ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 59 ความสำเร็จขั้นแรก
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 59 ความสำเร็จขั้นแรก
แปลโดย iPAT
หลี่ฉิงซานคิดถึงสิ่งที่วัวดำเคยพูดไว้ในอดีต เสี่ยวอันใช้เพียงเลือดสัตว์ในการฝึกเคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ หากผีน้อยต้องการฝึกอย่างถูกต้อง มันต้องใช้เลือดมนุษย์และต้องเป็นเลือดจากศพที่พึ่งเสียชีวิต ยิ่งเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งก็ยิ่งดี
โจรเหล่านี้เป็นวัตถุดิบชั้นยอดที่วัวดำกล่าวถึง แม้หลี่ฉิงซานจะไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้แต่เขาก็ไม่คิดมาก เขารวบรวมศพและโยนพวกมันไว้บนพื้นที่ว่างเปล่า ภูเขาศพเป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างไม่ต้องสงสัย กลิ่นความตายลอยอบอวลอยู่รอบๆ แม้แต่หลี่ฉิงซานยังรู้สึกสั่นไหวอยู่ภายในและอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่า ‘ข้าเป็นคนทำสิ่งนี้จริงๆงั้นหรือ?’
อย่างไรก็ตามเขายังสามารถสงบจิตใจลงอย่างรวดเร็ว นี่คือการแก้แค้น หากพวกโจรไม่พบจุดจบเช่นนี้ ความอยุติธรรมก็ยังจะดำเนินต่อไป ตราบเท่าที่มันเป็นความถูกต้องตามความคิดของเขา เขาก็จะไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำ หลังจากนั้นหลี่ฉิงซานก็ทำตามคำแนะนำของวัวดำ เขาวางโถกระเบื้องของเสี่ยวอันไว้บนกองซากศพ
เสี่ยวอันลอยอยู่ด้านข้างด้วยความประหม่าก่อนจะบินเข้าไปในโถกระเบื้องเมื่อได้ยินหลี่ฉิงซานกล่าวว่า “ไป!”
ภูเขาศพสั่นสะเทือน เลือดไหลเข้าไปในโถกระเบื้องและทำให้มันสั่นอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันกลิ่นคาวเลือดก็ค่อยๆจางลงและจางลง
เพียงไม่นานโถกระเบื้องก็เกิดรอยแตกร้าว แสงสีแดงรั่วไหลออกมา
หลี่ฉิงซานขมวดคิ้วและกลั้นลมหายใจ มันดูเหมือนพิธีกรรมที่ชั่วร้ายและน่าสะพรึงกลัวมากเกินไป เขารู้สึกราวกับพวกเขากำลังอัญเชิญปีศาจจากขุมนรก
“เพล้ง!” โถกระเบื้องระเบิดในที่สุด โครงกระดูกสีแดงเลือดนั่งอยู่บนภูเขาศพ เปลวไฟสีแดงเลือดลุกไหม้อยู่ในเบ้าตาที่ว่างเปล่า มันดูเป็นภาพที่ชวนขนหัวลุกและน่าสะพรึงกลัวมาก แต่โครงกระดูกขนาดเล็กยังนั่งไขว้ขาอยู่อย่างเงียบๆราวกับนักบวชที่กำลังนั่งสมาธิ มันให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระอรหัสที่เข้าใจความไม่เที่ยง กองซากศพที่น่าสยดสยองประหนึ่งฐานดอกบัวที่พระพุทธเจ้าประทับนั่ง
หลี่ฉิงซานเรียกเบาๆ “เสี่ยวอัน?”
