ตอนที่ 30 ต่างเผ่าพันธุ์
เฉินเหิงไม่เคยคิดว่าชั้นเรียนจะจบลงแบบนี้
หลังเห็นศพตรงหน้าแล้ว เขาก็ไม่สามารถฟื้นตัวได้ไปชั่วขณะหนึ่ง
หลังจากนั้น เขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้บางอย่าง
นี่เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่
เมดอดมีชื่อเสียงมากในภูมิภาคกูตู แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ราชวงศ์ แต่พวกเขาก็เป็นหนึ่งในตระกูลระดับบนที่อยู่ต่ำกว่าเพียงราชวงศ์เท่านั้น
ชายหนุ่มคนนั้นมาจากตระกูลเมดอด และเป็นลูกชายคนสุดท้องของเคานต์ เห็นได้ชัดว่าสถานะของเขาสูงแค่ไหน และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อยแน่นอน
อย่างไรก็ตามคอร์ริโปกลับฆ่าคนแบบนี้โดยไม่ลังเลเลย
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ไร้สมอง เขามีความมั่นใจเรื่องนี้มาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาจริงจังกับเรื่องนี้
เฉินเหิงไม่รู้ว่าความมั่นใจนี้มาจากไหน ไม่ว่าจะมาจากความแข็งแกร่งอันยิ่งใหญ่ของเขาหรือจากอย่างอื่น
อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าไม่ว่ามันจะมาจากไหน แต่ตราบใดที่เขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคอร์ริโปได้ และด้วยการสนับสนุนจากเขา เขาจะสามารถลดเวลาในการตั้งตัวของเขาได้มาก
นี่เป็นโอกาสที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย
“พวกคุณกลัวกันหรือเปล่า”
คอร์ริโปมองไปที่นักเรียนที่กำลังตกตะลึงและพูดอย่างเย็นชาว่า “พวกคุณทุกคนเข้าใจที่ข้าพูดหรือเปล่า”
“ข-เข้าใจครับ…”
ข้าง ๆ เฉินเหิง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างประหม่า เมื่อมองไปที่การแสดงออกอันเย็นชาของคอร์ริโป เขาก็รีบพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนนักเรียนพวกนี้จะได้รับความหวาดกลัวอย่างมาก และนี่ก็เป็นที่เข้าใจได้
ในการเข้าสู่สถานศึกษาแห่งนี้ นักเรียนทุกคนล้วนมีภูมิหลังอันสูงส่ง
แม้จะเป็นขุนนาง แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่มีสถานะสูงกว่านักเรียนคนนั้นที่เพิ่งตายไป
ถ้าคอร์ริโปสามารถฆ่าได้แม้กระทั่งลูกหลานของตระกูลเมดอด ถ้าเขาต้องการ เขาก็สามารถฆ่าพวกเขาได้เหมือนกัน
ภัยคุกคามร้ายแรงอยู่ตรงหน้าพวกเขา ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่กลัว
“พรุ่งนี้มาตรงเวลา”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ คอร์ริโปก็พยักหน้าและยังคงท่าทางเย็นชาของเขาไว้ “คนที่ไม่มาเรียนและคนที่มาสายจะถูกประเมินว่าถอนตัวจากชั้นเรียนนี้”
ทุกคนมองหน้ากันก่อนจะจากไป
แม้แต่ครูโดก็เหมือนกัน
มีเพียงเฉินเหิงเท่านั้นที่ไม่ได้ออกไปทันที เขาเดินไปข้างหน้าและกล่าวด้วยความเคารพว่า “เจอกันพรุ่งนี้ครับคุณคอร์ริโป”
มองไปที่เฉินเหิง คอร์ริโปรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครกล้าเข้ามาหาเขาในเวลาแบบนี้
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้พูดอะไรและเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น
