Ep.343 - ปลุกเลือดปีศาจ
4/4
Ep.343 - ปลุกเลือดปีศาจ
จริงดังคาด
หกชั่วโมงต่อมา
มันติคอร์ได้ถูกกวาดล้างออกไปแล้วกว่าแปดเก้าส่วน
ฮังอวี่ เจียงหนาน จ้าวหมิง หวังเอ๋อและเสี่ยวไป๋ได้รับแต้มวิญญาณโดยเฉลี่ยคนละกว่า 6000 แต้ม
เสี่ยวไป๋อยู่ในช่วงกำลังฟื้นคืนพลัง ดังนั้นไม่ต้องการแต้มวิญญาณในตอนนี้ ส่งมอบทั้งหมดให้แก่มดยักษ์
ฮังเสี่ยวไป๋ช่วยฮังอวี่ได้มากจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอถ่ายโอนแต้มวิญญาณทั้งหมดที่เป็นของตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ตัวไปยังมดยักษ์ ฮังอวี่คงไม่สามารถฝึกฝนสัตว์วิญญาณให้เติบโตได้เร็วขนาดนี้
ด้านสุนัข มันยังคงอยู่ห่างจากการอัพเลเวลราวๆ 20%!
ขณะที่มดยักษ์ซึ่งเดิมตามหลัง
ปัจจุบันได้แซงหน้ามัน อัพเลเวลเป็นสัตว์วิญญาณเลเวล 10 เรียบร้อยแล้ว!
ตอนนี้ราชินดมดสามารถควบคุมมดงานได้ 24 ตัว , มดทหาร 8 ตัว (ชนชั้นยอดขั้นบรอนซ์) , มดผู้พิทักษ์ 3 ตัว (ชนชั้นยอดขั้นซิลเวอร์) และราชามด 1 ตัว (ชนชั้นยอดขั้นโกล์) พร้อมๆกัน
และทั้งหมดเป็นมอนสเตอร์เลเวล 10!
นอกจากนี้ยังสามารถเลือกไม่อัญเชิญชนชั้นยอด
เน้นไปทางควบคุมมดงาน ทำให้สามารถควบคุมพวกมันได้ถึง 36 ตัวในคราเดียว
36 ตัวนี้เป็นมดงานเลเวล 10 ทั้งสิ้น ทุกตัวมีสกิลขุดเปิดโพรงและก่อสร้างที่แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก
ต่อไปในอนาคตไม่ว่าจะโจมตีเมืองหรือสร้างฐานทัพลับ
มดงานเหล่านี้สามารถแสดงบทบาทที่คาดไม่ถึงได้ และราชินีมดตอนนี้อยู่ไม่ไกลจากการวิวัฒนาการสู่ระดับเจ้าถิ่น เมื่อขึ้นเป็นเจ้าถิ่น มันไม่เพียงเพิ่มพูนพลังรบอย่างมากเท่านั้น แต่ความสามารถของสิ่งที่อัญเชิญมายังแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
ไม่เพียงแต่ความสามารถของทีมวิศวกรมดยักษ์จะเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้น
แต่มันยังสามารถอัญเชิญมดยักษ์ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นพิเศษได้
หากมองแค่เฉพาะด้านความสามารถในการต่อสู้ พลังรบโดยรวมของราชินีมดหน้าคนเกรงว่าจะสู้สุนัขไม่ได้ด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม สกิลครองแต้มวิญญาณของราชินีมดจะมีประโยชน์มากในอนาคต
มันสามารถใช้มดยักษ์หลายสิบตัวเปลี่ยนเป็นถังเก็บแต้มวิญญาณสำรองได้
เพื่อชุบเลี้ยงสัตว์วิญญาณทั้งสองนี้
ฮังอวี่ต้องใช้ความพยายามและเสียค่าใช้จ่ายไปไม่น้อย
จนในที่สุดพวกมันค่อยๆไล่ตามตนเองจนทัน
และทั้งคู่จะมีบทบาทที่สำคัญยิ่งขึ้น
ฮังอวี่ระบายแต้มวิญญาณกว่าเจ็ดพันออกมาในลมหายใจเดียว
ทั้งหมดถูกถ่ายโอนไปยังสกิลต่างๆ
อัพเลเวลพวกมันขึ้นสู่เลข 3
ปลุกเลือดปีศาจ!
