีวิตของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาอยู่ท่ามกลางบ่อเลือดและการฆ่าฟันอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยรู้สึกสับสนและเจ็บปวด หากเขายังเป็นคนเดิมจากชีวิตก่อนหน้า แน่นอนว่าเขาคงสูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาต้องยืนขึ้นโดยไม่แสดงความอ่อนแอออกมาขณะที่เด็กน้อยภายใต้การดูแลของเขากำลังจ้องมองมาที่เขา หากทักษะยุทธ์ทำให้เขามีความมั่นใจ ความปรารถนาที่จะปกป้องและความรับผิดชอบก็ทำให้หัวใจของเขาแข็งแกร่ง มันทำให้เขากลายเป็นบุรุษที่แท้จริง
สุราหมักกระดูกพยัคฆ์ถูกส่งมาในเวลาที่เหมาะสม โสมก็สำคัญเช่นกัน เนื่องจากสุราหมักโสมจิตวิญญาณต้องใช้เวลาหลายวันในการบ่ม นอกจากนั้นฤทธิ์ของมันก็เริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ มันไม่เหมือนหลายวันก่อนหน้าอีกต่อไป
หลี่ฉิงซานปัดเป่าความคิดฟุ้งซ่านทิ้งและเริ่มฝึกหมัดปีศาจพยัคฆ์อย่างเป็นทางการ
หมัดปีศาจพยัคฆ์มีทั้งหมดเก้าขั้น เป้าหมายปัจจุบันของหลี่ฉิงซานคือการบรรลุเพียงขั้นแรก ตามคำกล่าวของวัวดำ ตราบเท่าที่เขาบรรลุขั้นแรก เขาจะสามารถรวมมันเข้ากับหมัดปีศาจวัวและระเบิดพลังอำนาจที่แท้จริงของเคล็ดวิชานี้ออกมา
หลี่ฉิงซานจิบสุราหมักกระดูกพยัคฆ์เล็กน้อยก่อนจะเดินไปรอบๆลานบ้าน เท้าของเขาขยับเร็วขึ้นและเร็วขึ้น เพียงไม่นานร่างของเขาก็กลายเป็นพร่าเลือนขณะที่เขาเคลื่อนที่ราวกับพายุหมุนไปรอบๆ
เขาย่อยและดูดซับสุราหมักกระดูกพยัคฆ์ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงทำกระบวนการนี้ซ้ำๆ เมื่อถึงยามเที่ยง เขารู้สึกหิวมาก มันเหมือนเขาทำงานหนักเกินไปและมันกำลังทำร้ายพลังชีวิตของเขา
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ของมันชัดเจนมาก ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการเคลื่อนไหวของเขาเร็วขึ้นเล็กน้อย กระดูกของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน นั่นทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหวและระเบิดความแข็งแกร่งออกมาได้มากขึ้น เขาจะไม่พบกับความรู้สึกราวกับร่างกายใกล้แตกหักเหมือนตอนที่ปีนขึ้นภูเขาถ้ำมังกรอีกต่อไป
หลี่ฉิงซานรู้สึกมีความสุขมาก เขาเดินทางไปยังโรงเตี้ยมที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อเจ้าของร้านเห็นหลี่ฉิงซาน เขาก็รีบออกมาต้อนรับด้วยตนเอง “มือปราบหลี่ ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ เชิญเข้ามาก่อน!”
หลี่ฉิงซานไม่ลังเล เขาสั่งสุราอาหารจำนวนมากก่อนจะฝังใบหน้าลงบนโต๊ะราวกับไม่มีผู้ใดอยู่รอบๆ อย่างไรก็ตามเขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในโรงเตี้ยมมีคนถือดาบสองสามคนกำลังเฝ้าสังเกตเขาอยู่ แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหว หลี่ฉิงซานจึงไม่ได้สร้างปัญหาให้กับพวกเขา เขากินอาหารและจ่ายเงิน
“เฒ่าแก่ จัดอาหารสามมื้อในปริมาณเท่ากันนี้ส่งไปยังที่พักของข้าทุกวัน ใส่เนื้อติดกระดูกเข้าไปด้วย” เขาไม่มีเวลาและพลังงานพอที่จะออกไปล่าสัตว์ด้วยตนเอง นอกจากนั้นเขาก็เบื่อเนื้อย่างหรือเนื้อตุ๋นที่กินมานานแล้ว ตอนนี้เขามีเงิน แน่นอนว่าเขาต้องกินอาหารและดื่มสุราที่ดีขึ้น ท้ายที่สุดทักษะการทำอาหารของพ่อครัวในโรงเตี้ยมย่อมเหนือกว่าทักษะการทำอาหารแบบครึ่งๆกลางๆของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
เฒ่าแก่เจ้าของร้านรู้สึกเจ็บปวดกับการสูญเสียในวันนี้ เมื่อได้ยินคำกล่าวของหลี่ฉิงซาน เขาแทบล้มทั้งยืน “ท่านมือปราบหลี่ เราเป็นโรงเตี้ยมเล็กๆที่ทำกำไรได้เพียงเล็กน้อย!”
“หือ?”
หลี่ฉิงซานไม่ได้ใส่ใจเสียงบ่นของเฒ่าแก่มากนักแต่หัวใจของเฒ่าแก่แทบหยุดเต้นขณะที่เขาลอบสาปแช่งตัวเอง ‘โลภมากเกินไป! เหตุใดข้าจึงกล้ายั่วยุตัวอันตรายเช่นนี้เพียงเพื่อเงินเล็กๆน้อยๆ? ข้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วงั้นหรือ?’
“เจ้าคิดว่าข้าจะกินโดยไม่จ่ายเงินงั้นหรือ? นี่คือค่าใช้จ่ายล่วงหน้า!” หลี่ฉิงซานนำตั๋วแลกเงินมูลค่าหนึ่งพันตำลึงออกมาและวางลงบนโต๊ะ