MDB ตอนที่ 200 การกลับมาของตระกูลซื่อ PART 4
จั่วเหวินถังและตันหลินหันไปหาเม็ดยาในมือของซื่อเหวินจวินทันที หลู่ปิ่นพบว่าทั้งสองคงเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้ขจัดความสับสนของพวกเขาตรงนี้ เขาตัดสินใจเดินไปข้างหน้าแทน
หลู่ปิ่นเป็นคนประเภทที่มักจะทำทุกอย่างที่เขาคิด แทบไม่มีอะไรในโลกนี้ที่หลู่ปิ่นไม่กล้าลอง
แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายอยู่ในสถานที่แห่งนี้ แต่เขาก็ไม่สนใจพวกเขา
ทุกคนต่างตกใจที่จู่ ๆ หลู่ปิ่นเดินขึ้นไปที่เวที
ก่อนหน้านี้ พวกเขายังคงสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของเม็ดยาตัวใหม่และทันใดนั้นก็มีใครบางคนที่ขึ้นไปบนเวทีทำให้เกิดความโกลาหลมากขึ้นมา
ซื่อเหวินจวินตกตะลึง เธอสังเกตเห็นผู้ชายคนนี้มาพักใหญ่แล้ว เขาเป็นคนที่ทำให้จั่วเหวินถังและตันหลินเข้าไปทักทายด้วยความเคารพ เธอจึงคิดว่าชายคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา
หลังจากขึ้นเวทีแล้ว หลู่ปิ่นเมินคนอื่นที่อยู่ด้านล่างเวที เขายื่นมือออกมาแล้วพูดว่า
“ขอดูยาหน่อย”
น้ำเสียงที่เขาพูดฟังดูนิ่งและสงบ เขาไม่ได้ดูโกรธเลย แต่การปรากฏตัวของเขาค่อนข้างดูเอาแต่ใจเล็กน้อย
ซื่อเหวินจวินไม่เคยพบคนแบบนี้มาก่อน แต่ในฐานะหัวหน้าตระกูล เธอไม่ลังเลเลยเมื่อเธอยื่นขวดหยกให้ลู่ปิ่นตามที่เขาสั่ง คนหลังเปิดมันขึ้นและสูดลมหายใจก่อนจะพยักหน้า
“เจ้าพูดถูก นี่คือเม็ดยาเมฆาเหนือวารี”
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ฝูงชนด้านล่างก็ระเบิดความโกลาหลอีกรอบ
"นั่นใครน่ะ? ทำไมเขาถึงรู้ว่าเม็ดยานี้เป็นของแท้?”
"ข้าไม่รู้ เขาอาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการอัดเม็ดยา ใจเย็น ๆ แล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”
ฝูงชนต่างส่งเสียงความสงสัยของเขาออกมาดัง ๆ
"เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? แค่คำพูดเดียวจากปากของเจ้าจะทำให้คนอื่นเชื่อ ๆ หรือไง? เท่าที่ข้าเห็น เจ้าคงเป็นแค่นักแสดงที่ได้รับการว่าจ้างจากตระกูลซื่อให้หลอกพวกเราบนเวที”
แน่นอนว่าคนที่ตะโกนเช่นนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวู่เฉินเว่ย
เสียงของเขาเอาชนะคนอื่นได้
“เหลวไหล!”
หลู่ปิ่นไม่ได้คนดีมากนัก กฎเกณฑ์นั้นแทบไม่มีอยู่จริงในชีวิตของเขา บางครั้งเขาถึงกับถูกตำหนิราชาแห่งอาณาจักรมังกรหยก อารมณ์แปรปรวนของเขาเป็นที่รู้จักดีโดยบุคคลสำคัญทุกคนในเมืองหลวงและเมื่อมีคนมาท้าทายเขา หลู่ปิ่นจะอยู่เฉย ๆ ได้ย่างไร?