เฉินเหิงไม่ได้พูดอะไรต่อ
การได้รับความชื่นชอบเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างมีชั้นเชิง ความพยายามที่มากเกินไปจะส่งผลตรงกันข้าม
เป็นการดีที่สุดที่จะค่อย ๆ ทำทีละน้อย
เขาไม่ได้พูดอะไรอีกก่อนจะจากไป และในไม่ช้า เขาก็ได้พบกับครูโด
“น่ากลัวจริง ๆ”
หลังจากพาเฉินเหิงไปอีกด้านหนึ่ง และยืนยันว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ ครูโดก็ถอนหายใจออกมา “คน ๆ นั้นทำให้ฉันรู้สึกถึงอันตรายมาก ๆ…”
“เขาเป็นอัศวินที่แท้จริง” เขาพูดด้วยท่าทางจริงจัง
เมื่อมองไปที่การแสดงออกของเขา เฉินเหิงรู้สึกประหลาดใจมากและถามเป็นการทดสอบว่า “ครูโด คุณเคยเห็นอัศวินที่แท้จริงมาก่อนหรือป่าว”
“แน่นอน ฉันเคย” ครูโดพยักหน้าและพูดอย่างจริงจัง “ปู่ของฉันเป็นอัศวินที่แท้จริง”
ดวงตาของเฉินเหิงสว่างขึ้นทันที
ปู่ของครูโดเป็นอัศวินที่แท้จริง
แล้วเขาละ…
เขายืนอยู่ตรงนั้น มองดูครูโดผิวสีแทนซึ่งท่าทางดูเหมือนชาวนา แล้วคิดกับตัวเอง
“แต่ความรู้สึกที่เขามอบให้ฉันน่ากลัวกว่าปู่ของฉันหลายเท่า” ครูโดยังคงรู้สึกตกใจ “เขาเหมือนกับ… หนึ่งในอัศวินผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น…”
“อัศวินผู้ยิ่งใหญ่?”
เฉินเหิงยังคงสงบและกล่าวว่า “อย่าประหม่าเกินไป ครูโด ปู่ของคุณน่าจะค่อนข้างแก่แล้ว ขณะที่คุณคอร์ริโปยังเด็กอยู่ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกแตกต่างออกไป”
“ไม่… มันไม่ใช่แบบนั้น”
ครูโดส่ายหัว แต่เมื่อเขากำลังจะพูดต่อเขาก็หยุดไปและพาเฉินเหิงเดินไปยังที่ลับตา ดูเหมือนเขาจะประหม่า
“พูดมาสิ มาที่นี่ทำไม”
เมื่อมองดูปฏิกิริยาของครูโด เฉินเหิงยิ้มก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อ “ดูเหมือนคนอื่น ๆ จะไม่มีใครสนใจชั้นเรียนนี้”
เนื่องจากปู่ของครูโดเป็นอัศวินที่แท้จริง เขาควรได้รับการฝึกฝนอัศวินที่ดีตั้งแต่ยังเด็ก เป็นเรื่องน่าแปลกที่เขายังจะสนใจชั้นเรียนฝึกฝนเพื่อเป็นอัศวินของสถาบัน
“ตอนแรกฉันก็ไม่อยากสมัคร” ครูโดรู้สึกอายมาก “แต่เป็นเพราะพ่อของฉัน”
“ก่อนที่ฉันจะจากมา เขาบอกว่าไม่ว่าจะยังไง ฉันก็ต้องเข้าร่วมชั้นเรียนของคุณคอร์ริโป”
“เพราะแบบนั้นฉันก็เลยเข้าร่วม”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เพื่อให้ฉันได้เข้าร่วมชั้นเรียนนี้ พ่อของฉันถึงกับไปขอยืมเงินจากคนอื่น”
“ค่าเล่าเรียนของฉันทั้งหมดถูกพ่อยืมมาจากคนอื่น”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉินเหิงก็ไม่รู้จะพูดอะไรและเพียงแค่ตบไหล่ครูโด
อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินสิ่งที่ครูโดพูด เฉินเหิงก็ได้รู้ข้อมูลมากมาย
เห็นได้ชัดว่าเมื่อเปรียบเทียบกับบารอนไคเซ็น พ่อของครูโดมีข้อมูลมากกว่า ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เขายืนกรานที่จะให้ครูโดเข้าร่วมชั้นเรียนของคุณคอร์ริโป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
