Ep.345 - พลสอดแนมจากเมืองทรายดำ
2/2
Ep.345 - พลสอดแนมจากเมืองทรายดำ
เหตุผลที่ทำให้สามารถพบตัวผู้บุกรุกได้อย่างรวดเร็วในคร้ังนี้
ทั้งหมดเป็นเพราะฮังอวี่สร้างทีมสอดแนมขึ้นมาทันเวลา
มันคือทีมสอดแนมมนุษย์จิ้งจอกที่นำโดยเย่โน่และเย่กู่
เขาส่งพวกมันไปเฝ้าระวังใกล้ๆสองเส้นทางเข้าออกที่สำคัญของดินแดนเมืองหุบเขาเดียวดาย
หากมีบุคคลภายนอกหรือคนของขุนนางใหญ่ปรากฏตัวขึ้น ด้วยความสามารถในการสอดแนมของมนุษย์จิ้งจอกและเยโน่ เยกู่ พวกมันจะพบร่องรอยทันที จากนั้นรายงานต่อหวังเอ๋อ เพื่อช่วยยืนยันซ้ำอีกรอบ และตอบสนองอย่างทันท่วงที
ระบุตัวเป้าหมายได้แล้ว
ผู้รุกรานคราวนี้คือก็อบลินหมีสองตัว
พวกก็อบลินเป็นสายพันธุ์ที่แยกได้เป็นหลายสาขา
แต่ในบรรดาทั้งหมด ก็อบลินหมีนั้นก้าวร้าว ดุร้าย และแข็งแกร่งที่สุด
พวกมันมีข้อได้เปรียบในด้านค่าพลังชีวิต , พละกำลัง , ค่าร่างกาย และความว่องไวจากสองเท้าสั้นๆ
ดังนั้นก็อบลินหมีจึงเป็นหนึ่งในสาขาที่มีพรสวรรค์โดยกำเนิดด้านการต่อสู้ที่ดีที่สุด แต่เมื่อเทียบกับพวกโนมส์แล้ว เจ้าพวกนี้มีไอคิวต่ำกว่ามาก นิสัยก็หยาบช้า แต่ไม่เก่งเรื่องกลอุบาย
ฮังอวี่เรียกยอดฝีมือเผ่ามนุษย์มามากกว่าสิบคน บวกกับทหารอีกยี่สิบถึงสามสิบนาย ไปซุ่มโจมตีบนเส้นทางที่เป็นถนนสายเดียว
เขาเปิดใช้งานเทคนิคตาเหยี่ยว
และก็พบกับทั้งคู่ได้ไม่ยาก
สภาพของก็อบลินหมีก็ตามชื่อของมัน เจ้าพวกนี้มีรูปร่างกำยำราวกับหมีสีน้ำตาล ทั้งตัวสวมเกราะหนา ถือกระบองใหญ่ไม่ก็กระบี่หนักในมือ กำลังลอบสังเกตสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง ค่อยๆมุ่งหน้ามายังเมืองหุบเขาเดียวดาย
ด้วยความเร็วของพวกมัน
จากที่นี่สู่เมืองหุบเขาเดียวดาย
น่าจะใช้เวลาแค่ไม่ถึงชั่วโมง
หากรู้ตัวช้ากว่านี้อีกนิด พวกมันคงเข้าใกล้เมืองหุบเขาเดียวดายได้แล้ว
แม้พวกก็อบลินหมีทั้งสองตัวจะยังคงระมัดระวังตัวมาก แต่เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการตรวจจับของพวกมันไม่แข็งแกร่ง และยังไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าหมายของขุนนางแห่งเมืองหุบเขาเดียวดาย ค่อยๆเดินเข้ามายังจุดซุ่มโจมตีที่พวกเขาเตรียมไว้
ไอ้โง่สองตัวกำลังเดินเข้าหากับดักด้วยตัวเอง
ฮังอวี่คิดในใจ : ก็อบลินหมีเป็นมอนสเตอร์ที่มีสมองน้อยจริงๆ
ช่างสิ้นเปลืองพรสวรรค์ในการต่อสู้ซะจริงๆ ... แต่แน่นอน เหตุผลที่พวกก็อบลินหมีกล้าที่จะบุกเข้ามาในดินแดนของเมืองหุบเขาเดียวดาย ส่วนใหญ่เป็นเพราะดินแดนแห่งนี้พึ่งถูกยึด
ดังนั้นพวกมันคงคาดไม่ถึงว่าเผ่าพันธุ์ที่ยึดครองเมืองหุบเขาเดียวดายจะสามารถฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และพลังรบโดยรวมของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนเริ่มจะเหนือกว่าตอนที่พวกมนุษย์จิ้งจอกยึดครองแล้ว
ในหัวของมันคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายในเมืองหุบเขาเดียวดายเพื่อตรวจสอบ
แต่ผลที่ได้ คาดไม่ถึงว่าจะตกหลุมพราง
ฉูเทียนหัวอยู่ในสายตอนนี้ เขากุมกระบี่หนักในมือ ยืนเคียงข้างฮังอวี่ราวกับสิงโตจ้องเหยื่อ เอ่ยถามเสียงต่ำ “จะให้จับเป็นหรือจับตาย?”