โครงกระดูกน้อยเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเปลวไฟในดวงตาที่เต้นเป็นจังหวะ จากนั้นมันก็กลายเป็นลำแสงสีแดงเลือดพุ่งเข้าหาหลี่ฉิงซานด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง หลี่ฉิงซานไม่ได้ป้องกันตัวและไม่โต้กลับ เขาปล่อยให้ลำแสงสีแดงปะทะหน้าอกของเขาก่อนจะร่วงลงไป
หลี่ฉิงซานมองอย่างงุนงง สิ่งที่เขาเห็นคือเสี่ยวอันนั่งอยู่บนพื้นและส่ายศีรษะราวกับเด็กน้อยล้มเหลวในการควบคุมความเร็วของตน
เสี่ยวอันยืนขึ้นและมองหลี่ฉิงซาน ภาพลักษณ์ในปัจจุบันของเด็กน้อยสะท้อนอยู่ในดวงตาของหลี่ฉิงซาน ราวกับตระหนักว่าตนเองไม่ใช่ผีอีกต่อไป เสี่ยวอันก้มศีรษะลงมองมือกระดูกที่เรียวบางก่อนจะกวาดตามองไปทั่วร่างกาย จากนั้นร่างของเสี่ยวอันก็สั่นอย่างรุนแรง เด็กน้อยรีบนั่งลงและใช้มือปิดหน้า
ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแต่หลี่ฉิงซานสัมผัสได้ว่าเสี่ยวอันกำลังร้องไห้ ในฐานะผี อย่างน้อยมันก็มีภาพลักษณ์เป็นมนุษย์ เมื่อร่างกายเปลี่ยนเป็นน่าสะพรึงกลัวอย่างกะทันหัน มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะสงบจิตใจโดยเฉพาะเมื่อเขายังเป็นเพียงเด็ก
หลี่ฉิงซานรู้สึกปวดใจ หัวใจที่แข็งกระด้างเหมือนเหล็กของเขาอ่อนลงทันที เขาถูจมูกก่อนจะนั่งลงและลูบศีรษะของเสี่ยวอันด้วยรอยยิ้ม “อย่าเป็นเช่นนี้ นี่ก็น่ารักดี ในอดีต มีเพียงเจ้าที่สามารถสัมผัสข้า ข้าไม่สามารถสัมผัสเจ้า ตอนนี้เราเท่าเทียมกันแล้ว”
เสี่ยวอันเงยหน้าขึ้นขณะที่เปลวไฟในเบ้าตาสว่างขึ้นเล็กน้อย มันยื่นมือออกมากอดหลี่ฉิงซานอย่างนุ่มนวลและวางศีรษะไว้บนหน้าอกของฝ่ายหลัง ขณะเดียวกันหลี่ฉิงซานก็อ้าแขนโอบกอดเด็กน้อยเอาไว้อย่างแน่นหนา
ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายและลมหนาวที่พัดผ่าน หนึ่งเด็กหนุ่มและหนึ่งโครงกระดูกเล็กๆกอดกันราวกับพวกเขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายที่เย็นเยียบของกันและกัน
วัวดำเฝ้ามองอยู่อย่างเงียบๆจากด้านหนึ่ง แต่สายตาของมันกลับไม่ปรากฏความเย้ยหยันตามปกติิ
ท้ายที่สุดเสี่ยวอันก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อย เขาร่าเริงขึ้นอย่างรวดเร็วและเริ่มทดสอบร่างใหม่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาเดินไปรอบๆและหยิบดาบของโจรขึ้นมาเล่นเป็นบางครั้ง เขากระโดดขึ้นไปในอากาศสูงหลายเมตรก่อนจะล้มลงบนพื้นและทำให้เกิดเสียงดังอย่างช่วยไม่ได้
หลี่ฉิงซานตื่นตระหนกเพราะเกรงว่าโครงกระดูกบางๆของเด็กน้อยจะแตกหักจากการตกกระแทกพื้น แต่สิ่งที่เขาเห็นคือเสี่ยวอันพลิกตัวยืนขึ้น เป็นเพียงเวลานี้ที่เด็กน้อยจำได้ว่าเขาไม่ใช่ผีอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถบินได้อีกต่อไป แต่เขาก็ไม่ผิดหวัง เขาวิ่งออกไปในหิมะและสายลมอีกครั้ง
หลี่ฉิงซานผ่อนคลายลง เขายิ้ม บางทีความรักอาจยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งจริงๆ แม้เสี่ยวอันจะอยู่ในร่างที่น่าสยดสยอง แต่หลี่ฉิงซานไม่รู้สึกว่าเด็กน้อยน่ากลัวเลย ยิ่งเห็นการกระทำแบบเด็กๆของโครงกระดูกน้อย มันก็กลายเป็นน่ารักน่าเอ็นดูอย่างน่าประหลาด อย่างไรก็ตามคนอื่นย่อมไม่รู้สึกเช่นเดียวกับเขาอย่างแน่นอน
เขาหันหน้าไปทางวัวดำและถาม “เสี่ยวอันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปหรือไม่?”