นี่น่าจะเป็นข้อมูลวงในที่น่าจะเชื่อถือมากที่สุด
เมื่อมองไปที่ครูโดข้างหน้าเขา เฉินเหิงก็ได้ตั้งสมมติฐานขึ้นมากมายในมาก
ดูเหมือนว่าครูโดจะมีค่ามหาศาล และเขาก็มีประโยชน์มากกว่าที่เขาคิดไว้มาก
เขาไม่เพียงแต่มีร่างกายที่ไม่ธรรมดาและน่าจะเคยได้รับการฝึกอัศวินมาก่อนแล้ว แต่เขายังสามารถทำหน้าที่เป็นช่องทางการสื่อสารกับผู้ปกครองในภาคเหนือได้อีกด้วย ปู่ของเขายังเป็นอัศวินที่แท้จริงอีกด้วย ดูเหมือนว่าทั้งครอบครัวของเขาจะไม่ธรรมดาเลย
สิ่งเดียวที่ทำให้เฉินเหิงสับสนก็คือในเมื่อครอบครัวของครูโดมีอัศวินที่แท้จริง ทำไมพวกเขาถึงมีฐานะการเงินที่ย่ำแย่แบบนั้น?
แม้ว่าดินแดนทางเหนือจะค่อนข้างแห้งแล้ง แต่พวกเขาก็ไม่ควรอยู่ในสถานการณ์ที่จะต้องไปยืมเงินคนอื่นสำหรับค่าธรรมเนียมสถาบันการศึกษา
ด้วยเหตุนี้ เฉินเหิงจึงคุยกับครูโดต่อไปและพยายามค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
ไม่นานเขาก็พบคำตอบ
ดูเหมือนว่าครอบครัวของครูโดจะไม่ใช่ตระกูลที่เก่าแก่มาก
ตำแหน่งขุนนางของเขาเริ่มต้นจากรุ่นปู่ของเขาเท่านั้น
เดิมทีปู่ของเขาเป็นเพียงชาวนาธรรมดาเท่านั้น เขาได้รับมรดกจากอัศวินพเนจรและบังเอิญมีพรสวรรค์ด้านอัศวินที่ดี เขาสามารถลุกขึ้นได้จากการทำงานหนักและความอุตสาหะตลอดหลายทศวรรษ และกลายเป็นหนึ่งในขุนนางของภูมิภาคกูตูในที่สุด
เมื่อเทียบกับตระกูลขุนนางที่มีอายุมากกว่า พวกเขาไม่ได้มีเงินทองที่ผ่านการสะสมมาเป็นเวลานาน และอาณาเขตของพวกเขาก็อยู่ทางด้านเหนือ แม้ว่าพวกเขาจะมีอัศวิน แต่พวกเขาก็ค่อนข้างยากจน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ร่างกายของปู่ครูโดเริ่มอ่อนแอลงเรื่อย ๆ และวันเวลาของพวกเขาก็ยากลำบากลงเรื่อย ๆ
“ทางใต้ดีกว่า”
หลังจากพูดถึงเรื่องต่าง ๆ ของทางฝั่งเหนือแล้ว ครูโดก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างรู้สึกช่วยไม่ได้ “ไม่เพียงแต่อากาศจะอุ่นกว่าเท่านั้น แต่เพราะไม่มีศัตรูจากต่างแดนเหล่านั้น พวกคุณจึงสามารถอยู่กันอย่างสงบสุขได้…”
“ไม่เหมือนกับทางเหนือของเราที่เกิดการปะทะกันทุกวันทุกคืน…”
เขาถอนหายใจลึก ๆ และรู้สึกชื่นชมอย่างมากกับบ้านเกิดของเฉินเหิง
พูดตามจริง ด้านเหนือค่อนข้างรกร้างจริง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น อากาศยังหนาวจัดและพืชผลก็ยากต่อการเพาะปลูก แม้ว่าพวกเขาจะทำได้ แต่ก็ไม่ได้ผลผลิตมากนัก
ทำให้แม้ว่าจะทำงานหนักเพื่อปลูกพืช แต่ก็ยังสามารถเลี้ยงคนได้น้อยกว่าทางใต้
หากมีเพียงแค่นั้น มันก็คงจะไม่เป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก แต่กลับมีศัตรูต่างแดนด้วย
ด้านเหนือของภูมิภาคกูตูมีพรมแดนติดกับทะเลทรายที่แห้งแล้ง
ว่ากันว่ามีพวกต่างเผ่าพันธุ์มากมายอยู่ในทะเลทรายที่แห้งแล้ง ซึ่งพวกมันมักจะมองดินแดนทางเหนือของกูตูด้วยความเกลียดชัง เพราะแบบนั้นพวกมันจึงมักจะโจมตีดินแดนทางเหนือ
ดังนั้นผู้ปกครองทางเหนือจึงมีช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
“ต่างเผ่าพันธุ์?”