เขาหันไปจ้องที่หวู่เฉินเว่ยที่ยืนอยู่ด้านล่าง คนหลังตัวแข็งทื่อทันทีราวกับว่าเขาถูกไฟฟ้าดูดและเขาก็สำลัก เขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เหงื่อเย็นเริ่มกลิ้งลงมาที่หน้าผากของเขา
นี่คือพลัง
ในรูปแบบของคาถา
ลึกเข้าไปในภูเขา กระต่ายตัวน้อยจำนวนมากจะกลัวตายเพราะเสือที่ดุร้าย เฉกเช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญที่มีพันธสัญญาโลหิตระดับสูง พวกเขาสามารถใช้พลังของสัตว์วิเศษของเขาเพื่อร่ายคาถาที่ให้เกิดผลลัพธ์เช่นเดียวกันได้
บางครั้งมันจะถูกส่งผ่านเสียงของบุคคล ดังนั้นในสมัยโบราณ เมื่อมีคนส่งเสียงคำราม เป้าหมายของเขาก็จะตกจากหลังม้าและตาย คนอื่น ๆ สามารถถ่ายทอดพลังผ่านสายตาของพวกเขา พวกเขาจะจ้องมองไปที่เป้าหมาย ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนเสียสติ
เห็นได้ชัดว่าหลู่ปิ่นอยู่ในประเภทหลัง
เขาร่ายคาถาเล็ก ๆ เขาเพิ่มแสงจ้าของเขาด้วยความสามารถในการกำราบของสัตว์วิเศษและทำให้หวู่เฉินเว่ยหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรออกมา
แน่นอนว่า ผลกระทบนี้จะคงอยู่เพียงชั่วคราวกับวิญญาณที่กล้าหาญและพวกเขาจะฟื้นตัวในไม่ช้า แต่ประเด็นคือหวู่เฉินเว่ยเป็นคนขี้ขลาด
ไม่เพียงแต่ร่างกายของเขาสั่นและเหงื่อออกมากเท่านั้น แต่ยังมีกลิ่นเหม็นที่มาจากช่วงล่างของร่างกายของเขาอีกด้วย เขาสูญเสียการควบคุมของเหลวในร่างกายของเขาจริง ๆ
เฉินเหวินหลินนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา ได้กลิ่นอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็รู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาหันไปมองหวู่เฉินเว่ยและพบว่าฝ่ายหลังน้ำลายฟูมปากก่อนจะล้มลงกับพื้นหมดสติไป
สิ่งนี้ทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่
เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่มีใครกล้าก่อความวุ่นวายขึ้นอีก ทุกคนเข้าใจว่าผู้สูงอายุชุดดำบนเวทีไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่าย
หลู่ปิ่นไม่ได้ตรวจสอบยาเพราะเขาต้องการช่วยตระกูลซื่อ เขาเพียงต้องการยืนยันความสงสัยของเขาเท่านั้น
เขาหันไปหาซื่อเหวินจวินและถามว่า “เจ้าได้สูตรยานี้มาจากไหน? เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่?”
ตอนนี้ซื่อเหวินจวินยืนยันได้ว่าหลู่ปิ่นไม่ใช่คนธรรมดา อย่างไรก็ตาม สูตรยาได้รับมาจากหลินจินและหลินจินไม่ได้บอกว่าเธอสามารถบอกที่มาของมันได้หรือไม่ ดังนั้นซื่อเหวินจวินจึงไม่คิดว่า เธอจะสามารถตอบคำถามของเขาได้
หลู่ปิ่นสังเกตเห้นความลังเลของเธอได้อย่างชัดเจน แต่เนื่องจากเขาพอจะรู้ได้คราว ๆ แล้ว เขาจึงลดเสียงลงและถามว่า
“ผู้ประเมินหลินเป็นคนให้สูตรยาเจ้ามาใช่หรือไม่?”
เป็นเรื่องง่ายที่หลู่ปิ่นจะมาถึงข้อสรุปนี้ เขาแค่สงสัยและต้องการการยืนยันเท่านั้น
เมื่อซื่อเหวินจวินได้ยินคำว่า 'ผู้ประเมินหลิน' สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที เธอมองหลู่ปิ่นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตกใจและพยักหน้าให้เขา
หลู่ปิ่นยิ้มและไม่ถามอีก เขาเดินกลับเข้าไปในฝูงชน