อัพเลเวล 3!
[ปลุกพลังปีศาจ] เลเวลปัจจุบัน 3 , จ่ายพลังจิต 35 หน่วยเพื่อแปลงร่างเป็นขุนนางเลือดปีศาจ , พละกำลัง +24 , ว่องไว +24 , การโจมตีทางกายภาพ +30 , ภูมิคุ้มกันดาเมจ +12 , ความเร็วในการเคลื่อนที่ +12 , ดูดพลังจากการโจมตีระยะประชิด +10 , ต้านทานสถานะผิดปกติ +40 , สร้างภูมิคุ้มกันต่อสถานะอ่อนแรงเมื่อใกล้ตาย , เอฟเฟกต์ของสกิลจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของพลังชีวิตที่สูญเสีย , ระยะเวลาคูลดาวน์ 5 นาที
ปลุกเลือดปีศาจคือสกิลที่ยกระดับมาจากคลุ้มคลั่งกระหายเลือด
สกิลทั้งสองนี้ไม่สามารถซ้อนกันได้
หากใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งคู่จะเกิดระยะเวลาคูลดาวน์
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับสกิลยกระดับอื่นๆ ฮังอวี่สามารถเลือกที่จะใช้สกิลขั้น 2 อย่างคลุ้มคลั่งกระหายเลือดหรือสกิลขั้น 3 อย่างปลุกเลือดปีศาจอย่างไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่อสู้จริง
และไม่ต้องสงสัยเลย
สกิลขั้น 3 ย่อมแข็งแกร่งกว่าสกิลขั้น 2
คลุ้มคลั่งกระหายเลือดเป็นสกิลเปลี่ยนสถานะ ขณะที่สกิลปลุกเลือดปีศาจเป็นสกิลเปลี่ยนร่าง
สองสิ่งนี้ไม่เหมือนกัน สกิลเปลี่ยนร่างไม่เพียงแต่เปลี่ยนค่าคุณสมบัติของตัวเองเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความสามารถพิเศษหรืออาจกระทั่งสร้างสกิลพิเศษขึ้นก็เป็นไปได้
ในแง่ของการเพิ่มค่าคุณสมบัติ
ปลุกเลือดปีศาจเลเวล 3 เมื่อเทียบกับคลุ้มคลั่งกระหายเลือดเวอร์ชั่นอัพเกรดแล้ว
มันสามารถเพิ่มพละกำลัง ความว่องไวได้มากกว่าถึง +60%
การโจมตีทางกายภาพและความเร็วในการเคลื่อนที่ +100%
นอกจากนี้ การดูดพลังชีวิตจากการโจมตีระยะประชิดและความสามารถในการต้านทานสถานะผิดปกติยังได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพ และได้รับความสามารถภูมิคุ้มกันดาเมจอีก 12 หน่วย
สิ่งที่เรียกว่าภูมิคุ้มกันดาเมจ
มันหมายความว่าทุกวินาทีไม่ว่าจะได้รับดาเมจจากความเสียหายประเภทใด
ไม่ว่าจะเป็นดาเมจทางกายภาพ ดาเมจจากธาตุ ดาเมจทางจิต ตราบใดที่ดาเมจสะสมไม่เกิน 12 หน่วยต่อวินาที พลังชีวิตของฮังอวี่จะไม่ลดลง แต่หากดาเมจที่ได้รับเกิน 12 หน่วยใน 1 วินาที มันก็จะลดความเสียหายลง 12 หน่วย
นี่คือความสามารถที่ทรงพลังมาก
ตามปกติแล้ว มีแค่เฉพาะในสกิลขั้น 3 ขึ้นไปเท่านั้นถึงจะมีเอฟเฟกต์จำพวกนี้
อย่างไรก็ตาม สกิลขั้น 3 นั้นยากมากหากคิดฝึกฝน เพราะการอัพเลเวลสกิลเดียวจนเต็มมันก็กินแต้มวิญญาณสูงถึง 7000 แต้มแล้ว
และสิ่งที่ฮังอวี่พิเศษกว่าคนอื่นก็คือเรื่องไม่ต้องฝึกฝนเพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญ
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น นอกจากต้องใช้แต้มวิญญาณเกือบ 7000 แต้มแล้ว พวกเขายังต้องฝึกฝนการใช้สกิลอย่างแข็งขันเป็นเวลาอย่างน้อย 5 - 10 วัน จึงจะเชี่ยวชาญ
แม้จะได้เปรียบในด้านนี้
แต่ฮังอวี่ยังไม่สามารถสืบทอดมรดกขั้น 3 นี้ในทันที
เพราะยังเหลืออีกสองสกิลอย่างชุบโลหิตและปราณสงครามคลั่งที่ยังไม่ได้อัพเลเวลจนเต็ม
เจียงหนานกล่าวอย่างมีความสุขว่า “รวบรวมแต้มวิญญาณได้มากขนาดนี้ในวันเดียว มันเกินพอแล้วที่จะให้ฉันเอาไปอัพเลเวลสกิลทั้งหมดที่มีจนเต็ม หลังจากนี้ฉันสามารถสืบทอดมรดกขั้น 2 ได้แล้ว!”
