834 - แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว
834 - แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว
ในสุสานเซียนนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ของทุกคนถูกปิดกั้น เย่ฟานอาศัยความแข็งแกร่งทางกายภาพทำการตอบโต้ชายหนุ่มรูปงามผู้เป็นครึ่งเซียนกลับไปเช่นกัน
“อา...”
ชายวัยกลางคนจากตระกูลเซียวตะโกนแทบจะเป็นบ้า เรื่องนี้น่าเหลือเชื่อมากเกินไป ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขามั่นใจว่าเขาสามารถฆ่าเย่ฟ่านได้ในการโจมตีครั้งเดียว
แต่ตอนนี้ผลที่ได้คือ แขนของเขาถูกอีกฝ่ายบดขยี้จนแหลกละเอียดกลายเป็นเพียงเนื้อบด เขารู้สึกโกรธเกรี้ยว อับอาย และความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
ใบหน้าของเซียวอวิ๋นเฉิงมืดลง แม้ว่าเขาจะดูเหมือนชายหนุ่ม แต่พลังของเขาเทียบได้กับพลังของผู้นำตระกูลใหญ่ ดวงตาของเขามีประกายไฟ การเคลื่อนที่ของเขาก็มีความเร็วเพิ่มขึ้นราวกับสายฟ้า
“ปัง! ปัง!”
เย่ฟ่านรีบวิ่งขึ้นไปบนบันไดหยกซึ่งมีความสูงนับหมื่นจ้าง มันเป็นบันไดที่จะนำไปสู่แท่นบูชาห้าสีบนยอดเขา จากนั้นในเวลาอันรวดเร็วร่างกายของเขาก็พบเจอกับแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวทำให้ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้มากกว่าร้อยจั้งด้วยซ้ำ
ปัง!
ในขณะเดียวกันชายหนุ่มรูปงามผู้เป็นปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเซียวก็ไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาทำการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ามันจะเป็นการต่อสู้ด้วยพลังทางร่างกายเพียงอย่างเดียวก็ตาม
ในเวลานี้ เย่ฟานประสานอินเพื่อเรียกผลึกจักรพรรดิมนุษย์ออกมา กลิ่นอายของเขาเปรียบเหมือนเป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่เหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งสามารถกวาดล้างแผ่นดินด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
นี่คือผนึกจักรพรรดิมนุษย์ ทันทีที่มันปรากฏขึ้นท้องฟ้าเปลี่ยนสีไปในทันที
ในอีกด้านหนึ่งเซียวอวิ๋นเฉิงมีใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย พลังปราณของเขาไม่ราบรื่นเหมือนเช่นปกติ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ดั่งใจนึก
“เข้ามาอีกสิ!” เย่ฟานตะโกนมาจากเบื้องบน
นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวอวิ๋นเฉิงรู้สึกถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ ความแข็งแกร่งทางร่างกายเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนจะน่ากลัวยิ่งกว่าปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ทุกคนที่เขาเคยพบ
“เจ้าขยะอย่าคิดหนีอย่างเด็ดขาด” เย่ฟ่านตะโกนอย่างเย็นชา
บูม!
เซียวอวิ๋นเฉิงใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ เขาถูกกระแทกตกจากบันไดหลายสิบจั้ง แม้จะลุกขึ้นยืนได้แต่แขนของเขาก็ยังปวดชาอย่างรุนแรงคล้ายกับจะแตกออกจากกันได้ทุกเมื่อ
“อา…”
ด้านล่าง ชายวัยกลางคนจากตระกูลเซียวตะโกน หลังจากสูญเสียแขนไปเขาก็เจ็บปวดจนต้องกัดฟันไว้แน่น เมื่อเห็นเช่นนี้ ไฟในใจก็เดือดดาลถึงขีดสุด
“เจ้าส่งเสียงโวยวายอะไร?”
ตงฟางเย่เดินไปข้างหน้าพร้อมกับกระบองไม้ในมือและมองดูครึ่งก้าวผู้สูงสุดคนนี้อย่างเหนื่อยหน่าย
“เจ้า...”
