Ep.334 - เปิดร้านค้าลับอีกครั้ง
1/2
Ep.334 - เปิดร้านค้าลับอีกครั้ง
เนื่องจากจ้าวหมิงสามารถเข้าใจภาษาของโลกวิญญาณได้แล้ว เขาจึงกลายเป็นสมาชิกระดับสูงเพียงคนเดียวในทีมที่สามารถสื่อสารกับชาวต่างเผ่าได้นอกเหนือจากฮังอวี่
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น
หน้าที่ในการต้อนรับขับสู้ชาร์โมโดจึงตกเป็นของเขา
จ้าวหมิงเคยเป็นใครมาก่อน? เขาคือประธานบริษัทจดทะเบียนในเซินเจิ้น!
แม้จ้าวหมิงจะไม่ได้เกิดมาจากตระกูลนักธุรกิจขนานแท้ แต่เขาคือผู้ได้รับเกียรตินิยมจากมหาลัยที่มีชื่อเสียงถึงสองใบ ทำงานในซิลิคอนวัลเลย์เป็นเวลานานถึง 10 ปี เมื่อกลับคืนสู่บ้านเกิดถึงได้กลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่ด้านเทคโนโลยี
แม้เป็นอย่างนั้น แต่หากให้เขาต้องรับมือกับพวกตระกูลนักธุรกิจขนานแท้ ยังไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับพวกเขี้ยวลากดินรับมือยากเหล่านั้นแล้ว
ชาวพื้นเมืองจากโลกวิญญาณผู้นี้รับมือได้ง่ายกว่ามาก มันใสซื่อไม่ต่างจากเด็กน้อย
จ้าวหมิงประจบมันด้วยวิธีต่างๆนาๆ แสดงความปรารถดีมากมายแก่ชาร์โมโด จากนั้นตีเหล็กในระหว่างที่กำลังร้อน มอบของขวัญเป็นหินคริสตัลเจียว รวมไปถึงอุปกรณ์อีกหลายชิ้น
สินบน+การประจบประแจง
นี่เล่นเอาชาร์โมโดรู้สึกตัวลอยไปพักหนึ่ง
เผ่าพันธุ์หน้าใหม่กลุ่มนี้ไม่เหมือนกับเผ่าพันธุ์อื่นๆที่มันเคยพบเจอ แม้พวกเขาจะอ่อนแอ แต่ก็สามารถทำสิ่งต่างๆได้มากมาย
"ดีมาก ในเมื่อพวกเจ้ามีน้ำใจขนาดนี้ ข้าในฐานะทูตรู้สึกพอใจมาก"
"เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของพวกเจ้า ข้าสามารถวิงวอนต่อขุนนางใหญ่คาลิมัว ยอมลดค่าบรรณาการเดือนแรกลงครึ่งหนึ่ง"
"ยังไงก็ตาม พวกเจ้าจงจำไว้ว่ากฏคือกฏ เนื่องจากเครื่องบรรณาการมีน้อย ดังนั้นเมืองธารทะเลทรายจะยอมรับตำแหน่งขุนนางใหม่ของพวกเจ้าเท่านั้น แต่จะไม่ให้ความคุ้มครองแก่เมืองหุบเขาเดียวดาย"
ความหมายที่จะสื่อนั้นชัดเจน
ชาร์โมโดสามารถยอมลดบรรณาการลงได้ครึ่งหนึ่ง
แต่เมืองหุบเขาเดียวดายจะสูญเสียการปกป้องจากเมืองธารทะเลทรายด้วยเช่นกัน
พลังรบของเมืองหุบเขาเดียวดายในยุคมนุษย์จิ้งจอกนั้นมิได้แข็งแกร่งอะไรมากมาย แต่เหตุใดเมืองหุบเขาเดียวดายถึงสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี? ทั้งหมดก็เพราะได้รับความคุ้มครองจากเมืองธารทะเลทราย สั่งห้ามขุนนางเล็กตนอื่นๆมิให้เข้ามาวุ่นวายกับพวกมนุษย์จิ้งจอก