วัวดำตอบ “นี่ไม่ใช่สิ่งผิดพลาด มีผู้คนมากมายที่ขอพรจากเทพเจ้าหรือพระโพธิสัตว์เพื่อให้ได้รับสิ่งนี้แต่พวกเขาไม่เคยสมหวัง คนปกติไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่าผีจะสามารถมีร่างกาย แม้มันจะเป็นวิธีบนเส้นทางสายปีศาจแต่มันก็ไม่ได้ขัดต่อหลักคำสอนของพุทธศาสนาหรือลัทธิเต๋า ด้วยสิ่งนี้เขาจะสามารถบ่มเพาะและบรรลุพลังเหนือธรรมชาติ หากวิธีนี้ถูกเปิดเผยออกไป ข้ารับประกันได้เลยว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรงยิ่งกว่าโสมจิตวิญญาณในการครอบครองของเจ้านับล้านเท่า ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธ เต๋า หรือภูตผีปีศาจ พวกเขาล้วนต้องการสิ่งนี้”
หากบางคนจัดงานเลี้ยงให้คุณ คุณจะสามารถตำหนิพวกเขาหรือไม่หากพวกเขาไม่ได้เตรียมช้อนส้อมไว้ให้ หลี่ฉิงซานทำได้เพียงเผยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าเข้าใจแล้ว เส้นทางแห่งกระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ดูเหมือนจะทรงพลังกว่าเคล็ดวิชาเก้ากระทิงสองพยัคฆ์”
ไม่เพียงเสี่ยวอันจะเร็วมากจนแม้แต่หลี่ฉิงซานยังแทบไม่สามารถตอบสนอง แต่เมื่อเขามองกลับไป เขาเห็นเสี่ยวอันคว้ากระบองยักษ์ของหัวหน้าลำดับที่เจ็ดซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าห้าสิบกิโลกรัมโบกไปมาอย่างบ้าคลั่ง อย่างไรก็ตามเนื่องจากมือของเขาเล็กเกินไป ดังนั้นกระบองจึงหลุดออกจากมือเล็กๆคู่นั้นและบินไปห้าเมตรก่อนจะกระแทกกับกำแพงหิน เสี่ยวอันในปัจจุบันสามารถกวาดล้างป้อมวายุทมิฬทั้งหมดด้วยตัวเขาเพียงผู้เดียวและมันยังจะง่ายดายยิ่งกว่าหลี่ฉิงซาน
ยิ่งไปกว่านั้นยันต์ราชันสงคราของเจ้าป้อมวายุทมิฬยังสามารถแข่งขันกับความแข็งแกร่งของกระทิงหนึ่งตัว นี่ทำให้หลี่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะสงสัยในพลังอำนาจของเคล็ดวิชาเก้ากระทิงสองพยัคฆ์
“เขาดูดซับเลือดของมนุษย์มากกว่าร้อยคน แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อ่อนแอ หากเจ้าต้องการให้เขาได้รับร่างมนุษย์ มันก็ไม่ยาก” วัวดำหัวเราะและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยไม่สนใจความสงสัยของหลี่ฉิงซาน
ดังคาด หลี่ฉิงซานเลิกคิดถึงเรื่องนี้และอุทาน “จริงหรือ? อย่างไร?”
วัวดำกล่าว “ง่ายมาก เขาเพียงต้องบ่มเพาะเส้นทางแห่งกระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์ให้ถึงระดับหนึ่ง จากนั้นเขาจะสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นสิ่งใดก็ได้ตามปรารถนา”
หลี่ฉิงซานพยักหน้า “อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืนและมันก็เป็นเพียงการแปลงร่างเท่านั้น”
วัวดำกล่าว “มีวิธีอื่นเช่นกัน มันคือการใช้เลือดมนุษย์เพื่อเสริมสร้างรากฐาน ดัวยวิธีนี้ เลือดเนื้อของเขาจะค่อยๆเติบโตขึ้นจากกระดูก สุดท้ายเขาจะได้รับกายเนื้อในที่สุด”
หลี่ฉิงซานตกใจ “นั่นหมายความว่าเสี่ยวอันสามารถฟื้นคืนชีพงั้นหรือ?”
วัวดำส่ายศีรษะ “ไม่มีความเป็นหรือความตาย ไม่มีความตายหรือชีวิต อย่างไรก็ตามจากมุมมองของมนุษย์ มันก็ไม่ต่างจากการฟื้นคืนชีพ”
“เข้าใจแล้ว!” หลี่ฉิงซานรู้สึกมีขวัญกำลังใจ
“อย่าฉลองเร็วเกินไป มันขึ้นอยู่กับเจ้าในการทำงานที่ยากลำบากนี้ให้เสร็จ เจ้าไม่สามารถเปิดเผยเขาต่อหน้าทุกคนหรือทิ้งร่องรอยไว้มากเกินไป มิฉะนั้นผู้คนจะมาหาเจ้าเพื่อกำจัดความชั่วร้าย เมื่อเวลานั้นมาถึงก็อย่าโทษว่าข้าไม่เตือน”
หลี่ฉิงซานกล่าวด้วยความมุ่งมั่น “แม้ข้าจะต้องแบกรับบาปทั้งหมดและยืนอยู่ท่ามกลางบ่อเลือดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ข้าก็จะไม่ลังเล ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผู้คนอีกนับไม่ถ้วนบนโลกใบนี้ที่สมควรตาย!”