ชายวัยกลางคนจากตระกูลเซียวแทบจะขาดใจตาย อีกไม่กี่สิบปีเขาก็จะกลายเป็นผู้สูงสุดที่ทุกคนต่างเคารพนับถือ แต่วันนี้เขากลับถูกดูหมิ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขารู้ที่มาของตงฟางเย่ และรู้ว่านี่เป็นคนที่มาจากชนเผ่าโบราณ ถ้าเขาปะทะกันในสถานที่แห่งนี้ เขาจะต้องสูญเสียครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
“เกิดอะไรขึ้น”
ในขณะนั้นเสียงที่ชัดเจนดังขึ้น และชายชราอีกคนก็มาถึง เขาเป็นประมุขของตระกูลเซียวนั่นเอง
“ท่านพ่อ ในที่สุดท่านก็มาถึงแล้ว…” ชายวัยกลางคนจากตระกูลเซียวกระอักเลือดออกมา
ตงฟางเย่ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขารีบวิ่งไปที่แท่นหยกด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เขาจะต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่หากรั้งรออยู่เบื้องล่าง
ในตอนนี้เขาลอกเลียนเย่ฟ่านและพึ่งพาความแข็งแกร่งทางร่างกายเพื่อก้าวขึ้นไปบนขั้นบันได
เย่ฟ่านกำลังต่อสู้อยู่กับเซียวอวิ๋นเฉิงอย่างเด็ดเดี่ยว แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นถึงปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่หากคิดจะเอาเปรียบเขาในด้านพละกำลังนั้นอย่าได้หวัง
เขามีพลังมากจนทุกคนที่เพิ่งมาถึงรู้สึกประหลาดใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประมุขตระกูลเซียว
ในขณะนี้จักรพรรดิทั้งสี่แห่งจงโจว ปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานหลิง และนักบวชแห่งทะเลทรายตะวันตกต่างก็มาถึงเช่นกัน
ทุกคนมองการต่อสู้บนยอดเขาด้วยสายตาแปลกๆ
“พอแล้ว”
ประมุขตระกูลเซียวโบกมือให้เซี่ยวอวิ๋นเฉิงถอยกลับมา พวกเขาเป็นหนึ่งในมหาอำนาจที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในวันนี้ หากใครบางคนได้รับบาดเจ็บไปความหวังที่จะได้รับสมบัติของพวกเขาก็จะดับสูญไปด้วย
“ช่างมีชีวิตชีวาเหลือเกิน…”
ในตอนนี้ผู้นำนิกายใหญ่หลายคนก็ตามมาติดๆ พวกเขาล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ซึ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ
หัวใจของเย่ฟ่านแข็งค้าง เขาได้พบคนรู้จักที่นี่แล้ว พวกเขาเคยพบกันที่เทศกาลทะเลสาบหยกมาก่อน ตัวอย่างเช่นประมุขของนิกายสูงสุดแห่งจงโจวนิกายหยินหยาง รวมทั้งยอดฝีมือรุ่นอาวุโสอีกหลายคน
ในเวลานี้นอกจากเย่ฟ่านและสหายทั้งสี่ของเขา คนที่เหลือแม้แต่พลังที่อยู่ต่ำสุดก็อยู่ในอาณาจักรครึ่งก้าวผู้สูงสุดแล้ว
บนแท่นหยกหมื่นจั้ง โลงศพโบราณที่ลอยขึ้นๆ ลงๆ เป็นสมบัติล้ำค่า ทุกคนจะไม่ยอมปล่อยมันไปแน่ ซึ่งหมายความว่าหลังจากนี้จะมีการแข่งขันที่ดุเดือด
ในเวลานี้ฝูงชนก็แยกย้ายกันไป แต่ละคนเริ่มมองหาทิศทางที่แตกต่างกันเพื่อจะก้าวไปสู่โลงศพที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
“คนพวกนี้เตรียมตัวมาอย่างดีและนำอาวุธต้องห้ามมามากมาย” ชายชราตาบอดเกิดความประหลาดใจเล็กน้อย
ต้วนเต๋อถอนหายใจ “หากข้ามีสมบัติเพียงพอข้าย่อมสามารถแกะสลักอักขระเต๋าเพื่อทำให้เราปีนป่ายไปข้างบนได้”
“เป็นไปได้ไหมที่จะใช้กระดูกชิ้นนี้ด้วย?” ตงฟางเย่หยิบกระดูกแขนสีทองของปราชญ์โบราณออกมา
ชายชราตาบอดจับแขนต้วนเต๋อแล้วกล่าวว่า “เจ้าอ้วนอย่าลูกเล่นอีกต่อไป เจ้ามีขุมทรัพย์อยู่บนร่างกายมากมาย ดังนั้นรีบหยิบมาซะ เจ้าจะปล่อยให้พวกมันขึ้นไปบนแท่นหยกก่อนไม่ได้”
“ต่อให้เราได้รับสมบัติมาจะเป็นอย่างไร เจ้าคิดว่าพวกเราจะเอาสมบัติออกไปได้หรือ?” ต้วนเต๋อกล่าว
ทั้งสองเริ่มโต้เถียงกัน และในที่สุดต้วนเต๋อก็ถอนหายใจ เขาเสียสละตะเกียงน้ำมันของปราชญ์โบราณและประกอบเข้ากับกระดูกแขนสีทองของตงฟางเย่