หากเมืองหุบเขาเดียวดายในยุคมนุษย์จิ้งจอกสูญเสียความคุ้มครอง
คงไม่ต้องบอกว่าพวกมันจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหน
"เท่าที่ข้ารู้ ขุนนางก็อบลินหมีเนลู , เจ้ากระบองทอง ขุนนางของพวกคนแคระเทา และเจ้าฟันแดง ขุนนางของพวกมนุษย์หมูป่าจ้องจะครอบครองเมืองหุบเขาเดียวดายมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนลู เพราะเมืองหุบเขาเดียวดายครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนของเผ่าก็อบลินหมี ก่อนที่จะถูกพวกมนุษย์จิ้งจอกยึดไป"
ชาร์โมโดกล่าวว่า "เจ้าจะได้รับความคุ้มครองจากเมืองธารทะเลทรายก็ต่อเมื่อส่งเครื่องบรรณาการเต็มจำนวน"
เห็นได้ชัดว่าจ้าวหมิงไม่พอใจสุดๆกับผลลัพธ์นี้
เขากำลังจะก้าวออกไปอ้อนวอน
แต่ถูกฮังอวี่ห้ามไว้ และเอ่ยกับชาร์โมโดว่า "ขอบคุณท่านทูตที่เตือนเรา พวกเราจะพัฒนาให้เร็วที่สุด เพื่อสะสมของบรรณาการให้ได้เต็มจำนวน"
ชาร์โมโดพยักหน้าอย่างพอใจ
มันไม่ได้รั้งอยู่ต่อ ดินแดนเล็กๆตรงหัวมุมไม่ต่างอะไรจากเพิงพักม้าสำหรับมัน ดังนั้นหลังจากคุยกับฮังอวี่และจ้าวหมิง ชาร์โมโดก็ออกจากเมืองไป
ฮังอวี่ จ้าวหมิง และสมาชิกคนสำคัญอีกหลายคนยืนอยู่บนกำแพงเมืองหุบเขาเดียวดาย เฝ้ามองแผ่นหลังของเซนทอร์ที่กำลังออกจากหุบเขาไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด
จ้าวหมิงเอ่ยถาม "ทำไมถึงไม่ให้ฉันต่อรองต่อ?"
ฮังอวี่ยกสองแขนขึ้นกอดอกแล้วเอ่ยว่า "พวกเซนทอร์จากเมืองธารทะเลทรายไม่ง่ายที่จะยั่วยุ ขอแค่ตราบใดที่พวกมันยังไม่โจมตีเราช่วงนี้ ขุนนางน้อยตนอื่นๆไม่นับว่ามีค่าพอให้พวกเรากังวล"
จ้าวหมิงยังคงงงงวยสงสัย "ถึงพวกเราจะสามารถหยุดการโจมตีของขุนนางเล็กพวกนั้นได้ แต่เมื่อหุบเขาเดียวดายถูกโจมตียังไงพวกเราก็ต้องประสบกับความสูญเสีย"
ฮังอวี่เหลือบมองไปด้านข้างแล้วเอ่ยว่า "เหล่าจ้าว คุณเป็นผู้ประกอบการนะ เพราะงั้นช่วยมองในระยะยาวได้ไหม เป้าหมายสูงสุดของพวกเราคืออะไร? ยังไงก็ไม่หยุดอยู่แค่เมืองหุบเขาเดียวดายแน่นอน"
จ้าวหมิงจมหายเข้าไปในความคิด
เขาไม่ได้โง่ ไม่นานก็ได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว "นายจงใจสร้างสถานการณ์ให้เมืองหุบเขาเดียวดายถูกโจมตีจากพวกขุนนางเล็กที่อยู่ใกล้ๆ? นายต้องการให้เมืองหุบเขาเดียวดายกลายเป็นศูนย์กลาง ตั้งใจจะผนวกดินแดนกับอาณาเขตใกล้เคียงพวกนั้น?"