ฮังอวี่ยกสองแขนขึ้นกอดอก กล่าวอย่างเฉยเมย “จับเป็น”
ฉูเทียนหัวยกกระบี่หนักขึ้นแล้วกล่าวว่า “ฉันกับเหล่าจ้าวก็พอ แค่พวกเรามันก็หนีไม่รอดแล้ว”
ฮังอวี่พยักหน้าและพูดว่า “ตกลงตามนั้น คุณสองคนไปจับพวกมันมาให้ผม”
จ้าวหมิงยิ้มสดใสและกล่าวว่า “รอฟังข่าวดีจากพวกเราได้เลย”
กล่าวจบ
ทั้งสองก็นำทีมออกปฏิบัติการ
ฮังเสี่ยวไป๋ หวังเอ๋อยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของฮังอวี่
เสี่ยวไป๋คิดอยู่พักหนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยกับฮังอวี่ว่า “พี่หวังเอ๋อพึ่งบอกว่าก็อบลินหมีสองตัวนั้นมีเลเวล 11 พลังรบของพวกมันไม่ด้อยไปกว่าผู้นำมนุษย์จิ้งจอก ปล่อยให้พวกเขารับมือกันเองมันจะอันตราย เสี่ยวไป๋ไปช่วยด้วยดีกว่า!”
ฮังอวี่ไม่พูดอะไร หวังเอ๋อตอบเธอแทนเขา
“ฮ่ง เสี่ยวไป๋ เธอประเมินพวกเขาต่ำไป และในเวลาเดียวกันก็ประเมินผู้รุกรานสองตัวนี้สูงไป” หวังเอ๋อคือขุนศึกสุนัข มันจึงเข้าใจความคิดของเจ้านายมากกว่าเด็กสาวทึ่มเสี่ยวไป๋ “เจ้านายกำลังฝึกทีมอยู่!”
ฮังอวี่คอยสังเกตอย่างใจเย็น
ในไม่ช้าพวกก็อบลินหมีก็เหยียบกับดักที่เตรียมไว้ ถูกมัดอยู่กับที่ทันที ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
ฉูเทียนหัว จ้าวหมิงนำทีมเข้าปิดล้อมอย่างรวดเร็ว
ก็อบลินหมีสองตัวพบว่าตนถูกซุ่มโจมตี พวกมันเห็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ตอนแรกก็ตกใจ แต่สักพักกลายเป็นโกรธเกรี้ยว ร้องคำรามพยายามดิ้นรนและสลัดหลุดจากวงล้อม
อย่างไรก็ตาม
ในสถานการณ์นี้
พวกมันจะหนีไปได้อย่างไร?