ทุกคนรอบ ๆ หลบเลี่ยงเขา ไม่มีใครกล้าที่จะขวางทางเขา ชายผู้นั้นทำให้หวู่เฉินเว่ยหมดสติด้วยแสงจ้าเพียงแวบเดียว ดังนั้นมีแต่คนโง่เท่านั้นที่อยากจะทดสอบความอดทนของเขาอีกครั้ง
เมื่อเขากลับมายังที่ที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ หลู่ปิ่นยืนอย่างสงบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จั่วเหวินถังยิ้มอย่างแห้ง ๆ และทำอะไรไม่ถูก หลู่ปิ่นเป็นคนดื้อรั้น เมื่อเขาตั้งใจกับบางสิ่งไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้ ไอ้หนุ่มที่เย่อหยิ่งก่อนหน้านี้โชคร้ายที่กล้าตำหนิอีกฝ่าย ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่เขาสมควรได้รับ
จั่วเหวินถังไม่สนใจเหตุการณ์นี้ แม้ว่าจะมีคนรายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงโทษหลู่ปิ่น
ท้ายที่สุด หลู่ปิ่นทำแค่จ้องไปที่ผู้ชายคนนั้นเท่านั้น มันไม่ใช่ความผิดของเขาที่ผู้ชายคนนั้นเป็นคนขี้ขลาดถึงเพียงนี้
หลังจากนั้น ซื่อเหวินจวินก็นำเสนอยาเม็ดให้กับนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ หยางถัง เขาเป็นคนแรกที่เข้าไปตรวจสอบ จากการวิเคราะห์ของเขาจากสิ่งที่เขาอ่านมา เขายืนยันว่าสิ่งที่ตระกูลซื่อนำเสนอคือเม็ดยาเมฆาเหนือวารีอย่างแท้จริง
เพื่อพิสูจน์คำพูดของพวกเขา พวกเขายังเชิญผู้ป่วยที่ได้รับคำสาปให้กินยาทันทีเพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพของยา
แน่นอนว่าเม็ดยาทำลายคำสาปได้อย่างปลิดทิ้ง
ฝูงชนก็เข้าสู่ความโกลาหลทันที ซื่อเหวินจวินมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่สีหน้าของเฉินเหวินหลินก็ดำมืดลง
'มันเป็นของแท้จริง ๆ แต่ตระกูลซื่อไปเอาสูตรยามาจากไหน?’ เฉินเหวินหลินเริ่มกระวนกระวายใจ แม้ว่าเม็ดยาเมฆาเหนือวารีจะมีเพียงน้อยนิด แต่สรรพคุณของมันกลับมีมากมายมหาศาล นี่เป็นเม็ดยามหัศจรรย์ในสมัยโบราณ ดังนั้นสำหรับคนทั่วไป ตระกูลซื่อที่สามารถผลิตอัญมณีดังกล่าวได้นั้นอยู่เหนือตระกูลเฉินโดยสมบูรณ์
หากสถานประกอบการขนาดใหญ่หรือตระกูลสำคัญกำลังมองหาส่วนผสมและยารักษาโรค ตระกูลซื่อที่สามารถจัดหาเม็ดยาเมฆาเหนือวารีได้ พวกเขาจะได้รับการรับเลือกเป็นตัวเลือกแรกในทันที
ที่สำคัญกว่านั้น ตอนนี้ตระกูลซื่อมีไพ่ตายอยู่ในมือ ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรพวกเขาจะอยู่รอดต่อไป
นี่เป็นผลลัพธ์อันเลวร้ายสำหรับตระกูลเฉิน
ตอนนี้เฉินเหวินหลินรู้สึกราวกับว่าเขากำลังนั่งอยู่บนเข็ม แต่เขาออกไปไม่ได้เพราะงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ยังไม่จบ ตระกูลซื่อจะแนะนำยาใหม่มากกว่าหนึ่งชนิดในวันนี้
ซื่อเหวินจวินยังคงนำเสนอยาอีกสองสามเม็ด
บางตัวไม่ได้บันทึกไว้ในตำรามนต์แห่งเม็ดยาแต่ผู้ชมต่างตกตะลึงกับเม็ดยาเมฆาเหนือวารี ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับยาเม็ดตัวใหม่เหล่านี้อีกต่อไป
“เม็ดยาวิญญาณสุริยา, เม็ดยาวิญญาณอสูรเงา, เม็ดยาเอกภาพและเม็ดยาผสานพลังงาน… ใครจะไปคิดว่าคราวนี้ตระกูลซื่อจะนำอัญมณีล้ำค่าออกมาขาย”
“และยาเม็ดเหล่านี้ส่วนใหญ่เอาไว้ใช้กับสัตว์วิเศษ หากสิ่งที่พวกเขาพูดเป็นความจริง สัตว์เลี้ยงที่มีธาตุไฟหรือเงาบริสุทธิ์อาจสามารถวิวัฒนาการได้ทันทีหลังจากกินเม็ดยาวิญญาณสุริยาหรือเม็ดยาวิญญาณอสูรเงา หากเป็นเช่นนั้น ข้าต้องซื้อยาพวกนี้ให้ได้!”