ฮังอวี่พยักหน้า "ถ้าพวกเราเป็นฝ่ายบุกโจมตีอาณาเขตของพวกมันก่อน นั่นจะน่าสงสัยเกินไป แต่ถ้าล่อให้พวกมันเข้ามาโจมตีเมือง เราสามารถใช้วิธีนี้ลดทอนกองกำลังของพวกมันแบบไม่ให้น่าสงสัยได้"
ฉูเทียนหัวก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
เขาพยักหน้า "เป็นไปไม่ได้ที่เมืองหุบเขาเดียวดายจะสามารถรองรับประชากรมนุษย์ได้ตลอดไป ไม่ช้าก็เร็วพวกเราต้องขยายไปพื้นที่รอบๆ แทนที่จะยอมรับการคุ้มครอง สู้ล่อศัตรูบุกเข้ามาจะดีกว่า"
ขุนนางเล็กหลายตนที่อยู่ใกล้ๆ คาดว่าอีกไม่กี่วันพวกมันคงทราบเรื่องที่ฮังอวี่ไม่ได้จ่ายส่วยเต็มจำนวน และพวกมันย่อมไม่ทิ้งโอกาสนี้ ยังไงก็ต้องบุกเข้าตีเมืองหุบเขาเดียวดาย 100%
และพวกมันคงไม่รู้
ว่ามนุษย์ที่ดูอ่อนแอ
แท้จริงแล้วมีความสามารถในการเติบใหญ่อันน่าทึ่ง!
เมื่อพวกมันตระหนักว่าเมืองถูกเปลี่ยนมือ และตัดสินใจที่จะบุกตี ถึงเวลานั้นมนุษย์ก็สามารถปรับตัวและตั้งหลักในเมืองได้แล้ว
เมื่อขุนนางเล็กเหล่านั้นโจมตี นั่นเท่ากับพวกมันทำพลาดครั้งใหญ่!
พวกมันปฏิบัติต่อเมืองหุบเขาเดียวดายดั่งเหยื่อ แต่หารู้ไม่ว่าเมืองหุบเขาเดียวดายนั้นแท้จริงเป็นเสือหมอบที่ซุ่มรอเหยื่อให้เข้ามา พวกมันยังไม่รู้ว่าเมืองหุบเขาเดียวดายต่างหากคือผู้รุกรานที่แท้จริง!
และระหว่างที่ยังพอมีเวลา ฮังอวี่จะตั้งใจฟาร์มอย่างแน่วแน่ มุ่งมั่นสร้างทหาร พัฒนากองกำลังอย่างอุ่นใจและแสร้งทำเป็นอ่อนแอให้มากที่สุด ก่อนกินรวบอาณาเขตโดยรอบและทำให้เมืองธารทะเลทรายเป็นอัมพาต ถูกเผ่ามนุษย์ล้อมกรอบ สุดท้ายต้านทานไม่ไหว
และโอกาสที่จะทำให้แผนนี้สัมฤทธิ์ผลคืออะไร?
วิธีที่ดีที่สุดคือการรอให้ศัตรูบุกเข้ามาโดยใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ ล่อพวกมันเข้าสู่กับดัก!
เมื่อขุนนางหลายตนผลัดกันโจมตีหลายครั้งแต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จ พวกมันก็จะตระหนักว่าเมืองหุบเขาเดียวดายไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด แต่ตอนนั้นคงสูญเสียกองทหารไปเป็นจำนวนมากแล้ว
ตราบใดที่เวลาสุกงอม
ฮังอวี่และเผ่าพันธุ์มนุษย์จะนำกองทัพออกจากเมืองหุบเขาเดียวดาย
มนุษย์จะเข้ายึดครองเมืองหลายแห่งในคราวเดียวในจังหวะที่ขุนนางใหญ่ไม่ทันเตรียมการรับมือ และนั่นจะนำมาซึ่งสถานการณ์แบ่งแยกดินแดนอย่างสมบูรณ์
กว่าเมืองธารทะเลทรายจะตอบสนองได้
ถึงตอนนั้นก็สายไปแล้ว!