ฮังอวี่กล่าวว่า “จริงหรอ? ไม่เลวเลยนี่นา”
มรดกที่เจียงหนานสืบทอดได้อย่างสมบูรณ์ในตอนนี้ก็มีหมอผี , ผู้รักษา และนักบวชแห่งแสง ซึ่งทั้งหมดเป็นมรดกในขั้น 1
ผู้รักษาคือมรดกแรกของเธอ
หมอผีคือมรดกสายต่อสู้ของนักบวชที่มีพลังในการโจมตีที่ดี
ส่วนนักบวชแห่งแสงเป็นมรดกสายสนับสนุน เจียงหนานพิจารณาถึงข้อได้ข้อเสียของสกิลพรสวรรค์ของเธอ ดังนั้นจึงตัดสินใจเรียนรู้สกิลเพิ่มเติม หลังจากหาข้อมูลและทำความเข้าใจ เธอก็เลือกสกิลของนักบวชแห่งแสง
นอกเหนือจากนั้น
เธอยังเลือกที่จะเรียนรู้สกิลยกระดับของผู้รักษา
หรือก็คือมรดกขั้น 2 ‘ผู้รักษาขั้นสูง’
เจียงหนานได้ชิ้นส่วนมรดกของมันมาแล้ว และนั่นคือ ‘รักษาทรงประสิทธิภาพ’ , ‘ฟื้นฟูหมู่’ และ ‘รักษาต่อเนื่อง’ ทั้งสามคือสกิลรักษาที่ทรงพลัง แต่เอฟเฟกต์ของพวกมันจะต่างกันเล็กน้อย
อย่างสกิลรักษาทรงประสิทธิภาะคือสกิลเพิ่มพลังชีวิตแบบเดี่ยวที่มีเอฟเฟกต์อันยอดเยี่ยม มันมีระยะเวลาคูลดาวน์สั้นๆ และไม่ซ้อนทับกับสกิลรักษาบาดแผลขั้นต้นในขั้น 1 สามารถใช้สลับกันได้
ฟื้นฟูหมู่คือการรักษาแบบทีเดียวหลายคน นี่มิใช่สกิลรักษาในทันที แต่เป็นการค่อยๆฟื้นฟูเรื่อยๆด้วยบัฟ บวกกับเอฟเฟกต์ของสกิลพรสวรรค์อย่าง ‘พันธสัญญาของเทพธิดาแห่งรุ่งอรุณ’ พลังของมันจึงเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ
รักษาต่อเนื่องยังคงเป็นบัฟสายรักษาเช่นกัน แม้นี่จะเป็นสกิลแบบเดี่ยว แต่เอฟเฟกต์ในการฟื้นฟูนั้นแข็งแกร่งมาก สกิลนี้มาพร้อมกับเอฟเฟกต์พิเศษ ‘ซ่อมแซมร่างกาย’ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ใช่อาวุธ เน้นออกแข้งขาในการต่อสู้
สาวสวยเจียงคือหัวหน้านักบวชแห่งกลุ่มมังกรคราม!
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลย
เมื่อเธออัพเลเวลทั้งสามสกิลนี้จนเต็ม
แล้วได้รับสืบทอดมรดกขั้น 2 สำเร็จ
เอฟเฟกต์รักษาก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก!