ฉินมู่ร่ายมนตร์วาจาต้องห้ามใส่หนึ่งในพวกมันโดยตรง
ผู้ใช้วิญญาณอีกหลายคนร่ายสกิลควบคุมภาคสนามทันทีเพื่อปิดกั้นสนามรบ
ทหารธนูและทหารจอมเวทย์คอยสนับสนุนจากระยะไกล การโจมตีของพวกเขาโถมลงมาราวกับเม็ดฝน เจอแบบนี้เข้าไป ต่อให้ก็อบลินหมีทั้งสองแข็งแกร่งซักแค่ไหน ไม่ช้าก็ถูกปราบปรามลง
จ้าวหมิง ฉูเทียนหัวกังวลว่าอาจพลั้งมือฆ่าก็อบลินหมี ไม่ก็ก็อบลินหมีเห็นท่าไม่ดีแล้วฆ่าตัวตาย ดังนั้นเมื่อเห้นว่าการต่อสู้ใกล้จบลง พวกเขาก็เข้าสู้ระยะประชิดทันที
จ้าว ฉู คือรองผู้นำแห่งมังกรคราม
ทั้งสองมีฉายาที่คนในกลุ่มตั้งให้
ฉายาของเหล่าจ้าวคือ ‘โล่มังกรคราม’
ฉายาของเหล่าฉูคือ ‘กระบี่มังกรคราม’
ฉายาก็ตามความสามารถของทั้งคู่
จ้าวหมิงคือผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกัน และพลังป้องกันของเขาสูงมากชนิดที่ว่ากระทั่งฮังอวี่ก็ยังเทียบไม่ได้
ฉูเทียนหัวคือผู้เชี่ยวชาญในด้านการโจมตีแบบรวดเดียว ในด้านการโจมตี กระบี่มังกรครามผู้นี้มุ่งเน้นไปที่การต่อสู้ระยะประชิด แล้วระเบิดการโจมตีถึง 8 9 ครั้งในคราวเดียว พลังทำลายล้างแบบเดี่ยวจึงเป็นรองแค่ฮังอวี่เท่านั้น ตอนนี้สามารถสืบทอดมรดกขั้น 2 ได้สมบูรณ์แล้วถึงสองอาชีพ
ก็อบลินหมีทั้งสองตัวถูกกำราบอย่างรวดเร็ว
ฮังอวี่ส่งสัญญาณให้ฮังเสี่ยวไป๋ไปผนึก
เพราะในบรรดาทีมมังกรครามตอนนี้ ยังไม่มีใครครอบครองเทคนิคผนึกขั้น 3 ที่แข็งแกร่ง
“พวกเจ้า ... พวกเจ้าคิดจะทำบ้าอะไร!”
“ถ้าแน่จริงก็ฆ่าพวกข้าซะ!”
ก็อบลินหมีทั้งสองเต็มไปด้วยความสยดสยอง
พวกมันถูกมนุษย์กลุ่มใหญ่พาไปคุกเข่าต่อหน้าฮังอวี่
ฮังอวี่เอ่ยถามเข้าประเด็นว่า “พวกแกถูกส่งมาจากเมืองทรายดำใช่ไหม?”
ก็อบลินหมีที่ถือกระบองคำราม “เจ้าจะไม่มีวันได้อะไรจากข้านอกจากความตาย!”
จางเสี่ยวเฉียงเอ่ยขึ้น “กล้าทำตัวลำพองต่อหน้าลูกพี่? เชื่อไหมว่าอีกเดี๋ยวฉันจะคั้นพวกแกให้เหลวเป็นน้ำผลไม้! ลูกพี่ไม่ต้องสนใจก็อบลินหมีสองตัวนี้แล้ว พวกเราจะเชือดพวกมันทิ้งให้เอง มือของลูกพี่จะได้ไม่สกปรก”
“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ส่งพวกมันไปที่คุกใต้ดินก่อน” ฮังอวี่กล่าวกับ ฉูเทียนหัว “เหล่าฉู คุณไปตามถังรู่มา ผมต้องการรีดข้อมูลทั้งหมดของพวกมัน!”
ถังรู่เป็นสมาชิกของมังกรครามที่มีความสามารถในการอ่านใจ
แม้พลังรบของเขาจะไม่โดดเด่นเป็นพิเศษ
แต่สกิลพรสวรรค์มีประโยชน์มาก
ไม่ว่าปากของคู่ต่อสู้จะแข็งแค่ไหน ไม่ว่าหนังของคู่ต่อสู้จะหนาเพียงใด หากได้รับบาดเจ็บสาหัสและตกอยู่ในสภาพถูกปิดผนึก และเลเวลไม่ต่างกันมากเกินไป ขอเพียงใช้นิ้วแตะถังรู่ก็สามารถอ่านความทรงจำของพวกมันได้
มีน้อยคนนักที่สามารถทำแบบนี้
หากในสกายเน็ตสาขาเจียงเฉิงมีคนแบบนี้ซักคน
ปัญหาอย่างสมาคมฤาษีลี้ลับคงไม่ใช่เรื่องน่ากวนใจใดๆ
แน่นอน เนื่องจากในมังกรครามมีบุคคลเช่นนี้ ดังนั้นต้องใช้เขาให้คุ้ม
ไม่นาน ฮังอวี่ก็เห็นจ้าวหมิงพาตัวถังรู่มารายงานสถานการณ์ในห้องพักของขุนนางเมือง
“เราได้รับข้อมูลแล้ว พวกมันคือหน่วยสอดแนมที่เมืองทรายดำส่งมาจริงๆ” จ้าวหมิงรายงานกับฮังอวี่ “เมืองทรายดำเป็นดินแดนของก็อบลินหมี ที่นั่นมีก็อบลินหมีระดับสูงมากกว่า 40 ตัว และกองทหารก็อบลินหมีอีกประมาณ 3000 ตัว พลังรบโดดเด่นกว่ามนุษย์จิ้งจอกในทุกๆด้าน”
ฮังอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังจากได้ยินเรื่องนี้
ก็อบลินหมีระดับสูงสี่สิบตัว?