ฮังอวี่กล่าว "แผนการวางกลยุทธ์ของพวกเราใช่ว่าจะสำเร็จ 100% เพราะยังเป็นเรื่องยากที่จะประเมินพลังรบของเมืองธารทะเลทราย อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ แล้วอีกอย่าง พวกเราก็ยังไม่ทราบข้อมูลของขุนนางเล็กภายใต้การปกครองของเมืองธารทะเลทราย ดังนั้นต้องเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ "
ฉูเทียนหัวฉีกยิ้มสดใส "มนุษย์เราเมื่อเทียบกับชาวพื้นเมืองพวกนี้ ถึงจะไม่ได้ครอบครองดินแดนมากมายในโลกวิญญาณ แต่โลกเบื้องหลังของพวกเราสามารถจัดหาทรัพยากรและให้การสนับสนุนได้ ฉันคิดว่ายังไงพวกเราก็เหนือกว่าชาวพื้นเมืองพวกนี้"
ฮังอวี่ไมม่ปฏิเสธ เขายิ้มออกมา
ผู้คนเริ่มทยอยกันกลับมายังจัตุรัสกลางเมืองหุบเขาเดียวดาย
เมื่อข่าวกระจายออกไปว่าปลอดภัยแล้ว คนที่สมควรกลับก็กลับมา คนที่สมควรออนไลน์ก็ออนไลน์ ในจัตุรัสกลางเมืองหุบเขาเดียวดายกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ฮังอวี่คำนวณเวลาและคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว เขาประกาศขึ้นในเวลานี้ว่า "ฉันจะเปิดร้านค้าลึกลับ ถ้าใครสนใจเตรียมตัวให้พร้อมและมาเข้าแถว!"
เจียงหนานได้ยินแบบนั้น นักศึกษาสาวโห่ร้องทันที "พี่มหาเทพจงเจริญ!"
จางงเสี่ยวเฉียงกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า "ฉันรอเวลานี้มานานแล้ว!"
ฮังอวี่เก็บเรื่องพ่อค้าลึกลับไว้เป็นความลับมาโดยตลอด ดังนั้นเหล่าคนนอกไม่ทราบเรื่องนี้ คนจากสำนักกระบี่วิญญาณไม่ทันได้เตรียมการใดๆ
ลุคและคนอื่นๆไม่เข้าใจ
ไฉนคนของกลุ่มฮังอวี่ถึงได้ดูมีความสุขนัก?
แล้วร้านค้าลึกลับคืออะไร? ทำไมฮังอวี่ถึงสามารถเปิดมันได้?
สำหรับเรื่องนี้ ฮังอวี่ไม่ได้รู้สึกผิดใดๆ เอาจริงๆมันเป็นประโยชน์ซะอีกที่คนในเมืองสามารถซื้อขายกับพ่อค้าลึกลับได้ แล้วอีกอย่างฮังอวี่ไม่ได้เรียกร้องใดๆจากพวกเขา ฉะนั้นทำไมต้องบออกพวกเขาล่วงหน้าด้วย?
ฮังอวี่มักใจดีกับคนสนิท เขาเอื้อเฟื้อต่อพรรคพวกของตัวเองเสมอๆ แต่เขามักทำตัวแปลกแยกกับคนนอก
ฮังอวี่เป่านกหวีดทองแดง อากาศเบื้องหน้าเขาคล้ายบิดเบี้ยว พ่อค้าลึกลับได้ข้ามมิติและเวลา ตอบรับต่อเสียงเรียกของเขา
การซื้อของจากร้านค้าลึกลับในทุกๆครั้งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความแข็งแกร่ง
ฮังอวี่คิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่เขาจะสืบทอดมรดกขั้น 3 ซักที!