แน่นอน ตำแหน่งของเจียงหนานไม่ใช่แค่การรักษาและคอยสนับสนุนเท่านั้น เพราะเธอยังมีสกิลของหมอผี นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้สกิลบางอย่างของนักรบไว้ใช้ในตอนสู้ระยะประชิดอีกด้วย
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า
แม้คนส่วนใหญ่จะชื่นชอบในความงามของเธอ มองเธอเหมือนเป็นสาวนักบวชผู้ไม่มีพิษมีภัย
แต่เอาจริงๆแล้ว ด้วยเลเวลอุปกรณ์ของเจียงหนาน เมื่อเทียบกับสมาชิกในกลุ่มมังกรครามแล้ว ระดับพลังรบของเธอสูงกว่าคนกว่าครึ่งในกลุ่ม มีหลายคนไม่สามารถเอาชนะเธอได้
หากกลับสู่โลกจริง
เธอจัดได้ว่าเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง
ต่อให้ถูกชายร่างใหญ่สิบคนรุมล้อม แต่เกรงว่าพวกเขาคงไม่แม้จะสามารถสัมผัสร่างของนักศึกษาสาวผู้แข็งแกร่งคนนี้ได้
เจียงหนานกระจ่างแก่ใจว่าความสามารถของเธอนั้นอยู่แค่ในระดับปานกลาง แต่ที่สามารถมีได้อย่างทุกวันนี้ ทั้งหมดล้วนมาจากคำแนะนำและการฝึกฝนของพี่มหาเทพ ดังนั้นเธอยินดีรับฟังเขาทุกอย่าง ยึดถือฮังอวี่เป็นเป้าหมายในใจ และยังคงพยายามอย่างหนักเพื่อไล่ตามเขา
“ฮ่ง เจ้านาย มันติคอร์ชั้นยอดกับจ่าฝูงของพวกมันถูกฆ่าตายเกือบหมดแล้ว หวังเอ๋อส่งร่างแยกออกไปค้นหาในบริเวณใกล้เคียงแต่ก็ไม่พบเป้าหมาย”เหลือแค่กลุ่มที่ดูดุร้ายที่สุดเท่านั้น เจ้านายจะเข้าไปเลยไหม?”
ฮังอวี่กล่าว “ทำไมจะไม่เข้าล่ะ พวกเรามาปิดงานให้เสร็จๆกันเถอะ หลังจากฆ่ามันติคอร์ระดับเจ้าถิ่น ภารกิจเก็บเกี่ยวแต้มวิญญาณวันนี้ของพวกเราเป็นอันลุล่วง”
จ้าวหมิงกล่าวด้วยอารมณ์ “ได้หินคริสตัลขาวมามากกว่า 3000 ก้อนในวันเดียว นอกเหนือจากนั้นยังมีอุปกรณ์สีขาวอีกกว่า 400 ชิ้น และวัสดุสีขาวอีกกว่า 100 ชิ้น แล้วยังมีหินสกิลขั้น 1 กับ 2 อีกเจ็ดก้อน ... ผลกำไรครั้งนี้ครั้งเดียว สูงกว่าในทุกๆครั้งที่พวกเราเคยรวมทีมสู้ไม่รู้กี่เท่า!”
หากเป็นเมื่อก่อน
อาศัยเพียงทีมเล็กๆ
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะล้างบางหุบเขานี้!
หรือต่อให้ทำได้ เกรงว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามวัน
หรือหากส่งทีมขนาดเล็กทีมละสิบคนเป็นจำนวนสิบทีมก็อาจเร็วขึ้นหน่อย อาจทำสำเร็จได้ในหนึ่งวัน แต่กำไรที่ได้หลังจากเฉลี่ยกันแล้วคงลดน้อยลงมาก
ทว่าตอนนี้มันไม่เหมือนกัน!
ครั้งนี้พวกเขานำสมุนทหารออกล่ามอนสเตอร์
แม้สมุนทหารจะไม่สามารถทำสัญญาได้ ส่งผลให้แต้มวิญญาณบางส่วนสูญเสียไป แต่ด้วยฝีมือและการกะจังหวะอันยอดเยี่มของฮังอวี่ที่เป็นผู้ปลิดชีพมอนสเตอร์เกือบทั้งหมด ทำให้แต้มวิญญาณหลังจากมอนสเตอร์ตายส่วนใหญ่ยังคงไหลมาทางมนุษย์คนอื่นๆในทีม
นอกจากนี้ยังได้รับสินสงครามเป็นจำนวนมาก!