“ท่านซื่อ ตอนนี้ยาเหล่านี้มีขายอยู่หรือไม่?” มีคนถามอย่างใจร้อน
ซื่อเหวินจวินและสมาชิกตระกูลซื่อคนอื่น ๆ ดีใจที่ได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาเตรียมการที่จำเป็นไว้แล้ว
“ทุกท่าน ได้โปรดใจเย็น ๆ ก่อน เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เราวางขายและมีข้อจำกัดด้านเวลา ห้องโถงยาของเราจึงมียาในคลังจำนวนจำกัด เรามีเม็ดยาเมฆาเหนือวารีเพียงสามเม็ดและอีกห้าเม็ดสำหรับเม็ดยาที่เหลือ เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำยานั้นมีค่าอย่างยิ่ง ราคาค่อนข้างจะ…”
ซื่อเหวินจวินได้เว้นช่วงอยู่พักหนึ่ง แม้จะไม่นาน แต่สำหรับคนใจร้อนแค่วินาทีเดียวก็นานจนไม่อาจทนไหว พวกเขาจึงจะตะโกนว่าขึ้นมาว่า
“แน่นอนว่าพวกมันจะต้องแพง! สัตว์เลี้ยงของข้าบังเอิญเป็นธาตุไฟบริสุทธิ์ เจ้าต้องเก็บเม็ดยาวิญญาณสุริยาให้ข้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
"ข้าด้วย"
"ข้าด้วย…"
ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง
ซื่อเหวินจวินยิ้มอ่อน ๆ และกล่าวว่า “เม็ดยาเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีราคาแพงเท่านั้น แต่วัตถุดิบที่จำเป็นในการผลิตนั้นหายากมากจนเราสามารถผลิตได้ในจำนวนจำกัดเท่านั้น ดังนั้นยาเหล่านี้จะไม่มีวางขายในห้องโถงยาของเรา”
"อะไรนะ?"
แค่คิดว่าพวกเขาจะประกาศไม่ขายในที่สาธารณะ ภายหลังจากที่ทุกคนให้ความสนใจ มันก็เหมือนกับการจัดพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่และบอกทุกคนว่าพวกเขาจะปิดทำการทันทีหลังจากนั้น
บางคนก็รู้สึกท้อแท้ใจ
จากนั้นซื่อเหวินจวินกล่าวเสริมว่า “เราซาบซึ้งอย่างยิ่งที่พวกท่านให้ความสนใจกับห้องโถงยาซื่อของเรา ทางเราจะจัดหายาเหล่านี้ให้กับลูกค้าประจำของเราเท่านั้น…”
ด้วยเหตุนี้ ฝูงชนจึงเข้าใจว่าตระกูลซื่อกำลังพยายามทำอะไร พูดง่าย ๆ ก็คือ พวกเขากำลังพยายามผูกมัดลูกค้าที่กำลังมองหายาเหล่านี้กับร้านของพวกเขา
ตัวอย่างเช่น ตระกูลที่ซื้อส่วนผสมจากร้านของตระกูลเฉินจะต้องซื้อส่วนผสมจากตระกูลซื่อแทนเพื่อรับสิทธิ์ในการซื้อยาตัวใหม่ที่น่าตื่นตาเหล่านี้
นี่เป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา
บางคนก็เข้าไปคุยเรื่องข้อตกลงทางธุรกิจทันที
สีหน้าของเฉินเหวินหลินไม่ค่อยสู้ดี แต่เขายังประทับใจกับกลยุทธ์ของซื่อเหวินจวิน เขาไม่ได้คาดหวังว่าคู่แข่งของเขาจะกลับมาด้วยวิธีนี้
เมื่อมองย้อนกลับไป สงครามราคาของตระกูลเฉินก่อนตอนนี้ดูด้อยไปเลย เมื่อเทียบกับเรื่องนี้
สิ่งที่ทำให้เฉินเหวินหลินตื่นตระหนกยิ่งกว่านั้นก็คือการที่จั่วเหวินถังและตันหลินได้ไปหารือเกี่ยวกับข้อตกลงทางธุรกิจกับซื่อเหวินจวินด้วย
คฤหาสน์เจ้าเมืองและสมาคมประเมินสัตว์วิเศษเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของตระกูลเฉิน หากพวกเขาถูกพรากไป ธุรกิจของเขาจะได้รับผลกระทบมหาศาล
ราวกับว่านั่นยังไม่เลวร้ายพอ ทั้งตระกูลซูและตระกูลเกาก็เข้าร่วมด้วยเช่นกัน
เฉินเหวินหลินมีเหงื่อออกมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้
เมื่ออยู่ไปก็ทำอะไรไม่ได้ เขาจึงเลือกที่จะกลับคฤหาสน์เพื่อกลับไปวางแผนและพูดคุยกับผู้คนของเขาในทันที เพื่อดูว่าพวกเขาจะหามาตรการรับมือได้หรือไม่?
หากสถานการณ์นี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างดี นี่อาจเป็นจุดจบของตระกูลเฉิน
จิตใจของเฉินเหวินหลินถูกครอบงำด้วยความคิดมากมายในขณะที่เขาตรงกลับบ้าน ระหว่างทางกลับเขาสะดุดและล้มหน้าฟาดพื้น!
อย่างไรก็ตาม จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดมีมากเสียจน เขาไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดใด ๆ เลย