“ตาแก่รีบเอาสมบัติของเจ้ามาสังเวย”
ชายชราตาบอดร่ายคาถาและโล่โบราณก็ลอยออกมา เขาวางมันลงบนกระดูกแขนของปราชญ์โบราณ กล่าวให้ถูกคือโล่โบราณที่กล่าวถึงคือกระดองเต่า
เจวี่ยโย่วฉิงไม่กล่าวอะไร นางเหยียดกิ่งโพธิ์ออกมาแล้วก้าวไปข้างหน้า แม้ว่านางจะเป็นคนที่กล่าววาจาน้อยที่สุด แต่เมื่อถึงช่วงเวลาสำคัญนางก็เสียสละสมบัติชิ้นใหญ่ของตัวเองโดยไม่ลังเล
เย่ฟ่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบชิ้นส่วนทองแดงผุๆ ออกมารวมกับของศักดิ์สิทธิ์ของทุกคน ในขณะนั้นตะเกียงของต้วนเต๋อก็เริ่มส่องสว่างจากอักขระเต๋ามากมายที่ปรากฏขึ้น
สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้แม้จะไม่ใช่อาวุธของปราชญ์โบราณแต่สมบัติทุกชิ้นล้วนมีระดับสูงสุด เมื่อพวกมันถูกนำมารวมกันความแข็งแกร่งก็ไม่แตกต่างจากอาวุธระดับปราชญ์โบราณแม้แต่น้อย
ในขณะนั้นแรงกดดันที่พวกเขาได้รับจากโรงศพก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย มันทำให้พวกเขาสามารถใส่ขึ้นบันไดหยกซึ่งวางอยู่ด้านล่างของโลงศพได้เกือบสามพันจั้ง
แต่เมื่อพวกเขาใต่ระดับขึ้นไปถึงห้าพันจั้ง เครื่องรางเหล่านี้ก็ไม่สามารถต้านทานแรงกดดันได้อีกต่อไป
หลายคนกำลังดิ้นรน แรงกดดันจากซากศพของเทพเจ้าทำให้ร่างกายของพวกเขาแทบจะไม่สามารถขยับตัวได้ด้วยซ้ำ
“น่าเสียดาย กระดูกศักดิ์สิทธิ์เพียงชิ้นเดียวที่เหลือจากการเปลี่ยนแปลงของปราชญ์โบราณถูกทิ้งไว้นานเกินไปทำให้มันสูญเสียคุณสมบัติดั้งเดิมไปหมดแล้ว ไม่เช่นนั้นมันอาจจะสามารถปกป้องเราได้นานกว่านี้”
“เราควรทำอย่างไรดี ขึ้นไปต่อไม่ได้แล้ว”
พวกเขาหยุดที่ความสูงห้าพันจั้ง นั่นมันเป็นเพียงครึ่งทางเท่านั้น แต่ความกดดันที่พวกเขาได้รับทำให้ทุกคนไม่กล้าขยับตัวอีกแล้ว รวมถึงเย่ฟานด้วย
“เพล้ง!”
อาวุธต้องห้ามกำลังแตกสลาย หลายคนต้องหยุดอยู่กลางทางเช่นเดียวกับพวกเขา
“มหาอำนาจเหล่านั้นกำลังไล่ตามเรามาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนพวกเขาจะมีอาวุธวิเศษไม่น้อย!”
“เราต้องตั้งใจแน่วแน่ที่จะเอาชนะมันมาให้ได้ พวกเจ้ามีสมบัติอะไรอีกรีบเอามาให้หมด” ต้วนเต๋อกัดฟันและในที่สุดเขาก็เสียสละสมบัติอีกชิ้น
ชามแตกปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา และลำแสงสีดำนับพันตกลงมาปกป้องทั้งห้าคนไว้ภายใน
“หลังจากขึ้นไปได้ซักพัก ข้าจะใช้ทักษะลับกลไกเปิดสุสานและขโมยโลงศพของเทพออกมา พวกเจ้าต้องร่วมมือกับข้าไม่เช่นนั้นเราจะตายกันหมด” ต้วนเต๋อหยุดและกล่าวสั้นๆ
ทันทีที่ชามแตกปรากฏออกมามันก็แยกพวกเขาออกจากแรงกดดันสูงสุดทันที มันมีพลังลึกลับและคาดเดาไม่ได้ซึ่งสามารถผลักดันแรงกดดันให้ออกห่างจากพวกเขากว่าสามจั้ง
หนึ่งก้าว สองก้าว...
พวกเขาเดินขึ้นไปข้างหน้าเรื่อยๆ และถึงแม้จะมีบรรยากาศรอบๆ ที่น่าสะพรึงกลัวมากขึ้น แต่ฝีเท้าของพวกเขาก็ไม่ถูกขัดขวาง จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงแท่นหยกซึ่งตั้งอยู่เบื้องล่างของโลงศพขนาดใหญ่
“เจ้าพวกขยะนี่เอง”
มีคนส่งเสียงเยาะเย้ย นั่นคือเซียวอวิ๋นเฉิง
ประมุขตระกูลเซียวและคนจากนิกายหยินหยางรวมตัวกันและก้าวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ว่าพวกเขาใช้เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ชนิดใดเพื่อต้านทานแรงกดดันของเทพโบราณ
บนแท่นสูงหมื่นจั้ง มังกรและเฟิ่งหวงพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า โลงศพโบราณลอยอยู่ยนอากาศ ผู้คนหลายกลุ่มได้ขึ้นมาถึงแล้ว พลังงานเซียนยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ ทั่วแท่นหยกแห่งนี้