หินคริสตัลขาวจำนวนนี้คงพอช่วยบรรเทาช่องว่างทางการเงินของดินแดนได้!
เสื้อผ้าสีขาวคุณภาพสูงหลายร้อยชิ้นมีราคาแพงยิ่งกว่า ต่อให้พวกมันขายไม่ออกก็สามารถนำไปย่อยสลายเพื่อแลกเปลี่ยนวัสดุจำนวนมากที่จำเป็นสำหรับการก่อสร้างดินแดนแบบเร่งด่วนได้
หุบเขามันติคอร์สามารถฟันกำไรก้อนโต!
...
เบื้องหน้าทุกคนคือมันติคอร์ระดับเจ้าถิ่น
มอนสเตอร์ขนาดมหึมาเท่าช้างกำลังเดินอย่างสง่าผ่าเผยท่ามกลางซากปรักหักพัง รายล้อมไปด้วยมันติคอร์สีเทาดำสี่ตัว และมันติคอร์สีเหลืองอีกกว่า 17 - 18 ตัว
เจ้าพวกนี้มีสติปัญญาต่ำ
และยังคงไม่ทราบว่าสหายที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงถูกฆ่าตายหมดแล้ว
ทั้งหมดต้องขอบคุณความสามารถในการควบคุมภาคสนามอันทรงพลังของเสี่ยวไป๋
ระหว่างการล้างบางมอนสเตอร์ สกิลสายควบคุมของผู้ใช้วิญญาณเป็นสิ่งสำคัญมาก ด้วยสกิลของอาชีพสายนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยควบคุมมอนสเตอร์แบบเดี่ยวเท่านั้น แต่ยังสามารถควบคุมมอนสเตอร์แบบภาคสนามด้วย
ไม่อย่างนั้น
ด้วยสภาพแวดล้อมหุบเขาที่แห้งแล้งเช่นนี้
พวกมอนสเตอร์จะหูหนวกตาตาบอดโดยไม่รู้ตัวมาถึงตอนนี้ได้อย่างไร?
จ้าวหมิงขมวดคิ้ว “ค่อนข้างรับมือยากแฮะ”
ฮังอวี่พยักหน้า “BOSS มันติคอร์ คือมอนสเตอร์ระดับเจ้าถิ่นขั้นซิลเวอร์ เจ้าตัวนี้อยู่ในเลเวล 12 แต่ในความเป็นจริงแล้วพลังรบของมันสูงยิ่งกว่ามอนสเตอร์เลเวล 11 ในระดับเจ้าถิ่นขั้นโกลด์ซะอีก ขณะที่พวกเราอยู่แค่เลเวล 10 เป็นเรื่องยากที่จะรับมือ”
“ดูเหมือนศึกนี้คงยากถ้าจะไม่ให้เกิดการสูญเสีย พวกเราทำได้แค่ลดความสูญเสียให้น้อยที่สุดเท่านั้น ... เหล่าจ้าว เสี่ยวไป๋ ทั้งสองคนไปก่อกวน BOSS มันติคอร์ เจียงหนาน มอบทหารรักษา 3 นายให้พวกเขา”
ฮังเสี่ยวไป๋พยักหน้า
จ้าวหมิงกล่าวเสริมว่าไม่มีปัญหา
พลังรบของเขาตอนนี้แก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันสวมชุดสีเขียวที่ช่วยเพิ่มพลังชีวิตและค่าร่างกาย และเมื่อเปิดใช้งานสกิลมรดกขั้น 1 และ 2 รวมไปถึงสกิลขั้น 3 ที่ช่วยเสริมการป้องกัน พลังป้องกันของเขาตอนนี้จึงแข็งแกร่งมาก
ด้วยความช่วยเหลือจากเสี่ยวไป๋
และทหารรักษาอีกสามนาย
เขาไม่มีทางพ่ายแพ้ในช่วงเวลาสั้นๆ
“งั้นลงมือกันเลย”
“ผมไปก่อนนะ”
ฮังอวี่สูดหายใจเข้าลึกๆ ในการต่อสู้ครั้งก่อนๆ เขายังไม่ได้ทุ่มเทเต็มที่ แต่ครั้งนี้เขาจะไม่มีออมมืออีกแล้ว!
เปิดใช้งานสกิลขั้น 3 - ปลุกเลือดปีศาจ!