ทหารก็อบลินหมีกว่า 3000 นาย?
นั่นเท่ากับว่าเมืองทรายดำแข็งแกร่งยิ่งกว่าเมืองหุบเขาเดียวดายที่พวกมนุษย์จิ้งจอกยึดครองถึงสองเท่า!
จ้าวหมิงกล่าวว่า “แต่ฉันคิดว่าพวกมันไม่น่ากังวลเท่าไหร่ เพราะถึงจะแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายแล้วก็เหมือนกับพวกเรา เป็นแค่ดินแดนเล็กๆ ไม่ได้มีพลังรบล้นหลาม ขณะที่พวกเรานับวันก็ยิ่งมีพลังรบมากขึ้นเรื่อยๆ”
ฮังอวี่กล่าว “ถ้าแค่เฉพาะเมืองทรายดำ ผมคงไม่ต้องจริงจังมากนัก”
จ้าวหมิงเป็นคนฉลาด เมื่อได้ยินคำนี้ก็เข้าใจความหมายทันที “นายกำลังหมายความว่า ... ขุนนางเล็กที่อยู่ในบริเวณนี้อาจรวมกำลังกันเพื่อเข้าโจมตีเมืองหุบเขาเดียวดาย?”
หากเป็นแบบนั้น
สถานการณ์ของเมืองหุบเขาเดียวดายจะอันตรายมาก
“ใช่ เพราะพวกที่สนใจเมืองหุบเขาเดียวดายไม่ได้มีแค่ก็อบลินหมี ครั้งก่อนที่ชาร์โมโดมา มันบอกว่ายังมีคนแคระเทาและมนุษย์หมูป่าที่เพ่งเล็งพวกเรา”
ฮังอวี่เน้นเสียง “ยังไงก็ตาม ถ้าผมเดาไม่ผิด พวกมันน่าจะยังไม่รวมกำลังกันในทันที เพราะขุนนางเล็กมักระแวง ไม่ไว้ใจกันและกัน”
เขาออกคำสั่ง “ขังก็อบลินหมีสองตัวนี้ต่อไป อย่าปล่อยให้พวกมันฟื้นคืนชีพและกลับไปเปิดเผยพลังรบของพวกเรากับทางเมืองทรายดำ หลังจากเมืองทรายดำพบว่าขาดการติดต่อกับพวกมัน ก็อบลินหมีไม่มีทางนั่งนิ่งอยู่เฉยๆอย่างแน่นอน”
“ก่อนที่พวกขุนนางเล็กจะร่วมมือกัน พวกเราจะตอกตะปูฝาโลง ใช้ประโยชน์จากช่องว่างนี้ลดพลังรบของพวกมัน” จ้าวหมิงนึกทบทวนคำของฮังอวี่แล้วกล่าวว่า “นายจงใจล่อให้พวกมันโจมตี และตราบใดที่มาจริงๆ ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผน”
ฮังอวี่พยักหน้า “ใช่ พวกเราต้องเตรียมการรับมือการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นต้องรีบเสริการป้องกันเมืองหุบเขาเดียวดาย ให้ทุกคนเพิ่มเลเวลโดยเร็วที่สุด และความเร็วในการสร้างทหารต้องไม่ตก”
จ้าวหมิงกล่าวว่า “เหล่าฉูกับฉันก็จะช่วยลงมาดูแลเรื่องนี้เหมือนกัน ถึงเวลาจะค่อนข้างกระชั้นชิด แต่ก็ไม่น่าเกินกว่ากำหนด ประชากรในเมืองหุบเขาเดียวดายกำลังเติบโตขึ้น และจำนวนทหารก็เพิ่มขึ้นทุกวัน การพัฒนาด้านทรัพยากรในสวนพืชวิญญาณและพื้นที่ล่าจะต้องถูกเร่งการใช้งานให้ไวกว่านี้”
ด้วยความร่วมมือจากกระบี่และโล่
ขุนนางเล็กแค่สองสามตนยังมีอะไรให้ต้องกังวลอีก?