เฉินเหิงถามด้วยความอยากรู้ “พวกต่างเผ่าพันธุ์มีอยู่จริงเหรอ?”
ก่อนที่เขาจะเข้าสู่การจำลอง มีทางเลือกที่จะเกิดในตระกูลและเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ
มันเหมือนกับครอบครัวทั่วไปและไม่ต้องการคะแนนใด ๆ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขาคุ้นเคยกับการเลือกครอบครัวธรรมดา เฉินเหิงจึงไม่เลือกตัวเลือกเหล่านั้น เขาไม่เคยเห็นพวกต่างเผ่าพันธุ์ในการจำลองมาก่อนเหมือนกัน
เมื่อได้ยินแบบนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย
“แน่นอน” ครูโดพยักหน้าขณะที่เขาพูด “พวกที่เรียกกันว่าต่างเผ่าพันธุ์มีอยู่จริง และมีอยู่ค่อนข้างมาก”
“ส่วนใหญ่พวกมันจะอยู่กันในทะเลทรายที่แห้งแล้ง และเพราะว่าพวกมันถูกผู้ปกครองทางเหนือปิดกั้นมาโดยตลอด พวกเราจึงไม่ได้เห็นพวกมันกันโดยทั่ว ๆ ไป”
ต่อจากนั้น เขาก็ได้บรรยายถึงพวกต่างเผ่าพันธุ์ที่เขาเคยเห็นมาด้วยตาของเขาเอง
พวกมันถูกเรียกว่ากุดออร์ค สูงประมาณ 1.5 เมตร พวกมันแข็งแกร่งพอ ๆ กับผู้ชายที่มีร่างกายแข็งแรง และพวกมันก็ค่อนข้างป่าเถื่อนและชอบรวมตัวกันอยู่เป็นชนเผ่า
พวกนี้เป็นศัตรูที่ผู้ปกครองของภาคเหนือต้องคอยรับมือ
“กุดออร์ค…”
เฉินเหิงพูดชื่อนี้ซ้ำ ๆ และรู้สึกว่าค่อนข้างคุ้นเคย
ในตัวเลือของกการเลือกตัวตน เขาเห็นตัวเลือกของเผ่าพันธุ์นี้แต่ไม่ได้เลือก
“กุดออร์คเหล่านั้นดุร้ายอย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าพวกมันจะค่อนข้างไร้อารยธรรม ไม่มีทั้งดาบหรือเหล็ก แต่ก็มีจำนวนมากและมีกำลังสามารถทำลายล้างดินแดนของมนุษย์ได้” ครูโดกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
พวกเขาคุยกันอยู่นานก่อนจะแยกย้ายกันไป
วันรุ่งขึ้น เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง เฉินเหิงก็ลุกขึ้นและมาที่จัตุรัสเมื่อวาน
มันค่อนข้างว่างเปล่าและยังคงเงียบ
เฉินเหิงเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ เขาคิดว่าเขาจะเป็นคนแรกที่มาถึงในครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ เขาก็เห็นคนคุ้นเคยยืนอยู่ตรงนั้น
คอร์ริโปยืนอยู่ตรงนั้นด้วยรูปร่างตรงเหมือนต้นสน